Xiaomi พร้อมส่งสมาร์ทโฟนเรือธง Xiaomi 14T Series co-engineered with Leica เข้ามาทำตลาดในไทยแล้ว เพื่อสานต่อความสำเร็จจาก Xiaomi 13T Series ในปีที่แล้ว โดยมีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro ทั้งคู่ถูกสร้างมาภายใต้สโลแกน Master light, capture night ซึ่งแน่นอนว่ามีจุดเด่นในการถ่ายภาพไม่ว่าจะเป็นสภาพแสงปกติในตอนกลางวันหรือสภาวะแสงน้อยยามค่ำคืนด้วยเลนส์ Leica Summilux ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผลระดับเรือธงของ MediaTek อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันไปจนถึงการถ่ายภาพ
แกะกล่อง Xiaomi 14T Series
Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro จัดส่งมาในกล่องสีขาว หน้ากล่องของทั้งคู่ระบุชื่อรุ่นไว้อย่างชัดเจน และกำกับด้วยข้อความ Co-engineered with Leica เพื่อสื่อถึงความร่วมมือกันระหว่าง 2 แบรนด์ ในการพัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022
ใต้กล่องติดฉลากสติกเกอร์เพื่อระบุหมายเลขประจำเครื่อง หมายเลขอีมี่ วันที่ผลิต รวมถึงตัวเลือกสีสัน และความจำของสมาร์ทโฟน อีกด้านติดฉลากให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในกล่อง โรงงานผลิต และสัญลักษณ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานต่างๆ
เมื่อยกฝากล่องขึ้นมา จะพบกับกล่องสีขาว (ที่จริงเป็นแผ่นกระดาษที่ถูกพับไว้เป็นกล่อง) เมื่อเปิดออกมาจะพบกับเข็มช่วยถอดช่องใส่ซิมการ์ด, คู่มือและใบรับประกัน, เคส และสายชาร์จ USB Type-C (ภายในกล่องไม่ได้แถมหัวชาร์จ หรือ Power Adapter มาให้)
สำหรับสมาร์ทโฟน Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro ถูกเก็บไว้ชั้นล่างสุด โดยมีซองห่อหุ้มไว้อย่างดี และระบุจุดเด่นไว้บนซองด้วย โดยทั้งคู่มีจุดเด่นบางอย่างเหมือนกัน
Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro มาพร้อมเลนส์ Leica Summilux จอแสดงผลให้อัตรารีเฟรชสูงสุด 144Hz และรองรับฟีเจอร์ AI ระดับแถวหน้าของวงการ ส่วนความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง 2 รุ่นนี้ ก็คือ เซ็นเซอร์กล้องหลัก, ชิปประมวลผล และ เทคโนโลยีการชาร์จ
ดีไซน์พรีเมียม ป้องกันน้ำได้ดียิ่งขึ้น
ดีไซน์โดยรวมของ Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro มีส่วนคล้ายกันอย่างมาก ทั้งขนาดตัวเครื่อง ขนาดจอแสดงผล และ สีสันของตัวเครื่อง โดยทั้งคู่มาในสี Titan Black, Titan Blue, Titan Gray ซึ่ง 3 สีนี้ใช้วัสดุกระจก แต่ Xiaomi 14T ยังมีสี Lemon Green ให้เลือกด้วย และใช้วัสดุ PU (Polyurethane) ที่เป็นหนังเทียม อย่างไรก็ตาม Xiaomi 14T ที่ทีมงาน @flashfly ได้รับมารีวิว เป็นสี Titan Blue ขณะที่ Xiaomi 14T Pro ที่ได้มารีวิว เป็นสี Titan Black
มุมมองด้านหน้าของ Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro ดูเหมือนกันมาก เนื่องจากมีขนาดหน้าจอเท่ากัน 6.67 นิ้ว เทคโนโลยีจอแสดงผลของทั้วคู่ก็เหมือนกัน และยังติดตั้งกล้องหน้าไว้ในหลุมตรงกึ่งกลางหน้าจอแบบเดียวกัน
เมื่อพลิกมาดูที่ด้านหลัง Xiaomi 14T Series ทั้ง 2 รุ่น มีดีไซน์กล้องหลังในสไตล์เดียวกัน ประกอบด้วยกล้องหลัง 3 ตัว พร้อมแฟลช LED ติดตั้งไว้ในกรอบวงกลม ที่จัดวางในรูปแบบเมททริกซ์ 2 x 2 บนกรอบสี่เหลี่ยมที่ยกระดับขึ้นมาจากพื้นผิวของฝาหลังอีกชั้น ให้ภาพลักษณ์พรีเมียมสมกับเป็นเรือธง ความแตกต่างที่สังเกตได้จากด้านหลังก็คือ Xiaomi 14T จะมีพื้นผิวเรียบแบนทั่วทั้งแผ่น ขณะที่ Xiaomi 14T Pro มีส่วนขอบมุมโค้งมนรอบด้าน
ขอบด้านข้าง Xiaomi 14T จะมีความบางกว่าเล็กน้อย วัดได้ 7.80 มิลลิเมตร (ยกเว้นสี Lemon Green มีความบาง 7.95 มิลลิเมตร) ขณะที่ Xiaomi 14T Pro มีความบาง 8.39 มิลลิเมตร
Xiaomi 14T Series ทั้ง 2 รุ่น ติดตั้งปุ่มปรับระดับเสียง ไว้เหนือปุ่มเพาเวอร์
Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro มาพร้อมลำโพงสเตอริโอ โดยด้านบนเป็นพื้นที่ของไมโครโฟนตัวที่สอง และ อินฟราเรด
ด้านล่างประกอบด้วยลำโพง, พอร์ต USB-C, ไมโครโฟนตัวหลัก และ ถาดใส่ซิมการ์ด ขอบด้านข้างเป็นอีกจุดที่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่นนี้ได้ ซึ่งจะเห็นว่าขอบด้านข้างทั้ง 4 ด้านของ Xiaomi 14T Pro มีเส้นเสาอากาศ หมายความว่ากรอบตัวเครื่องของ Xiaomi 14T Pro ใช้วัสดุโลหะ
นอกจากนี้ Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro ยังได้รับการปรับปรุงระดับการป้องกันฝุ่นและน้ำ IP68 โดยเพิ่มความสามารถในการป้องกันน้ำ ให้ทนต่อการอยู่ใต้น้ำลึก 2 เมตร เป็นเวลา 30 นาที เพิ่มขึ้นจากมาตรฐานก่อนหน้านี้ที่ความลึก 1.5 เมตร ในช่วงเวลา 30 นาทีเท่ากัน จึงสบายใจได้ว่า Xiaomi 14T Series ทั้ง 2 รุ่น จะให้ความทนานต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างแน่นอน
Xiaomi 14T Pro
