เปิดตัวในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับสมาร์ตโฟน vivo X200 Series ซึ่งทีมงานเคยแกะกล่องให้ได้ชมไปก่อนหน้านี้ และถึงเวลาที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเรือธงรุ่นใหม่ของ vivo ให้มากขึ้น โดยทีมงาน @flashfly ได้รับมารีวิวพร้อมกัน 2 รุ่น ทั้ง vivo X200 และ vivo X200 Pro ทั้งคู่ถูกสร้างมาภายใต้สโลแกน “ซูมชัด ทุกเรื่องราว” บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเน้นที่ความสามารถด้านการถ่ายรูป ซึ่งยังคงจับมือกับ ZEISS ผู้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีเลนส์ระดับโลก เพื่อยกระดับคุณภาพกล้องบนมือถือให้ก้าวข้ามขีดจำกัดทั้งการถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอ
ดีไซน์ระดับไฮเอนด์
vivo X200 และ vivo X200 Pro ได้รับการออกแบบมาในสไตล์เดียวกัน โดยมีความโดดเด่นที่ดีไซน์กล้องหลังแบบวงแหวนขนาดใหญ่ มาพร้อมขอบ Sunburst ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาสุดหรู ภายในจัดวางโมดูลกล้องอย่างสมมาตร พร้อมติดโลโก้ ZEISS ไว้ตรงกึ่งกลาง หากต้องการเห็นความแตกต่าง สังเกตได้ว่าโมดูลกล้องหลังของ vivo X200 จัดวางเป็นเครื่องหมาย + ขณะที่โมดูลกล้องหลังของ vivo X200 Pro จัดวางเป็นเครื่องหมาย x และมีขนาดกรอบวงแหวนใหญ่กว่าเล็กน้อย
ถึงแม้ vivo X200 Series จะแชร์ดีไซน์ร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด เนื่องจากรุ่นพื้นฐาน vivo X200 มีขนาดเล็กกว่า เพราะมีขนาดหน้าจอ 6.67 นิ้ว มีให้เลือก 3 เฉดสี ได้แก่ Midnight Black, Aurora Green และ Ocean Blue
vivo X200 สี Midnight Black มีพื้นผิวดำด้าน ให้ความรู้สึกทรงพลัง เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ชื่นชอบความคลาสสิค ขณะที่ทีมงาน @flashfly ได้รับมารีวิว 2 สี ได้แก่ สีเขียว Aurora Green ที่สะท้อนความสง่างามของธรรมชาติ และ สีน้ำเงิน Ocean Blue ให้ภาพลักษณ์ที่เรียบหรู มีระดับ และเป็นสีลวดลายที่โดดเด่นสะดุดตา
vivo X200 Pro มีขนาดใหญ่กว่าเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีขนาดหน้าจอ 6.78 นิ้ว มี 2 สีให้เลือก ได้แก่ สีดำ Midnight Black ซึ่งมีเฉดสีเดียวกับ vivo X200 และสีเทา Titanium Grey ที่ทีมงาน @flashfly ได้รับมารีวิว ใช้เทคโนโลยีพิเศษในการขัดลาย ช่วยเพิ่มความเปล่งประกาย ให้ความหรูหราและทนทานมากยิ่งขึ้น
เมื่อพลิกมาดูด้านหน้าของ vivo X200 และ vivo X200 Pro จะเห็นว่าทั้งคู่ดูเหมือนกันอย่างมาก เพราะใช้ดีไซน์หน้าจอแบบเดียวกัน โดยมีขอบหน้าจอที่บางเฉียบ ส่วนขอบมุมทั้ง 4 ด้าน มีความโค้งมนเล็กน้อย เรียกว่าดีไซน์ Micro Quad Curved Screen ช่วยให้จับได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้น
จอแสดงผลของ vivo X200 Series ถูกเจาะหลุมเล็กๆ ไว้ตรงกึ่งกลางที่ส่วนบนของหน้าจอ เพื่อติดตั้งกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล ความละเอียดเท่ากันทั้ง 2 รุ่น และยังฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอด้วย โดย vivo X200 Pro ใช้เซ็นเซอร์แบบ Ultrasonic ที่ทำงานเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
ส่วนขอบด้านข้างของ vivo X200 มีความบางเพียง 7.99 มิลลิเมตร ขณะที่ vivo X200 Pro มีความบาง 8.20 มิลลิเมตร สำหรับสีดำ Midnight Black แต่สีเทา Titanium Grey มีความบาง 8.49 มิลลิเมตร
ด้านข้างของทั้งคู่ ติดตั้งปุ่มปรับระดับเสียง ไว้เหนือปุ่มเพาเวอร์ อีกข้างถูกปล่อยให้เรียบมีเพียงเส้นเสาอากาศแทรกเข้ามาในกรอบโลหะ ช่วยให้สัญญาณการเชื่อมต่อไร้สายมีประสิทธิภาพ
มุมมองด้านบนมีความแตกต่างกันเล็กน้อย เนื่องจาก vivo X200 มีไมโครโฟน 2 ตัวและเซนเซอร์ IR ขณะที่ vivo X200 Pro มีไมโครโฟน 2 ตัว ส่วนเซนเซอร์ IR ถูกซ่อนอยู่บริเวณด้านบนในโมดูลกล้องหลัง
