สำหรับใครที่ไม่สนใจ iPhone 16 ซึ่งวางจำหน่ายไปแล้วเรียบร้อย Apple ก็เตรียม iPhone 17 ไว้เปิดตัวในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะออกมาทำตลาดในเดือนกันยายน 2025 โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่มีข่าวลือออกมาแล้วอย่างน้อย 10 อย่าง ที่เชื่อว่าคุ้มค่าแก่การรอคอยอย่างแน่นอน
ชิป A19
iPhone 17 ทุกรุ่นในปีหน้า จะมาพร้อมชิป A19 ที่ถูกสร้างขึ้นบนกระบวนการ 3 นาโนเมตร (N3P) รุ่นใหม่ของ TSMC เมื่อเปรียบเทียบกับชิป 3 นาโนเมตรรุ่นก่อนหน้า ชิป N3P จะมีประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น และความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่า iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max จะมาพร้อมชิป A19 Pro ส่วน iPhone 17 และ iPhone 17 Plus หรือ iPhone 17 Air อาจได้รับชิป A19
ชิป Wi-Fi 7 ที่ออกแบบโดย Apple
iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max ถูกลือว่าจะฝังชิป Wi-Fi 7 ที่ออกแบบโดย Apple เป็นครั้งแรก ซึ่งรองรับการทำงานที่คลื่นความถี่ 2.4GHz, 5GHz และ 6GHz พร้อมกัน ส่งผลให้มีความเร็วในการเชื่อมต่อ Wi-Fi เพิ่มขึ้น เวลาแฝงลดลง และการเชื่อมต่อมีความเสถียรเชื่อถือได้มากขึ้น
นอกจากนี้ การออกแบบชิป Wi-Fi เองของ Apple ยังช่วยลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกอีกด้วย ซึ่ง iPhone ในปัจจุบันใช้ชิป Wi-Fi และ Bluetooth จาก Broadcom
ความจำเพิ่มขึ้น
iPhone 16 Series ทั้ง 4 รุ่น มาพร้อมความจำ RAM 8GB แต่ปีหน้า iPhone 17 Series ถูกลือว่าจะได้รับความจำ RAM 12GB
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวหลายแห่งให้ข้อมูลที่แตกต่างกันไป บางแหล่งข่าวอ้างว่า iPhone 17 Series ทุกรุ่น จะมาพร้อม RAM 12GB บางรายก็อ้างว่า อาจจำกัดเฉพาะ iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max แต่บางรายเชื่อว่าจะมีเพียง iPhone 17 Pro Max เท่านั้น
iPhone 17 Air
Apple ถูกอ้างว่ากำลังพัฒนา iPhone รุ่นพิเศษที่มีความบางเฉียบ เรียกกันว่า iPhone 17 Air โดยมีขนาดจอแสดงผลประมาณ 6.5 นิ้ว มาพร้อม Dynamic Island วัสดุตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม กล้องหลังตัวเดียว ใช้ชิป A19 ได้รับชิปโมเด็ม 5G ที่ออกแบบโดย Apple และมีแนวโน้มที่จะวางจำหน่ายแทนที่ iPhone 17 Plus ในปีหน้า
เปลี่ยนแปลงขนาดหน้าจอ
iPhone 17 ที่เป็นรุ่นพื้นฐาน คาดว่าจะมีขนาดจอแสดงผล 6.27 นิ้ว หรือใหญ่กว่า ขณะที่รุ่น iPhone 17 Plus อาจมีขนาด 6.86 นิ้ว ซึ่งหมายความว่า iPhone 17 จะมีขนาดหน้าจอเท่ากับ iPhone 16 Pro และ iPhone 17 Plus จะมีขนาดหน้าจอเท่ากับ iPhone 16 Pro Max
อย่างไรก็ตาม iPhone 17 Plus ถูกลือว่าอาจไม่มีการผลิตออกมาอีกแล้ว แต่จะแทนที่ด้วย iPhone 17 ที่มีความบางเป็นพิเศษ เรียกกันว่า iPhone 17 Air ดังนั้น ขนาดหน้าจอของ iPhone 17 Plus จึงยังไม่มีความแน่นอน
รองรับ 120Hz ProMotion และ Always-on Display
iPhone 17 และ iPhone 17 Plus จะเป็น iPhone รุ่นพื้นฐานรุ่นแรกที่ได้รับเทคโนโลยีจอภาพ LTPO ทำให้รองรับ ProMotion ช่วยให้อัตราการรีเฟรช 1Hz ถึง 120Hz ส่งผลให้รองรับการแสดงภาพในโหมด Always-on Display
Dynamic Island เล็กลง
iPhone 17 Pro Max จะได้รับการอัปเกรดระบบกล้อง TrueDepth สำหรับ Face ID ให้มีขนาดเล็กลง ส่งผลให้ Dynamic Island มีขนาดแคบลงอย่างมาก
จอแสดงผลป้องกันแสงสะท้อนและรอยขีดข่วน
Apple ถูกอ้างว่ากำลังพัฒนาเทคโนโลยีการเคลือบใหม่สำหรับจอแสดงผล iPhone ในอนาคต ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มชั้นป้องกันแสงสะท้อน แต่ยังมีความทนทานต่อการขีดข่วนมากขึ้น อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีดังกล่าว ยังไม่พร้อมใช้สำหรับ iPhone 16 Series ในปีนี้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำมาใช้กับ iPhone 17 Series ในปีหน้า
จอแสดงผลของ iPhone 16 Series ได้รับการป้องกันด้วย Ceramic Shield ซึ่ง Apple อ้างว่าได้รับการปรับปรุงใหม่ เพื่อให้ทนทานกว่ากระจกของสมาร์ทโฟนรายอื่นถึง 2 เท่า
ทั้งนี้ Ceramic Shield เปิดตัวครั้งแรกพร้อมกับ iPhone 12 ในปี 2020 โดยเกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่าง Apple กับ Corning และคาดว่าทั้ง 2 บริษัท ยังทำงานร่วมกันต่อไปในการพัฒนากระจกที่มีความทนทานมากขึ้น
กล้อง 48MP Telephoto
iPhone 17 Pro Max จะเป็น iPhone รุ่นแรก ที่กล้องหลัง 3 ตัว มีความละเอียดเท่ากัน 48 ล้านพิกเซล หลังจากกล้องหลัก และ กล้อง Ultra Wide ของ iPhone 16 Pro มีความละเอียด 48 ล้านพิกเซล โดยในปีหน้า กล้อง Telephoto ของ iPhone 17 Pro Max จะถูกอัปเกรดให้มีความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เช่นเดียวกัน แต่ไม่ชัดเจนว่า iPhone 17 Pro จะได้รับการปรับปรุงเช่นเดียวกันหรือไม่
กล้องหน้า 24MP
iPhone 17 Series ทั้ง 4 รุ่น จะมาพร้อมกล้องหน้าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยมีความละเอียด 24 ล้านพิกเซล และจะใช้เลนส์พลาสติก 6 ชิ้น ขณะที่กล้องหน้าของ iPhone ในปัจจุบัน มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และใช้เลนส์พลาสติก 5 ชิ้น
ความละเอียดที่เพิ่มขึ้นเป็น 24 ล้านพิกเซล จะช่วยให้ iPhone 17 Series สามารถรักษาคุณภาพภาพถ่ายไว้ได้แม้จะครอบตัดหรือซูมเข้า ในขณะที่จำนวนพิกเซลที่มากขึ้นสามารถบันทึกรายละเอียดปลีกย่อยได้มากขึ้น จึงช่วยปรับปรุงคุณภาพของภาพได้อีก
ที่มา – MacRumors