Xiaomi 14T Pro ชูจุดเด่นที่การถ่ายภาพ โดยได้รับเลนส์ Leica Summilux กล้องหลักใช้เซ็นเซอร์ Light Fusion 900 รองรับฟีเจอร์ AI ขั้นสูง ที่มีประโยชน์ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการถ่ายภาพ มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ที่ให้อัตราการรีเฟรชสูง 144Hz ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล Dimensity 9300+ ของ MediaTek รองรับชาร์จเร็ว 120W และชาร์จเร็วแบบไร้สาย 50W
สเปก Xiaomi 14T Pro
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 4,000 นิต
- กล้องหลัก 50MP (Light Fusion 900) + OIS
- กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9300+
- ระบบระบายความร้อน Xiaomi 3D IceLoop
- ความจำ RAM LPDDR5x 8533Mbps + ROM UFS 4.0
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, USB-C
- ลำโพงสเตอริโอ, ไมโครโฟน 2 ตัว
- รองรับระบบเสียง Dolby Atman, Hi-Res & Hi-Res Wireless
- ได้รับมาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP68
- ระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS บนพื้นฐาน Android 14
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- รองรับชาร์จเร็วแบบใช้สาย 120W HyperCharge
- รองรับชาร์จเร็วแบบไร้สาย 50W Wireless HyperCharge
- ชิปเซ็ตการชาร์จ Xiaomi Surge P2
- ชิปเซ็ตการจัดการแบตเตอรี่ Xiaomi Surge G1
- น้ำหนัก 209 กรัม
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Titan Black, Titan Blue และ Titan Gray
กล้องหลัง 50MP Triple Camera เลนส์ออปติคัล Leica Summilux
เลนส์กล้องของ Xiaomi 14T Series ได้รับการปรับปรุงด้วยเลนส์ Leica Summilux แบบเดียวกับที่พบในรุ่นไฮเอนด์ Xiaomi 14 Ultra ซึ่งเป็นการผสานงานฝีมือของ Leica เข้ากับนวัตกรรมการถ่ายภาพบนมือถือ ทำให้เกิดความสมดุลที่ยอดเยี่ยมระหว่างความแม่นยำทางกลไก และความเป็นเลิศด้านการมองเห็น โดยเฉพาะกล้องตัวหลักซึ่งมีขนาดรูรับแสงที่ใหญ่ขึ้น มื่อเทียบกับรุ่นก่อน สามารถรับแสงได้มากขึ้นถึง 36% ทำให้แต่ละเฟรมสามารถจับภาพแสงและเงาได้ดียิ่งขึ้น
ด้วยรูรับแสง f/1.62 ที่ใหญ่ขึ้นบนกล้องหลักของ Xiaomi 14T Pro ทำให้สัญญาณรบกวนลดลง และรักษารายละเอียดในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย ช่วยเพิ่มคุณภาพการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้อย่างมาก ส่งผลให้ภาพถ่ายในเวลากลางคืนชัดเจนยิ่งขึ้น
รูรับแสงที่กว้างขึ้น ยังช่วยสร้างความลึกของภาพที่ตื้นกว่า ทำให้พื้นหลังเบลอได้อย่างเด่นชัดมากขึ้น ลักษณะทางแสงนี้ช่วยแยกวัตถุหลักออกจากพื้นหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ได้ภาพถ่ายพอร์ตเทรตที่ดูสวยงามและน่าดึงดูดยิ่งขึ้น เมื่อแสงเข้าสู่เซ็นเซอร์มากขึ้น กล้องจึงสามารถใช้ความเร็วชัตเตอร์ได้เร็วขึ้น ช่วยลดภาพเบลอจากการเคลื่อนไหว ความสามารถนี้ช่วยให้สามารถจับภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ทำให้ได้ภาพที่คมชัดแม้ในสภาวะแสงที่ท้าทาย
กล้องหลังของ Xiaomi 14T Pro ประกอบด้วย กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล, กล้อง Telephoto 50 ล้านพิกเซล และ กล้อง Ultra-wide 12 ล้านพิกเซล ครอบคลุมทางยาวโฟกัสเทียบเท่า 15 มม. 23 มม. และ 60 มม.
- กล้องหลัก 50MP รูรับแสง f/1.6 ทางยาวโฟกัสเทียบเท่า 23 มม. มีระบบกันสั่น OIS
- กล้อง 50MP Telephoto รูรับแสง f/1.9 ทางยาวโฟกัสเทียบเท่า 60 มม.
- กล้อง 12MP Ultra-wide รูรับแสง f/2.2 ทางยาวโฟกัสเทียบเท่า 15 มม.
กล้องตัวหลักของ Xiaomi 14T Pro ใช้เซ็นเซอร์ Light Fusion 900 ที่มีขนาดใหญ่ 1/1.31 นิ้ว มาพร้อมเทคโนโลยี Dual ISO Fusion MAX ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ทำให้มีความไวแสงที่ยอดเยี่ยม โดยมีช่วงไดนามิกดั้งเดิมสูงถึง 13.5 EV ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดแสงและเงาได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เทคโนโลยี Dual ISO Fusion MAX มอบความสามารถ HDR แบบเฟรมเดียว โดยมีจุดเด่นที่สำคัญ 2 อย่าง ได้แก่ Real-time HDR Preview และ Reduced Ghosting
- Real-time HDR Preview: ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเห็นเอฟเฟกต์ HDR แบบเรียลไทม์ผ่านช่องมองภาพ จึงสามารถปรับองค์ประกอบภาพและค่าแสงได้แม่นยำยิ่งขึ้นก่อนถ่ายภาพ และมั่นใจได้ว่าสิ่งที่เห็นบนหน้าจอ จะออกมามีสีสันตรงกับภาพถ่ายอย่างแท้จริง
- Reduced Ghosting: HDR แบบหลายเฟรมรูปแบบเดิมมักจะประสบปัญหากับวัตถุที่เคลื่อนไหว ส่งผลให้เกิดภาพซ้อน การใช้เฟรมเดียวช่วยลดปัญหานี้ได้มาก โดยให้ภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น และมีองค์ประกอบที่เคลื่อนไหว แม้ในฉากที่มีคอนทราสต์สูง
ด้วยเซ็นเซอร์และเทคโนโลยีการประมวลผลขั้นสูง ยังทำให้ภาพถ่าย HDR ในสภาพแสงที่ซับซ้อนและมีคอนทราสต์สูง ออกมาคมชัดและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ภาพทิวทัศน์ของเมืองที่มีแสงจ้าและเงาลึก ไปจนถึงภาพถ่ายในเวลากลางคืน จะทำให้ภาพถ่ายชัดเจนและสมจริง และยังคงเก็บรักษารายละเอียดทั้งในส่วนไฮไลท์และเงาได้เป็นอย่างดี