ด้านล่างของทั้งคู่ดูเหมือนกันทุกประการ ประกอบด้วย ลำโพง, พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ไมโครโฟน และ ถาดใส่ซิมการ์ด
นอกจากความสวยงามพรีเมียม vivo X200 Series ยังมีความทนทานป้องกันน้ำได้อย่างดี ด้วยมาตรฐาน IP68 และ IP69 หมายความว่า vivo X200 และ vivo X200 Pro สามารถป้องกันฝุ่นได้อย่างเต็มรูปแบบ และต้านทานน้ำได้นาน 30 นาที ที่ความลึกไม่เกิน 1.5 เมตร รวมถึงป้องกันความเสียหายจากน้ำที่มีความร้อนสูงได้ ไม่ต้องกลัวว่ามือถือจะเปียกน้ำอีกต่อไป
vivo X200 Pro
รุ่นพรีเมียมของ vivo X200 Series มีความโดดเด่นที่กล้อง ZEISS APO Telephoto ความละเอียดสูง 200 ล้านพิกเซล ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการซูมระยะไกลให้คมชัด จับคู่กับชิปประมวลผลภาพและวิดีโอ vivo V3+ พร้อมด้วยชิปประมวลผลเรือธง Dimensity 9400 ของ MediaTek แสดงผลด้วยสีสันที่แม่นยำสมจริงบนหน้าจอมาตรฐาน ZEISS Master Color ดีไซน์ขอบมุมโค้งมน 4 ด้าน Micro Quad Curved Screen แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 6000mAh รองรับชาร์จเร็ว 90W และสามารถป้องกันน้ำได้ถึงระดับ IP69
สเปก vivo X200 Pro
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz
- กล้องหลัง 50MP Main + 50MP Ultra Wide + 200MP Telephoto
- กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9400
- ความจำ RAM 16GB (LPDDR5X) + ROM 512GB (UFS 4.0)
- ขยายความจำ RAM ได้สูงสุด 16GB ผ่านฟีเจอร์ Extended RAM
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, NFC, OTG, USB Type-C (USB 3.2)
- ระบุตำแหน่ง GPS, BeiDou, GLONASS, Galileo, QZSS,NavIC
- เซ็นเซอร์ Accelerometer, Proximity, Ambient Light Sensor, E-compass, Gyroscope, Infrared Blaster, Laser Focus, Color Temperature, Flicker Sensor, Multispectral Sensor
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (Ultrasonic Fingerprint Sensor)
- ระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 15 บนพื้นฐาน Android 15
- มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP69 และ IP68
- แบตเตอรี่ 6000mAh
- รองรับชาร์จเร็วแบบใช้สาย 90W FlashCharge และ ชาร์จเร็วแบบไร้สาย 30W
- มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Midnight Black และ Titanium Gray
กล้องซูม ZEISS APO Telephoto Camera ความละเอียดสูง 200MP
หลังจากทำงานร่วมกันมานานหลายปี ระหว่าง vivo กับ ZEISS ทำให้กล้องหลังทุกตัวของ vivo X200 Series ได้รับเทคโนโลยีเคลือบเลนส์ ZEISS T* (T Star) ที่ให้ค่าสีที่แม่นยำ เพิ่มสีสันให้สดใส ปรับปรุงการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย ลดแสงสะท้อนของเลนส์กล้อง รวมถึงลดเอฟเฟกต์แสงหลอกและแสงแฟลร์ อย่างไรก็ตาม vivo X200 Pro มีกล้อง Telephoto ที่เหนือกว่ารุ่นพื้นฐาน ด้วยมาตรฐาน APO จาก ZEISS ช่วยให้การถ่ายภาพจากระยะไกลและใกล้มีประสิทธิภาพเหมือนกล้องระดับมืออาชีพ
ระบบกล้องหลังของ vivo X200 Pro ประกอบด้วย กล้องหลัก ZEISS True Color Main Camera ที่มาพร้อมเทคโนโลยี VCS (vivo Camera-Bionic Spectrum) ช่วยเพิ่มความแม่นยำของสี ให้ตรงอย่างที่ตาเห็น, กล้อง ZEISS APO Telephoto Camera ผสานกับเซ็นเซอร์กล้องขนาดใหญ่ พิกเซลสูง ทำให้ซูมได้ที่คมชัดยิ่งขึ้น และ กล้อง Ultra Wide ให้มุมมองภาพกว้าง 119 องศา
- กล้อง 200MP ZEISS APO Telephoto Camera ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL HP9 ขนาด 1/1.4 นิ้ว รูรับแสง f/2.67 เทียบเท่าระยะ 85 มม.
- กล้อง 50MP ZEISS True Color Main Camera ใช้เซ็นเซอร์ Sony LYT-818 ขนาด 1/1.28 นิ้ว รูรับแสง f/1.57 เทียบเท่าระยะ 23 มม.
- กล้อง 50MP Ultra Wide-Angle Camera ขนาดเซ็นเซอร์ 1/2.76 นิ้ว รูรับแสง f/2.0 เทียบเท่าระยะ 15 มม. มีระบบออโต้โฟกัส
กล้อง ZEISS True Color Main Camera และ กล้อง ZEISS APO Telephoto Camera ยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวระดับมืออาชีพ CIPA 4.5 ตามมาตรฐานการทดสอบของ CIPA ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความเสถียรทั้งบนแกนพิตช์และแกนหันเห แอปกล้องของ vivo X200 Pro รองรับโหมดถ่ายภาพ Snapshot, Landscape, Portrait, Photo, Video, Portrait Video, High Resolution, Pano, Ultra HD Document, Slo-mo, Stage, Time-Lapse, Pro และ Supermoon
โหมด Photo รองรับการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 3.7x, 10x และซูมได้สูงสุด 100x ส่วนแถบเครื่องมือด้านบนมีฟีเจอร์ Live Photo (อยู่ถัดจากไอคอนไฟแฟลช) ข้างกันมีฟิลเตอร์ ZEISS Natural Color ช่วยทำให้ภาพถ่ายมีสีสันที่เป็นธรรมชาติแบบฉบับเลนส์ ZEISS และถัดมาที่ไอคอนรูปดอกไม้ คือโหมดถ่ายภาพ Super Macro
ในโหมด Photo สามารถปัดนิ้วขึ้นจากลูกศรที่อยู่ใต้ปุ่มชัตเตอร์ เพื่อเข้าสู่โหมดถ่ายภาพแนวสตรีทได้ โดยฟังก์ชันการซูมจะเปลี่ยนเป็นระยะเลนส์หรือทางยาวโฟกัส มีฟิลเตอร์ให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ Textured, Black & White, Vivid และ ZEISS Natural Color ขณะที่แถบเครื่องมือด้านบน มีฟีเจอร์ตั้งค่าสมดุลสีขาว, รูรับแสง, ความเร็วชัตเตอร์ และ ค่าชดเชยแสง
โหมด Stage ผสานการทำงานร่วมกับ AI ช่วยถ่ายภาพการแสดงบนเวทีให้สวยงามคมชัดแม้ซูมจากระยะไกล เหมาะสำหรับบันทึกภาพคอนเสิร์ต เทศกาลดนตรี หรือ ละครเวที รองรับการซูมตั้งแต่ระยะ 1x, 2x, 3.7x, 10x, 20x และซูมได้สูงสุด 100x
โหมด Landscape รองรับการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 3.7x, 10x และซูมได้สูงสุด 100x มาพร้อมสไตล์การถ่ายภาพที่มีให้เลือกระหว่าง Atmosphere และ Soft ทำให้ภาพความงามของธรรมชาติที่อยู่เบื้องหน้ามีมิติสมจริง พร้อมรองรับการถ่ายภาพ Landscape แบบ Long Exposure ที่สามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายคุณภาพสูง ผ่านเอฟเฟกต์ HDR และ Slow Shutter ได้อย่างง่ายดาย
โหมด Portrait มาพร้อม ZEISS Multifocal Portrait ช่วยให้ผู้ใช้งานถ่ายภาพพอร์ตเทรตระดับมืออาชีพได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นระยะ 85 มิลลิเมตร ก็ให้ภาพพอร์ตเทรตที่คมชัดระดับ HD หรือจะเป็นระยะ 135 มิลลิเมตร ทำให้ได้มุมมองภาพถ่ายพอร์ตเทรตที่แตกต่างไปจากเดิม และยังเพิ่มความโดดเด่นได้มากขึ้นกับเอฟเฟกต์ละลายฉากหลัง ZEISS Planar Style Bokeh
vivo X200 Pro ยังมีฟังก์ชัน Zero Shutter Lag Motion Snapshot ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการจับภาพความเร็วสูงของ vivo ทำให้ชัตเตอร์มีความหน่วงเป็นศูนย์ หมายความว่า ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญในชีวิต
โหมด Video รองรับการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 3.7x, 10x และซูมได้สูงสุด 20x สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 8K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที หรือ Full HD 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที ในรูปแบบ Dolby Vision อีกทั้งยังมีโหมด Portrait Video ที่มีสไตล์ให้เลือก 6 แบบ และให้ความคมชัดมากขึ้นระดับ 4K พร้อมโหมด HDR ที่สามารถซูมได้ 2x และ 3.7x ผ่านกล้อง ZEISS APO Telephoto
และโหมดที่ทีมงานชอบเป็นพิเศษก็คือโหมด Super Macro ซึ่งเป็นการใช้กล้อง Telephoto ซูมถ่ายแบบ Macro ได้แบบน่าทึ่งสุดๆ
กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
ในส่วนของกล้องหน้า vivo X200 และ vivo X200 Pro ให้ประสบการณ์ไม่ต่างกัน เนื่องจากมีสเปกเหมือนกัน ทั้ง 2 รุ่น ได้รับการติดตั้งกล้องหน้าไว้ในหลุมบนหน้าจอ โดยมีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0
ตัวอย่างภาพถ่าย
จอแสดงผล ZEISS Master Color ขอบมุมโค้ง 4 ด้าน
vivo X200 Series เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกของโลก ที่ได้รับมาตรฐาน ZEISS Master Color มั่นใจได้ว่าจอแสดงผลของ vivo X200 Pro และ vivo X200 สามารถแสดงสีสันได้อย่างคมชัดสมจริงเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการเปิดดูภาพถ่ายหรือวิดีโอที่บันทึกจากกล้องหลังของสมาร์ตโฟน ที่ใช้เลนส์ของ ZEISS เช่นกัน
vivo X200 Pro มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ความลึกสี 1.07 พันล้านสี ความละเอียด 2800 x 1260 พิกเซล ขนาด 6.78 นิ้ว อัตราส่วนภาพ 20:9 ความหนาแน่นของพิกเซล 452 PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) ให้ความสว่างสูงสุด 4500 นิต และรองรับอัตรารีเฟรชแบบปรับได้ตั้งแต่ 0.1Hz ถึง 120Hz
จอแสดงผลของ vivo X200 Pro ใช้ดีไซน์ Micro Quad Curved Screen ทำให้ส่วนขอบทั้ง 4 ด้าน มีความโค้งมนแบบ 3D เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ให้ประสบการณ์เหมือนใช้จอแบนปกติ เนื่องจากมีฟีเจอร์ลดการสัมผัสหน้าจอโดยไม่ได้ตั้งใจ และยังให้ประสบการณ์การรับชมแบบไร้กรอบ ด้วยอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 93.32% นอกจากนี้ จอแสดงผลของ vivo X200 Pro ยังได้รับการป้องกันด้วยกระจก Armor Glass ที่มีความทนทานต่อแรงกระแทกจากการตกหล่นมากกว่ารุ่นก่อนถึง 11 เท่า
จอแสดงผลของ vivo X200 Series ทั้ง 2 รุ่น เหมาะสำหรับการรับชมความบันเทิง โดยให้ขอบเขตสีกว้าง P3 รองรับ HDR10+, Dolby vision และ Netflix HDR อีกทั้งยังเพิ่มความสบายตาด้วยเทคโนโลยีการหรี่แสงขั้นสูง 2160Hz PWM Dimming แบบ Full Range Luminance ช่วยรักษาเสถียรภาพของการแสดงผลโดยไม่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของแสงโดยรอบ สามารถลดอัตราการกะพริบและลดแสงของหน้าจอ ทำให้สายตาไม่เมื่อยล้าจากการใช้งานอย่างต่อเนื่อง จอแสดงผลของ vivo X200 รองรับ HDR10+ และ Netflix HDR สำหรับ vivo X200 Pro รองรับทั้ง HDR10+, Dolby Vision และ Netflix HDR
ชิป Dimensity 9400 จับคู่กับ vivo V3+