กล้องหลัก และกล้อง Telephoto ยังได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี In-Sensor-Zoom จึงสามารถขยายขีดความสามารถผ่านการครอบตัดภาพ โดยให้ทางยาวโฟกัสเพิ่มเติม 46 มม. และ 120 มม. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพตั้งแต่รายละเอียดในระยะใกล้ไปจนถึงฉากที่อยู่ห่างไกล โดยไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์หรือลดทอนคุณภาพของภาพ
- ระยะ 15 มม. เหมาะสำหรับการถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษ อย่างภาพวิวทิวทัศน์ ไปจนถึงพื้นที่ภายในที่คับแคบ
- ระยะ 23 มม. เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทั่วไปในชีวิตประจำวัน
- ระยะ 46 มม. เหมาะสำหรับการถ่ายภาพแนวสตรีท หรือภาพพอร์ตเทรตในสภาพแวดล้อมต่างๆ
- ระยะ 60 มม. เหมาะสำหรับการถ่ายภาพพอร์ตเทรตในระยะใกล้หรือรายละเอียดช่วงกลาง
- ระยะ 120 มม. เหมาะสำหรับถ่ายภาพระยะไกลหรือมุมมองแบบบีบอัด
นอกจากนี้ กล้องหลังทั้ง 3 ตัว ยังมีรูรับแสงขนาดใหญ่ จึงสามารถรวบรวมแสงได้ดีขึ้นในสภาพแสงน้อย ลดความจำเป็นในการตั้งค่า ISO สูง (จึงช่วยลดสัญญาณรบกวน) ให้ภาพที่คมชัดยิ่งขึ้นในสถานการณ์ที่มีแสงน้อย และเพิ่มความคล่องตัวในการถ่ายภาพตอนกลางคืนโดยใช้ทางยาวโฟกัสต่างๆ
เปิดเข้ามาในแอปกล้องของ Xiaomi 14T Pro จะพบกับโหมดถ่ายภาพ Pro, Movie, Video, Photo, Portrait, Documents, Night, 50MP, Short video, Panorama, Slow motion, Dual video. Time-lapse, Long exposure และ Director mode โหมด Photo รองรับการซูมตั้งแต่ 0.6x จนสูงสุด 30x มาพร้อมสไตล์การถ่ายภาพ Leica Authentic และ Leica Vibrant เปิดใช้งานได้ที่มุมบนขวา อยู่ถัดจาก HDR โดยสไตล์การถ่ายภาพทั้ง 2 แบบ จะประมวลผลภาพตามไฟล์ RAW ในช่วงสี P3 จึงมั่นใจได้ถึงการรักษารายละเอียดที่เหมาะสมที่สุด
- Leica Authentic รวบรวมแก่นแท้ของสุนทรียภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของ Leica โดยมีคอนทราสต์สูงระหว่างแสงและเงา ความสว่างโดยรวมลดลง การไล่โทนสีที่สมบูรณ์ อุณหภูมิสีที่เย็นลง ความคมชัดลดลงเล็กน้อย และขอบมืดที่เห็นได้ชัดเจน โหมดนี้ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ที่ชื่นชอบรูปลักษณ์คลาสสิกเหมือนฟิล์มที่เน้นอารมณ์และบรรยากาศในภาพถ่าย
- Leica Vibrant ผสมผสานสไตล์ Leica ดั้งเดิมเข้ากับสุนทรียศาสตร์ดิจิทัลสมัยใหม่ ให้ภาพโดยรวมที่สว่างยิ่งขึ้น ความอิ่มตัวของสีที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เอฟเฟกต์ HDR ที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อช่วงไดนามิกที่ดีขึ้น และไม่มีขอบภาพมืด โหมดนี้ได้รับการออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ที่ชื่นชอบรูปลักษณ์ร่วมสมัยมากขึ้นด้วยสีสันที่สดใสและค่าแสงที่สมดุล ทำให้ใช้งานได้หลากหลายสำหรับวัตถุและสภาพแสงต่างๆ
ด้านล่างอินเทอร์เฟซของโหมด Photo จะมีไอคอน EV สำหรับปรับค่าชดเชยแสง ตั้งแต่ -4 จนถึง +4 อีกมุมมีฟีเจอร์ Beautify สามารถปรับใบหน้าให้ดูดีขึ้น ถัดลงมาเป็นฟีเจอร์ Filters ซึ่งมีฟิลเตอร์ของ Leica รวมอยู่ด้วย เช่น Leica Vivid, Leica Natural, Leica Black & White Natural, Leica Black & White High Contrast, Leica Sepia และ Leica Blue
ฟิลเตอร์กล้อง Leica ทั้ง 6 แบบ ได้รับการปรับแต่งสีอย่างละเอียด โดยคงไว้ซึ่งการเปลี่ยนสีที่นุ่มนวล ทำให้ได้ภาพที่ประณีตซึ่งรวบรวมความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Leica โดยไม่กระทบต่อความสมบูรณ์ขององค์ประกอบดั้งเดิม
- Leica Vivid: เพิ่มสีสันให้กับงานศิลปะที่มีชีวิตชีวา เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์และภาพนิ่งซึ่งสีเป็นสิ่งสำคัญ
- Leica Natural: ปรับให้เหมาะสมสำหรับการถ่ายภาพพอร์ตเทรตให้ดูเป็นธรรมชาติ รักษาโทนสีผิวและความแตกต่างของสีได้อย่างละเอียดอ่อน
- Leica Black & White Natural: สร้างภาพพอร์ตเทรตขาวดำที่ดูเป็นธรรมชาติ รักษาพื้นผิวและการไล่โทนสี
- Leica Black & White High Contrast: เหมาะสำหรับการถ่ายภาพแนวสตรีทที่น่าทึ่ง โดยเน้นองค์ประกอบภาพที่ชัดเจนผ่านคอนทราสต์ที่สูงขึ้น
- Leica Sepia: ให้ลุควินเทจคลาสสิก เหมาะสำหรับการสร้างภาพที่ชวนให้นึกถึงอดีตเหนือกาลเวลา
- Leica Blue: สร้างบรรยากาศที่มีสไตล์และอารมณ์แปรปรวน เหมาะสำหรับการถ่ายภาพร่วมสมัยและสื่ออารมณ์
เมื่อแตะที่ไอคอนลูกศรชี้ลง บบแถบเครื่องมือด้านบนของโหมด Photo จะพบกับฟีเจอร์กล้องเพิ่มเติม เช่น AI Camera, Motion tracking focus, Tilt-shift, Leica
โหมด Pro เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีทักษะด้านการถ่ายภาพเป็นพิเศษ สามารถปรับการตั้งค่ากล้องได้อย่างอิสระ เหมือนใช้กล้องมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นสมดุลสีขาว, การโฟกัส, ความเร็วชัตเตอร์, ความไวแสง, ค่าชดเชยแสง รวมถึงสลับใช้กล้อง Wide, Ultra Wide, Telephoto ได้ตามต้องการ
โหมด Portrait มีฟีเจอร์ Beautify และ Filters เหมือนกับโหมด Photo สามารถเลือกทางยาวโฟกัสได้ในช่วง 25mm, 35mm, 60mm, 75mm ปรับค่าชดเชยแสงได้ -4 ถึง +4 แต่ไฮไลท์จริงๆ อยู่ที่ Master-lens system เข้าถึงได้จากไอคอนเลนส์กล้อง (เหนือไอคอน EV)
Master-lens system ใช้อัลกอริธึมการถ่ายภาพด้วยคอมพิวเตอร์ขั้นสูง เพื่อพัฒนาโหมดการถ่ายภาพพอร์ตเทรตที่แตกต่างกัน 4 โหมด แต่ละโหมดจะเลียนแบบลักษณะเฉพาะด้านการมองเห็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเลนส์กล้อง นวัตกรรมนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพพอร์ตเทรตที่มีความสวยงามระดับมืออาชีพ ซึ่งปกติแล้วจะพบในเลนส์กล้องระดับไฮเอนด์
- 35mm Documentary lens จำลองทางยาวโฟกัส 35 มม. แบบคลาสสิกที่ช่างภาพข่าวชื่นชอบ ให้ขอบเขตการมองเห็นที่กว้างขึ้นเล็กน้อย เหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคลในสภาพแวดล้อม คงความคมชัดทั่วทั้งเฟรมโดยมีการบิดเบือนน้อยที่สุด เหมาะสำหรับการถ่ายภาพวัตถุในบริบทที่เป็นธรรมชาติ
- 50mm Swirly bokeh lens เลียนแบบเอฟเฟ็กต์โบเก้อันเป็นเอกลักษณ์ของเลนส์วินเทจ สร้างเอฟเฟ็กต์หมุนวนที่โดดเด่นในพื้นที่ที่อยู่นอกโฟกัส สร้างคุณภาพแบบชวนฝันให้กับภาพถ่ายบุคคล เหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคลเชิงศิลปะและสร้างสรรค์
- 75mm Portrait lens จำลองการบีบอัดและมุมมองของเลนส์ถ่ายภาพบุคคล 75 มม. แบบคลาสสิก นำเสนอมุมมองที่ช่วยเสริมลักษณะบนใบหน้า ให้การแยกพื้นหลังอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมโบเก้ที่นุ่มนวล เหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคลและภาพบุคคลส่วนบน
- 90mm Soft focus lens เลียนแบบรูปลักษณ์ที่อ่อนโยนและบางเบาของเลนส์ซอฟต์โฟกัสแบบวินเทจ เพิ่มความเรืองแสงอันละเอียดอ่อนและโรแมนติกให้กับภาพบุคคลปรับผิวให้นุ่มขึ้นในขณะที่โดยรวมยังคงความคมชัด เหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่เน้นแสดงความงดงามของบุคคลในภาพ
โหมด Video รองรับการซูมตั้งแต่ 0.6x จนสูงสุด 15x สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด 8K ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที มีฟีเจอร์ Beautify และ Filters เหมือนกับโหมด Photo รวมถึงฟิลเตอร์ของ Leica และ Pro LUTs
โหมด Movie มาพร้อม MasterCinema รูปแบบวิดีโอช่วงไดนามิกสูงที่ออกแบบมาเพื่อมอบความสามารถด้านวิดีโอระดับภาพยนตร์ให้กับผู้ใช้งาน ให้ความละเอียด 4K, อัตราเฟรม 24/30 fps, ความลึกของสี 1-bit, HLG HDR และช่วงสีกว้าง BT.2020 ด้วยการใช้เทคโนโลยี Dual ISO Fusion Max ของเซ็นเซอร์ Light Fusion 900 กล้องจะจับภาพช่วงไดนามิก 13.5 EV นำเสนอเนื้อหาในพื้นที่สี 10-bit Rec.2020 แบบเนทีฟพร้อมเส้นโค้ง HLG แตกต่างจากการใช้งาน HDR ทั่วไปที่เพิ่มตัวอย่างเนื้อหา SDR
MasterCinema ถูกสร้างขึ้นสำหรับ HDR ที่แท้จริง โดยสร้างฉากที่มีคอนทราสต์สูงได้อย่างแม่นยำ มีโปรไฟล์สีที่เป็นกลางเพื่อความคล่องตัวในสภาวะต่างๆ และผสานรวมกับโหมดภาพยนตร์ของอุปกรณ์เพื่อเพิ่มเอฟเฟกต์ภาพยนตร์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ใช้มีเครื่องมือสร้างวิดีโอระดับมืออาชีพ โดยเน้นคุณภาพของภาพที่เป็นธรรมชาติและการสร้างสีที่แม่นยำ
Xiaomi AISP
Xiaomi AISP เป็นอัลกอริธึมการประมวลผลภาพ AI ระดับเรือธง ที่นำมาใช้ตั้งแต่ Xiaomi 14 Ultra และขยายมายัง Xiaomi 14T Series โดยใช้โมเดล Stable Diffusion ผสานพลังการคำนวณของ CPU, GPU, NPU, ISP เข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ และรวมเข้ากับเลเยอร์ฮาร์ดแวร์อย่างล้ำลึกผ่าน Xiaomi Hyper OS สร้างการผสานรวมสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ได้อย่างราบรื่น ส่งผลให้เกิดกระบวนการประมวลผลภาพที่สร้างขึ้นใหม่ ช่วยเพิ่มความสามารถในการประมวลผลภาพตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทางอย่างมีนัยสำคัญ
Xiaomi AISP ประกอบด้วยโมดูลหลัก 4 ตัว ได้แก่ FusionLM, ToneLM, ColorLM และ PortraitLM
- FusionLM เป็นหัวใจหลักของระบบ Xiaomi AISP ซึ่งสามารถประมวลผลภาพ RAW ได้สูงสุดถึง 8 ภาพจากเซนเซอร์ภาพ Light Fusion 900 โดยแต่ละภาพมีความลึกของสีสูงสุดถึง 14-bit โดยการวิเคราะห์ข้อมูลแสงสำหรับแต่ละพิกเซลอย่างละเอียด FusionLM จะรวมภาพเหล่านี้เป็นไฟล์ RAW แบบลิเนียร์ 21-bit ข้อมูลที่มีความละเอียดสูงนี้ช่วยให้การประมวลผลภาพเชิงคอมพิวเตอร์ในโมดูลอื่น ๆ สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษารายละเอียดและช่วงไดนามิกของภาพให้มากที่สุด ความสามารถที่ทรงพลังนี้เห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะในงานถ่ายภาพตอนกลางคืน
- ToneLM ดำเนินการจับคู่โทนสีกับข้อมูล RAW ในโดเมนความสว่าง โดยรักษาความสัมพันธ์แบบลิเนียร์ระหว่างโทนสีภาพ วิธีการนี้จะช่วยลดสิ่งแปลกปลอมในภาพคอมโพสิตให้เหลือน้อยที่สุด และลดความเสี่ยงที่จะเกิดรูปลักษณ์ที่ปลอมแปลง
- ColorLM ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล RAW ที่แม่นยำ รวมเทคโนโลยี 3D LUT แบบดั้งเดิมเข้ากับโมเดลสีขั้นสูง เพื่อประมวลผลข้อมูลสีในระดับพิกเซลอย่างแม่นยำ วิธีนี้ช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เช่น การเปลี่ยนสีเป็นแถบและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สม่ำเสมอ โดยใช้พื้นที่สีที่กว้างของระบบกล้องเพื่อสร้างสีที่ตรงกับการรับรู้ของมนุษย์ รับรองการเปลี่ยนแปลงของสีที่เป็นธรรมชาติ ต่อเนื่อง และมีความลึก ในขณะเดียวกันยังเพิ่มความสมจริงของภาพ