vivo X200 และ vivo X200 Pro ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผลระดับเรือธงใหม่ล่าสุด Dimensity 9400 ซึ่ง MediaTek เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยสร้างขึ้นจากกระบวนการ 3 นาโนเมตร ใช้การออกแบบ All Big Core รุ่นที่ 2 ประกอบด้วย คอร์ Arm Cortex-X925 ทำงานที่ความถี่ 3.62GHz รวมกับคอร์ Cortex-X4 (3 คอร์ และคอร์ Cortex-A720 (4 คอร์) ให้ประสิทธิภาพการทำงานแบบคอร์เดียวเร็วขึ้น 35% มีประสิทธิภาพแบบมัลติคอร์ที่เร็วขึ้นถึง 28% และประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม 40% เมื่อเปรียบเทียบกับชิป Dimensity 9300
ชิป Dimensity 9400 มาพร้อม GPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม Arm Immortalis-G925 แบบ 12 คอร์ ให้ประสิทธิภาพสูงสุด 41% ประหยัดพลังงานสูงสุด 44% เมื่อเทียบกับชิป Dimensity 9300 และได้รับการปรับปรุงเทคโนโลยี Ray Tracing ให้เร็วขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับชิปรุ่นก่อน ช่วยยกระดับคุณภาพกราฟิกเกมให้สมจริงยิ่งขึ้น
vivo X200 Pro ยังได้รับชิปประมวลผลภาพ vivo V3+ ซึ่งเป็นชิประดับ 6 นาโนเมตร ประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับชิปรุ่นก่อน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยรวมถึงภาพถ่ายพอร์ตเทรต ส่งผลให้ vivo X200 Pro รองรับฟีเจอร์ 4K HDR Cinematic Portrait Video ช่วยให้ถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรตระดับ 4K ออกมาสมบูรณ์แบบ
ด้านความจำ vivo X200 Pro ได้รับ RAM แบบ LPDDR5X ขนาด 16GB จับคู่กับ ROM แบบ UFS 4.0 ขนาด 512GB พร้อมรองรับ Extended RAM สามารถยืมพื้นที่ ROM มาใช้เป็น RAM ชั่วคราวได้สูงสุด 16GB จึงเปรียบเสมือนมีความจำ RAM สูงสุด 32GB
ทั้งนี้ ความจำ RAM แบบ LPDDR5X มีความเร็วในการอ่านและเขียนสูงขึ้น 33% ขณะที่ ความจุ ROM แบบ UFS 4.0 สามารถคัดลอกไฟล์ได้เร็วขึ้น 2 เท่า และประหยัดพลังงานมากกว่าเดิมถึง 46% เมื่อเทียบกับมาตรฐานก่อนหน้านี้ ช่วยให้ vivo X200 Series ตอบสนองการใช้งานได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดใช้งานหลายแอปพร้อมกัน การเปิดเข้าแอปและสลับการใช้งานแต่ละแอปได้อย่างลื่นไหล
จากการทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า vivo X200 Pro (V2413) ทำได้ 2,482,702 คะแนน ขณะที่ vivo X200 (V2415) ทำได้ 2,465,990 คะแนน
แบต 6000mAh ชาร์จเร็ว 90W FlashChargeและชาร์จไร้สาย 30W
vivo X200 Series เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกในอุตสาหกรรม ที่ได้รับแบตเตอรี่ใหม่ Silicon Anode รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Semi-Solid ช่วยให้มีความจุมากขึ้น โดยยังคงรักษาความบางของขนาดแบตเตอรี่ หมายความว่า vivo X200 Series มีความจุแบตเตอรี่เพิ่มมากขึ้น แต่ยังมีดีไซน์ที่เพรียวบาง อีกทั้งยังมีความปลอดภัยมากขึ้น ทนต่อการใช้งานในสภาพอุณหภูมิหนาวจัดถึง -20 องศาเซลเซียส
ด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ ทำให้ vivo X200 Pro มีความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 6000mAh บนตัวเครื่องบาง 8.20 มิลลิเมตร (สำหรับสีดำ Midnight Black) ขณะที่ vivo X100 Pro มีความจุแบตเตอรี่ 5400mAh ตัวเครื่องบาง 8.91 มิลลิเมตร อย่างไรก็ตาม vivo X200 Pro รองรับชาร์จเร็ว 90W FlashCharge และชาร์จเร็วแบบไร้สาย 30W Wireless FlashCharge ส่วน vivo X100 Pro รองรับชาร์จเร็ว 100W และชาร์จเร็วแบบไร้สาย 50W
Funtouch OS 15