- PortraitLM สามารถทำการวิเคราะห์เชิงความหมายของภาพเพื่อการแบ่งส่วนวัตถุและพื้นหลังในแนวตั้งอย่างละเอียด โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพอย่างละเอียดในวัตถุแนวตั้ง แบบจำลอง และจำลองเส้นทางแสงของเลนส์และรูปแบบโบเก้ในพื้นหลัง โมดูลนี้เลียนแบบเทคนิคของช่างภาพมืออาชีพ โดยสร้างการถ่ายภาพบุคคลขึ้นมาใหม่อย่างเป็นระบบ
Xiaomi 14T Series ใช้ประโยชน์จากฮาร์ดแวร์ที่ยอดเยี่ยม และ Xiaomi AISP เพื่อสร้างฟีเจอร์การถ่ายภาพใหม่อย่าง UltraHDR, Master Portrait และ MasterCinema
- UltraHDR ใช้การประมวลผลข้อมูล RAW ขนาดใหญ่จาก FusionLM ฟีเจอร์นี้ช่วยให้การจับภาพในฉากที่มีความแตกต่างของความสว่างสูงได้ด้วยช่วงไดนามิกที่ยอดเยี่ยม โดยสร้างแผนที่การเพิ่มความสว่างที่ครอบคลุมพร้อมกับข้อมูลเมตาดาต้าความสว่างที่ครบถ้วน ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานของ Google ภาพ UltraHDR เหล่านี้สามารถแสดงความสว่าง HDR เต็มรูปแบบบนอุปกรณ์ที่รองรับ ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสช่วงของไฮไลท์และเงาอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ว่าจะใช้แพลตฟอร์มการแสดงผลใด
- Master Portrait เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโหมด Leica Portrait ที่มีอยู่ โดยให้ความยาวโฟกัส 4 ระดับ (23 มม., 35 มม., 60 มม., 75 มม.) ด้วยการใช้รูรับแสงขนาดใหญ่ของเลนส์ Leica Summilux และพลังการคำนวณของ PortraitLM ทำให้สามารถถ่ายภาพบุคคลที่มีโทนสีผิวที่เป็นธรรมชาติ รายละเอียดใบหน้าที่คงไว้ และความชัดลึกที่สมจริง โหมดนี้โดดเด่นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงระหว่างวัตถุกับพื้นหลังอย่างเรียบเนียนและการเบลอพื้นหลังที่เหมาะสม ส่งผลให้ได้ภาพที่ดูเป็นมืออาชีพซึ่งเน้นไปที่วัตถุ ในขณะเดียวกันก็รักษาคุณภาพการเล่าเรื่องด้วยความลึกและมิติที่เป็นธรรมชาติ
ตัวอย่างภาพถ่าย
รองรับฟีเจอร์ AI ขั้นสูง
Xiaomi 14T Series พร้อมเข้าสู่ยุค AI ด้วยฟีเจอร์อัจฉริยะมากมายที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น โดยมีชุดแอปพลิเคชัน AI ที่ Xiaomi พัฒนาขึ้นมาเอง เช่น AI Interpreter, AI Image Edit, AI Notes, AI Recorder, AI Portrait และ AI Film นอกจากนี้ Xiaomi ยังทำงานร่วมกับ Google และ Microsoft Auzre เพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถของ AI บนคลาวด์และบนอุปกรณ์ มาช่วยปรับปรุงฟังก์ชันการค้นหา เสียง ข้อความ รูปภาพ และ วิดีโอ โดยเฉพาะฟีเจอร์สุดล้ำอย่าง Google Gemini Assistant และ Circle to Search
AI Image Edit
AI Image Edit ทำให้การตกแต่งแก้ไขภาพเป็นเรื่องง่าย ด้วยเครื่องมือ AI ขั้นสูง ที่ขับเคลื่อนโดยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM – Large Language Model) ของ Xiaomi ไม่ว่าจะเป็น AI Image Expansion และ AI Magic Removal Pro
AI Image Expansion ขยายพื้นที่โดยรอบของภาพถ่ายต้นฉบับอย่างชาญฉลาด ให้ผู้ใช้มีอิสระในการจัดองค์ประกอบภาพมากขึ้น สามารถปรับองค์ประกอบภาพหลังการถ่ายภาพได้อย่างง่ายดาย เหมาะสำหรับการแก้ไขภาพถ่ายที่ไม่ได้จัดองค์ประกอบให้สมบูรณ์ในการถ่ายครั้งแรก หรือต้องการจัดองค์ประกอบภาพใหม่โดยไม่ต้องใช้เลนส์ที่กว้างขึ้น
AI Magic Removal Pro ตัวช่วยในการลบวัตถุหรือบุคคลที่ไม่ต้องการออกจากภาพถ่าย พร้อมเติมช่องว่างที่ถูกลบออกไปให้เหมือนกับต้นฉบับได้อย่างแนบเนียนและดูเป็นธรรมชาติ เหมือนกับว่าไม่เคยมีวัตถุหรือบุคคลที่ถูกลบไปเคยอยู่ในภาพมาก่อน แม้ว่าภาพนั้นจะมีฉากที่ซับซ้อนมากก็ตาม
AI Interpreter
AI Interpreter ทำหน้าที่เป็นล่ามส่วนตัว สามารถแปลภาษาได้แบบเรียลไทม์ ด้วยโหมดการทำงาน 2 รูปแบบ ได้แก่ การแปลแบบเห็นหน้า (face-to-face) แสดงคำแปลแบบแยกหน้าจอ สามารถรตรวจจับภาษาอัตโนมัติ ประมวลผลแบบเรียลไทม์ และ การแปลทางโทรศัพท์/การประชุม (phone/conference call) สามารถแปลบทสนทนาได้เต็มรูปแบบ รองรับผู้เข้าร่วมหลายราย พร้อมลดเสียงรบกวนจากพื้นหลัง
ปัจจุบัน AI Interpreter รองรับเฉพาะภาษาจีน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน, โปรตุเกส, อิตาลี, เยอรมัน, รัสเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี, ฮินดี และ อินโดนีเซีย แต่จะรองรับภาษาอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งไทย, มาเลย์, เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ หลังจากอัปเดตซอฟต์แวร์ในอนาคต
ฟีเจอร์ AI ที่น่าสนใจใน Xiaomi 14T Series (บางฟีเจอร์ต้องรอการอัปเดตซอฟต์แวร์ในอนาคต)
- AI Notes ตัวช่วยในการจดโน้ต สามารถสรุปเนื้อหา แก้ไข จัดองค์ประกอบ ไปจนถึงแปลภาษา
- AI Recorder สามารถถอดเสียงที่บันทึกไว้เป็นข้อความ สรุปการบันทึกเสียงได้อัตโนมัติ ระบุผู้พูด และแปลภาษาจากเสียงที่บันทึกได้
- AI Portrait เปลี่ยนภาพถ่ายพอร์ตเทรตให้เป็นภาพโปรไฟล์ หรือ Avatar
- AI Film สร้างวิดีโอสั้นจากวิดีโอที่เก็บไว้ในแกลเลอรีได้ง่ายๆ เพียงป้อนข้อความอธิบาย แล้ว AI จะจัดการให้ทุกอย่าง รวมถึงซิงค์กับจังหวะเพลง
- AI Video Subtitles สร้างคำบรรยายวิดีโอแบบเรียลไทม์ พร้อมแปลภาษา
- AI Message Assistant อาศัย Gemini Nano ที่ติดตั้งมากับอุปกรณ์ ช่วยเขียนข้อความใหม่ในสไตล์ที่ต้องการ
ประสิทธิภาพชิป Dimensity 9300+
Xiaomi 14T Pro ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล Dimensity 9300+ ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นชิปเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดของ MediaTek ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานด้าน Generative AI โดยเฉพาะ และสามารถเรียกใช้ LLM (Large Language Model) ได้อย่างรวดเร็ว
ชิป MediaTek Dimensity 9300+ ถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยี 4 นาโนเมตร รุ่นที่ 3 ของ TSMC ประกอบด้วยคอร์ขนาดใหญ่ทั้งหมด หรือ All-Big-Core ได้แก่ Arm Cortex-X4 (1 คอร์) ทำงานที่ความเร็วสูงสุด 3.4GHz + Arm Cortex-X4 (3 คอร์) ทำงานที่ความเร็วสูงสุด 2.85GHz + และ Arm Cortex-A720 (4 คอร์) ทำงานที่ความเร็วสูงสุด 2.0GHz
ด้านกราฟิกมาพร้อม Arm Immortalis-G720 MC12 GPU (12 คอร์) ที่มีรองรับเทคโนโลยีเรย์เทรซซิ่งที่เร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ รุ่นที่ 2 และตอบสนองการใช้งานด้าน AI ด้วย MediaTek NPU 790 ช่วยให้การประมวลผล AI บนอุปกรณ์รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น
สำหรับความจำ Xiaomi 14T Pro ได้รับความจำ RAM LPDDR5x 8533Mbps สูงสุด 12GB จับคู่กับ ROM UFS 4.0 สูงสุด 1TB ส่วนเครื่องที่ได้รับมารีวิว เป็นรุ่น RAM 12GB + ROM 512GB สามารถทำคะแนนได้มากกว่า 1.8 ล้านคะแนน จากแอปพลิเคชัน AnTuTu
ระบบระบายความร้อน Xiaomi 3D IceLoop
ความเย็นมีส่วนสำคัญที่ทำให้สมาร์ทโฟนรักษาประสิทธิภาพในระดับสูงได้ ดังนั้น Xiaomi 14T Pro จึงมาพร้อมระบบระบายความร้อน Xiaomi 3D IceLoop ที่ได้รับการอัปเกรดมาจากระบบระบายความร้อน VC (Vapor Chamber) แบบเดิม โดยดีไซน์โครงสร้างใหม่ให้มีความโค้งนูนแบบ 3D ครอบคลุมพื้นที่กระจายความร้อนที่กว้างขวางถึง 5,000 ตารางมิลลิเมตร นอกจากนี้ สถาปัตยกรรมของระบบยังได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มการสัมผัสกับโปรเซสเซอร์ ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการกระจายความร้อนโดยรวม
ด้วยระบบระบายความร้อน Xiaomi 3D IceLoop ช่วยให้ Xiaomi 14T Pro สามารถจัดการความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถใช้โปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงและรักษาระดับประสิทธิภาพที่ดีที่สุดได้เป็นระยะเวลานาน หมายความว่า ผู้ใช้งานสามารถสนุกกับเกมและใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างเต็มที่และยาวนาน รองรับการเล่นเกมยอดนิยมด้วยคุณภาพกราฟิกระดับสูงและเฟรมเรทสูง
ชาร์จเร็ว 120W HyperCharge
Xiaomi 14T Pro ได้รับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh ให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น 14% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ทำให้ผู้ใช้งานคลายความกังวลในเรื่องแบตเตอรี่หมดระหว่างวัน และเมื่อต้องการเติมพลัง Xiaomi 14T Pro ยังสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 120W HyperCharge ผ่านพอร์ต USB-C สามารถชาร์จได้ถึง 100% ในเวลาเพียง 18 นาที 35 วินาที และรองรับชาร์จเร็วแบบไร้สาย 50W Wireless HyperCharge สามารถชาร์จได้ถึง 50% ใน 20 นาที
นอกเหนือจากเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Xiaomi ยังให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยระหว่างชาร์จด้วยฟีเจอร์ป้องกันความปลอดภัยในการชาร์จ 64 รายการ ควบคุมโดยชิปการชาร์จ Surge P2 ที่เป็นเอกสิทธิ์ของ Xiaomi และยังมีชิปจัดการแบตเตอรี่ Surge G1 ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ Xiaomi 14T Pro ให้สามารถรักษาความจุแบตเตอรี่ในระดับสูงแม้ผ่านการชาร์จไปแล้ว 1,600 รอบ ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพช้ากว่าแบตเตอรี่ทั่วไป
จอแสดงผล Next-gen CrystalRes AI Display
Xiaomi 14T Pro มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ความละเอียด 2712 x 1220 พิกเซล ขนาด 6.67 นิ้ว ความหนาแน่นของพิกเซล 446 PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) ให้ความสว่างเต็มหน้าจอ 1600 นิต ความสว่างสูงสุดถึง 4000 นิต รองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 144Hz และอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส หรือ Touch Sampling Rate ที่ 480Hz
ขณะที่จอแสดงผลของอุปกรณ์เรือธงส่วนใหญ่ในตลาดมีความลึกสี 10-bit หรือ 1.07 พันล้านสี แต่จอแสดงผลของ Xiaomi 14T Pro มีความลึกของสี 12-bit หรือ 6.87 หมื่นล้านสี พร้อมรองรับ Dolby Vision, HDR10+ และ HDR10