vivo X200 Series ทำงานบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบทับด้วย Funtouch OS 15 ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI รวมถึง Gemini ผู้ช่วยอัจฉริยะของ Google อย่างเช่น Circle to Search, AI Note Assist, AI Transcript Assist และ AI Erase
– Circle to Search ช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลคอนเท้นต์ที่กำลังดูบนหน้าจอได้ทันที เพียงวงกลมล้อมรอบวัตถุหรือสถานที่บนหน้าจอ
– AI Note Assist เครื่องมือจัดระเบียบโน้ต สรุปบทความ ทำรายการสิ่งที่ต้องทำ หรือแม้แต่แปลภาษา
– AI Transcript Assist สามารถถอดเสียงเป็นข้อความได้ รวมถึงช่วยสรุปประเด็นสำคัญ
– AI Erase ใช้ AI ลบบุคคลหรือองค์ประกอบที่ไม่ต้องการออกจากภาพถ่ายได้อย่างง่ายดาย ทำให้ภาพถ่ายสมบูรณ์แบบตามที่ต้องการ รอบนี้มีอัปเกรดเพิ่มฟีเจอร์ Remove People และ Glare reduction เพิ่มเข้ามา
vivo X200
vivo X200 มีดีไซน์และประสิทธิภาพแบบเดียวกับ vivo X200 Pro ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์กล้องหลังแบบวงแหวน ดีไซน์หน้าจอ Micro Quad Curved Screen ทนน้ำทนฝุ่นมาตรฐาน IP68&IP69 ใช้ชิปเรือธง MediaTek Dimensity 9400 กล้องเซลฟี่ 32MP ขณะที่กล้องหลังมีความละเอียด 50MP เท่ากันทั้ง 3 ตัว อีกทั้งยังให้ประสบการณ์การใช้งานแบบเดียวกันจากระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 15 อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับรุ่น Pro จะพบว่า vivo X200 ก็มีความแตกต่างพอสมควร ซึ่งทีมงาน @flashfly ได้สรุปให้แล้วในช่วงท้ายของรีวิว
สเปก vivo X200
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz
- กล้องหลัง 50MP Main + 50MP Ultra Wide + 50MP Telephoto
- กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9400
- ความจำ RAM 12GB (LPDDR5X) + ROM 256GB (UFS 4.0)
- ขยายความจำ RAM ได้สูงสุด 12GB ผ่านฟีเจอร์ Extended RAM
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, NFC, OTG, USB Type-C (USB 2.0)
- ระบุตำแหน่ง GPS, BeiDou, GLONASS, Galileo, QZSS
- เซ็นเซอร์ Accelerometer, Proximity, Ambient Light Sensor, E-compass, Gyroscope, Infrared Blaster, Laser Focus, Color Temperature, Flicker Sensor
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor)
- ระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 15 บนพื้นฐาน Android 15
- มาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP69 และ IP68
- แบตเตอรี่ 5800mAh
- รองรับชาร์จเร็วแบบใช้สาย 90W FlashCharge
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Ocean Blue และ Aurora Green
- ขนาดตัวเครื่อง 160.27 x 74.81 x 7.99 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 197 กรัม (Midnight Black) / 202 กรัม (Ocean Blue, Aurora Green)
กล้องหลัง 50MP Triple Camera
vivo X200 ได้รับกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลัก VCS True Color Main Camera ที่มาพร้อมเทคโนโลยี vivo Camera-Bionic Spectrum (VCS) ช่วยเพิ่มความแม่นยำ และลดการคลาดเคลื่อนของสี, กล้อง ZEISS Telephoto Camera สามารถเก็บรายละเอียดของภาพถ่ายภาพระยะไกลได้สวยคมชัดกว่าที่เคย และ กล้อง Ultra Wide-Angle Camera ให้มุมมองภาพกว้าง 119 องศา