นอกจากสีสันที่สวยงามคมชัด จอแสดงผลของ Xiaomi 14T Pro ยังได้รับการออกแบบมาให้มีขอบหน้าจอแคบเป็นพิเศษ โดยอาศัยเทคโนโลยี FIAA ขั้นสูง ทำให้มีขอบจอด้านบนบางเพียง 1.7 มิลลิเมตร ขอบจอด้านข้างทั้งซ้าย-ขวาบางเพียง 1.9 มิลลิเมตร ส่งผลให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 93.6% และทำให้ดีไซน์ด้านหน้ามีสัดส่วนที่สมมาตร
เทคโนโลยี AI ก็ถูกนำมาใช้กับจอแสดงผลด้วยเช่นกัน เริ่มตั้งแต่ AI Eye-Care ที่นำอัลกอริธึมตรวจจับอุณหภูมิสีโดยรอบ เข้ามาช่วยในการปรับลดแสง PWM (Pulse Width Modulation) ได้ที่ความถี่สูง 3840Hz ไม่ว่าจะใช้งานในที่แสงน้อยหรืออยู่ในสภาพแสงปกติ จึงสามารถปกป้องดวงตาได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- AI Touch Control ยกระดับอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัสระหว่างเล่นเกมให้สูงถึง 2160Hz และยังเพิ่มความไวต่อการสัมผัสเมื่อสวมถุงมือ ใช้ฟิล์มกันรอย หรือ นิ้วมือเปียก
- AI Auto Brightness ช่วยปรับความสว่างให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติ โดยเรียนรู้พฤติกรรมและสถานการณ์ของผู้ใช้งานผ่าน AI
- AI Video with Local Mapping ใช้อัลกอริธึมของ AI ในการระบุวัตถุและพื้นหลังในเนื้อหาวิดีโอ เพื่อให้การรับรู้เชิงลึกและสีที่สมจริง
- AI Adaptive Colors สามารถปรับอุณหภูมิสีตามแสงโดยรอบได้อย่างแม่นยำด้วย AI ทำให้ฉากดูสมจริงและสบายตายิ่งขึ้น
ปรับปรุงการเชื่อมต่อด้วยชิป Surge T1 ของ Xiaomi
นอกจากชิปเซ็ตการชาร์จ Surge P2 และ ชิปเซ็ตการจัดการแบตเตอรี่ Surge G1 ที่เป็นเอกสิทธิ์ของ Xiaomi ยังมีชิปเซ็ตเพิ่มประสิทธิภาพสัญญาณ Xiaomi Surge T1 Tuner แบบเดียวกับที่พบใน Xiaomi 14 Ultra ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อกัลเครือข่ายมือถือ (Cellular) ดีขึ้น 32%, เพิ่มประสิทธิภาพ Wi-Fi ดีขึ้น 12% และเพิ่มความแม่นยำของ GPS ดีขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
Xiaomi 14T Pro ยังได้รับการปรับปรุงเทคโนโลยี Multi-Link ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย 5G และเครือข่าย Wi-Fi 2.4GHz/5GHz ในเวลาเดียวกันได้ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับสถานการณ์การเชื่อมต่อที่แตกต่างกัน 16 แบบ นอกจากนี้ Xiaomi 14T Pro ยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อล่าสุด รวมถึง Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ GPS แบบความถี่คู่ จึงมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพที่ล้ำสมัยในโปรโตคอลการสื่อสารต่างๆ
Xiaomi 14T
ความน่าสนใจของ Xiaomi 14T คือได้รับฟีเจอร์หลายอย่างที่พบได้ในรุ่น Pro ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ Leica Summilux จอแสดงผลที่ให้อัตรารีเฟรชสูงสุด 144Hz รวมถึงฟีเจอร์ AI ขั้นสูง แตกต่างที่กล้องหลักใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX906 ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 8300-Ultra รองรับชาร์จเร็ว 67W แต่ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย
สเปก Xiaomi 14T
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 4,000 นิต
- กล้องหลัก 50MP (Sony IMX906) + OIS
- กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 8300-Ultra
- เทคโนโลยีระบายความร้อน Xiaomi Loop LiquidCool
- ความจำ RAM LPDDR5x 8533Mbps + ROM UFS 4.0
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB-C
- ลำโพงสเตอริโอ, ไมโครโฟน 2 ตัว
- รองรับระบบเสียง Dolby Atman, Hi-Res & Hi-Res Wireless
- ได้รับมาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP68
- ระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS บนพื้นฐาน Android 14
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- รองรับชาร์จเร็วแบบใช้สาย 67W HyperCharge
- ชิปเซ็ตการจัดการแบตเตอรี่ Xiaomi Surge G1
- น้ำหนัก 195 กรัม
- มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ Titan Black, Titan Blue, Titan Gray และ Lemon Green (PU)
กล้องหลัง 3 ตัว จาก Leica
ระบบกล้องหลังของ Xiaomi 14T มีการตั้งค่ากล้องหลังคล้ายกับรุ่นโปร แตกต่างที่เซ็นเซอร์ โดยเฉพาะกล้องหลักใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX906 ขนาด 1/1.56” และ Super-pixels ขนาด 2.0 ไมครอน โดยมีรูรับแสง f/1.7 และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล (OIS) จึงให้ช่วงไดนามิกที่ยอดเยี่ยม และเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายในสภาวะแสงน้อย ทำให้ภาพถ่ายในเวลากลางคืนมีสีสันสดใส คมชัด และรายละเอียดสูง
- กล้องหลัก 50MP ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX906 รูรับแสง f/1.7 ความยาวโฟกัส 23 มม. มีระบบกันสั่น OIS
- กล้อง 50MP Telephoto รูรับแสง f/1.9 ความยาวโฟกัส 50 มม.
- กล้อง 12MP Ultra-wide รูรับแสง f/2.2 ความยาวโฟกัส 15 มม.