- กล้อง 50MP VCS True Color Main Camera ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX921 ขนาด 1/1.56 นิ้ว รูรับแสง f/1.57 เทียบเท่าระยะ 23 มม. มีระบบกันสั่นระดับ CIPA 4.5
- กล้อง 50MP ZEISS Telephoto Camera ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX882 ขนาด 1/1.953 นิ้ว รูรับแสง f/2.57
- กล้อง 50MP Ultra Wide-Angle Camera ใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL JN1 ขนาดเซ็นเซอร์ 1/2.76 นิ้ว รูรับแสง f/2.0
แอปกล้องของ vivo X200 รองรับโหมดถ่ายภาพ Snapshot, Landscape, Portrait, Photo, Video, Portrait Video, High Resolution, Pano, Ultra HD Document, Slo-mo, Time-Lapse, Pro, Night และ Supermoon
กล้องหลังของ vivo X200 มีความสามารถเทียบเท่ารุ่น Pro แตกต่างที่ระยะการซูม เช่นโหมด Photo ซูมได้ที่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 3x, 6x, 10x ขณะที่โหมด Video สามารถซูมได้ที่ระยะ 0.6x, 1x, 2x, 3x และซูมได้สูงสุด 15x สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที
ตัวอย่างภาพถ่าย
จอ 6.67 นิ้วสว่างสูงสุด 4500 นิต
vivo X200 มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ความลึกสี 1.07 พันล้านสี ความละเอียด 2800 x 1260 พิกเซล ขนาด 6.67 นิ้ว อัตราส่วนภาพ 20:9 ความหนาแน่นของพิกเซล 460 PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) ให้ความสว่างสูงสุด 4500 นิต และรองรับอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz
จอแสดงผลของ vivo X200 ได้รับมาตรฐาน ZEISS Master Color เช่นเดียวกับ vivo X200 Pro และยังใช้ดีไซน์ Micro Quad Curved Screen เช่นเดียวกัน ซึ่งมีขอบมุมโค้งมนทั้ง 4 ด้าน และมีพื้นที่ขอบหน้าจอบางเฉียบ ทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 92.89% ดังนั้น จอแสดงผลของ vivo X200 จึงให้สีสันที่แม่นยำและถนอมดวงตาผู้ใช้งาน มอบประสบการณ์การรับชมแบบเดียวกับจอแสดงผลของ vivo X200 Pro
ชิป Dimensity 9400
ในแง่ของประสิทธิภาพ vivo X200 ได้รับชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9400 แบบเดียวกับ vivo X200 Pro แต่ด้วยความจำ RAM + ROM ที่น้อยกว่า ทำให้คะแนนจากการทำสอบประสิทธิภาพผ่านแอปพลิเคชัน AnTuTu ตามหลังอยู่เล็กน้อย แต่อย่างที่ทราบกันดี ตัวเลขในแอป Benchmark เหล่านี้ บางครั้งก็ไม่เห็นความแตกต่างเมื่อใช้งานในชีวิตจริง อย่างไรก็ตาม ชิปประมวลผลภาพ vivo V3+ พบได้ในรุ่น Pro เท่านั้น
ด้านความจำ ถึงแม้ vivo X200 จะให้มาน้อยกว่า แต่ก็ได้รับมาตรฐานเดียวกัน โดยใช้ความจำ RAM แบบ LPDDR5X ขนาด 12GB จับคู่กับ ROM แบบ UFS 4.0 ขนาด 256GB รองรับฟีเจอร์ Extended RAM สามารถยืมพื้นที่ ROM มาใช้เป็น RAM ชั่วคราวได้สูงสุด 12GB จึงเปรียบเสมือนมีความจำ RAM สูงสุด 24GB
แบตใหญ่ ชาร์จเร็ว 90W FlashCharge
vivo X200 เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกในอุตสาหกรรม ที่ได้รับแบตเตอรี่ Silicon Anode รุ่นที่ 3 เช่นเดียวกับ vivo X200 Pro ทำให้แบตเตอรี่ของ vivo X200 Series มีความจุมากขึ้น แต่ไม่เพิ่มความหนา ส่งผลให้ vivo X200 มีความจุแบตเตอรี่ 5800mAh ทั้งที่มีตัวเครื่องบาง 7.99 มิลลิเมตร ขณะที่ vivo X100 มีความจุแบตเตอรี่ 5000mAh ตัวเครื่องหนา 8.49 มิลลิเมตร อย่างไรก็ตาม vivo X200 รองรับชาร์จเร็ว 90W FlashCharge แต่ vivo X100 รองรับชาร์จเร็ว 120W ส่วนเทคโนโลยีการชาร์จแบบไร้สาย ถูกจำกัดไว้เฉพาะรุ่น Pro เท่านั้น
สรุปราคาและการจำหน่าย
ถึงแม้ vivo X200 จะมีดีไซน์ที่สวยงามพรีเมียม และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ vivo X200 Pro แต่ก็มีความแตกต่างบางจุดที่ทำให้มีราคาห่างกัน 10,000 บาท ที่ชัดเจนก็คือความจำ RAM ที่ให้มา 12GB ขยายได้อีก 12GB ผ่านความจำเสมือน ทำให้มีความจำ RAM สูงสุด 24GB แต่รุ่น Pro มีความจำ RAM สูงสุด 32GB (16GB + 16GB) และยังมีพื้นที่ข้อมูลมากกว่าเท่าตัว
vivo X200 Series ใช้พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C เหมือนกัน แต่มาตรฐานต่างกัน vivo X200 รองรับ USB 2.0 ขณะที่ vivo X200 Pro ได้รับมาตรฐาน USB 3.2 หมายความว่ารุ่น Pro สามารถถ่ายโอนข้อมูลผ่านสาย USB ได้เร็วกว่า แต่ไม่มีผลสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ เพราะทั้งคู่รองรับชาร์จเร็ว 90W เท่ากัน อย่างไรก็ตาม vivo X200 Pro ยังสนับสนุนการชาร์จไร้สาย 30W ช่วยเพิ่มความสะดวกในการชาร์จได้มากกว่า
vivo X200 Pro ยังโดดเด่นกว่าในเรื่องของการถ่ายภาพ ด้วยกล้อง Telephoto ที่มีความละเอียดสูงกว่า และยังได้รับชิปประมวลผลภาพ vivo V3+ ทำให้ภาพถ่ายในเวลากลางคืนรวมถึงวิดีโอพอร์ตเทรตมีคุณภาพดีกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากล้องหลังของ vivo X200 จะด้อยไปกว่ากัน เพราะกล้องหลังทั้ง 3 ตัว ก็ให้รายละเอียดที่คมชัดสวยงามไม่แพ้กัน
สรุปแล้ว vivo X200 เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาเรือธงรุ่นใหม่ไว้เป็นของขวัญให้กับตัวเองในช่วงสิ้นปี โดยมีดีไซน์สวยงาม ตัวเครื่องบางเบากว่า และมีสีน้ำเงิน Ocean Blue ที่โดดเด่น และหาไม่ได้ในรุ่น Pro อย่างไรก็ตาม vivo X200 Pro ถูกสร้างมาตอบโจทย์คนรักการถ่ายภาพอย่างแท้จริง โดดเด่นที่กล้อง ZEISS APO Telephoto Camera ซูมไกล ซูมชัดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงเป็นเรือธงที่สมบูรณ์แบบที่สุดของ vivo ในปัจจุบันนี้
vivo X200 Series จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2024 เป็นต้นไป สำหรับ vivo fans ที่ต้องการเป็นเจ้าของก่อนใคร สามารถจับจองในรอบ Pre-order ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 3 ธันวาคม 2024 ณ ร้านค้า Official Shop ทั่วประเทศ ในราคาและรุ่นความจุ ดังนี้ vivo X200 5G (12GB + 256GB) ราคา 29,999 บาท และ vivo X200 Pro 5G (16GB + 512GB) ราคา 39,999 บาท พร้อมรับสิทธิ์รับของสมนาคุณมูลค่ารวมสูงสุด 17,187 บาท
- ต่อที่ 1 vivo Care ประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 2 ปี 1 ครั้ง (มูลค่า 10,999 บาท)
- ต่อที่ 2 Premium Case (มูลค่า 890 บาท)
- ต่อที่ 3 หูฟัง vivo TWS 3e (มูลค่า 1,799 บาท)
- ต่อที่ 4 ส่วนลดเพิ่มเติม 50% สำหรับแลกซื้อ vivo Watch 3
- ต่อที่ 5 โปรเก่าแลกใหม่ รับส่วนลดเพิ่มจากราคาประเมินสูงสุด 8,000 บาท
* หมายเหตุ: รายละเอียดเกี่ยวกับระยะเวลาโปรโมชันและของสมนาคุณสำหรับช่วงวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ สามารถสอบถามได้ที่จุดจำหน่าย
#vivoX200Series #ซูมชัดทุกเรื่องราว #vivoxZoomtopia