กล้องหลังทั้ง 3 ตัวของ Xiaomi 14T ได้รับเลนส์ Leica Summilux เช่นเดียวกัน ครอบคลุมระยะทางโฟกัสเทียบเท่าที่ 15 มม., 23 มม. และ 50 มม. นอกจากนี้ กล้อง Telephoto ยังใช้เทคโนโลยี In-Sensor-Zoom ขยายความสามารถในการครอปภาพ ซึ่งให้ระยะทางโฟกัสเพิ่มเติมที่ 100 มม. ทำให้ครอบคลุมการถ่ายภาพได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ช่วงกว้างพิเศษไปจนถึงระยะ Telephoto
- 15 มม. เหมาะสำหรับการถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษ อย่างภาพวิวทิวทัศน์ ไปจนถึงพื้นที่ภายในที่คับแคบ
- 23 มม. เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทั่วไปในชีวิตประจำวัน
- 50 มม. เหมาะสำหรับการถ่ายภาพแนวสตรีท หรือภาพพอร์ตเทรตในสภาพแวดล้อมต่างๆ
- 100 มม. เหมาะสำหรับถ่ายภาพระยะไกลหรือมุมมองแบบบีบอัด
แอปกล้องของ Xiaomi 14T มีฟังก์ชันการใช้งานเหมือนกับ Xiaomi 14T Pro รองรับโหมดถ่ายภาพ Pro, Movie, Video, Photo, Portrait, Documents, Night, 50MP, Short video, Panorama, Slow motion, Dual video, Time-lapse, Long exposure และ Director mode
โหมด Photo รองรับการซูมตั้งแต่ 0.6x จนสูงสุด 20x มาพร้อมสไตล์การถ่ายภาพ Leica Authentic และ Leica Vibrant ส่วนโหมด Portrait ได้รับ Master-lens system เช่นเดียวกัน
โหมด Video รองรับการซูมตั้งแต่ 0.6x จนสูงสุด 15x สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที และยังมีโหมด Movie, Short video, Slow motion และ Time-lapse ไม่ต่างจากรุ่นโปร
กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro ใช้กล้องหน้าตัวเดียวกัน โดยซ่อนไว้ในหลุมบนหน้าจอ มีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 รองรับโหมด Photo ที่มีฟีเจอร์ Beautify ช่วยปรับใบหน้าให้ดูดีขึ้น (ปรับได้ละเอียดกว่ากล้องหลัง) และ Filters สำหรับเพิ่มโทนสีเปลี่ยนอารมณ์ภาพถ่ายเซลฟี่
กล้องหน้าของ Xiaomi 14T Series รองรับโหมด Portrait ที่สามารถปรับค่า F เพื่อเบลอฉากหลังได้หลายระดับ โดยมีฟีเจอร์ Beautify และ Filters เหมือนโหมด Photo
โหมด Portrait มีฟีเจอร์ Beautify และ Filters เหมือนกับโหมด Photo แต่ไฮไลท์จริงๆ อยู่ที่ Master-lens system เข้าถึงได้จากไอคอนเลนส์กล้อง (เหนือไอคอน EV)
โหมด Video ของกล้องหน้า สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที มี Pro LUTs เพิ่มเข้ามา นอกเหนือจาก Filters ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยปรับแต่งโทนภาพของวิดีโอ
ประสิทธิภาพชิป Dimensity 8300-Ultra
Xiaomi 14T ใช้ชิปประมวลผล Dimensity 8300-Ultra ของ MediaTek ซึ่งต่อยอดมาจาก Dimensity 8000 Series ประกอบด้วย CPU ที่มีสถาปัตยกรรม Armv9 ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของ CPU ให้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันยังใช้พลังงานลดลงกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังมี Arm Mali-G615 GPU และ MediaTek NPU 780 สำหรับประมวลผลด้าน AI
ชิป Dimensity 8300-Ultra ถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยี 4 นาโนเมตร มาพร้อม CPU แบบ Octa Core ได้แก่ Arm Cortex-A715 (4 คอร์) + Cortex-A510 (4 คอร์) ด้านความจำได้รับ RAM LPDDR5x 8533Mbps สูงสุด 12GB จับคู่กับ ROM UFS 4.0 สูงสุด 512GB ส่วนเครื่องที่ได้รับมารีวิว เป็นรุ่น RAM 12GB + ROM 512GB สามารถทำคะแนนได้ทะลุ 1.3 ล้านคะแนน จากแอปพลิเคชัน AnTuTu
ระบบระบายความร้อน Xiaomi Loop LiquidCool Technology
นอกจากใช้ชิประดับเรือธง Xiaomi 14T ยังมาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยเทคโนโลยี Loop LiquidCool ของ Xiaomi ซึ่งมีทั้งเครื่องระเหย, คอนเดนเซอร์, ห้องเติมของเหลว, ท่อส่งก๊าซและของเหลว ทั้งหมดถูกนำมารวมกันเป็นระบบท่อความร้อนแบบวงแหวนที่สามารถทำงานด้วยตัวเอง
เมื่อสมาร์ทโฟนทำงานหนัก เครื่องระเหยที่แหล่งความร้อนจะเปลี่ยนสารทำความเย็นให้กลายเป็นก๊าซ จากนั้นก๊าซจะถูกส่งไปยังคอนเดนเซอร์ เพื่อเปลี่ยนกลับเป็นของเหลวอีกครั้ง ส่วนของเหลวจะถูกดูดซึมและรวบรวมผ่านเส้นใยขนาดเล็กในห้องเติมของเหลว ถือว่าเป็นหนึ่งในโซลูชันระบายความร้อนสำหรับสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน สามารถระบายความร้อนได้ดีกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนแบบห้องไอน้ำทั่วไป
ชาร์จเร็ว 67W HyperCharge
Xiaomi 14T ได้รับการปรับปรุงอาขุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานขึ้นด้วยโปรเซสเซอร์ Dimensity 8300-Ultra ขนาด 4 นาโนเมตร ที่มีประสิทธิภาพของ MediaTek ระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS และความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 67W HyperCharge สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ภายในเวลาเพียง 44 นาที 21 วินาที
นอกจากนี้ Xiaomi 14T ยังมีชิปเซ็ตการจัดการแบตเตอรี่ Xiaomi Surge G1 แบบเดียวกับ Xiaomi 14T Pro ช่วยเพิ่มความทนทานและความปลอดภัยให้กับแบตเตอรี่ สามารถรักษาความจุแบตเตอรี่ในระดับสูงแม้ผ่านการชาร์จไปแล้ว 1,600 รอบ และมีฟีเจอร์ป้องกันความปลอดภัยในการชาร์จถึง 64 รายการ
จอแสดงผล Next-gen CrystalRes AI Display
Xiaomi 14T มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ความละเอียด 2712 x 1220 พิกเซล ขนาด 6.67 นิ้ว ความหนาแน่นของพิกเซล 446 PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) ให้ความสว่างเต็มหน้าจอ 1600 นิต ความสว่างสูงสุดถึง 4000 นิต ความลึกของสี 12-bit หรือ 6.87 หมื่นล้านสี พร้อมรองรับ Dolby Vision, HDR10+ และ HDR10 ให้อัตราการรีเฟรชสูงสุด 144Hz และอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส หรือ Touch Sampling Rate ที่ 480Hz
จอแสดงผลของ Xiaomi 14T ดูเหมือนกับจอแสดงผลของ Xiaomi 14T Pro ทุกประการ ทั้งดีไซน์ขอบจอบาง ความละเอียด ขนาดหน้าจอ และได้รับฟีเจอร์ AI ต่างๆ ที่พบในรุ่นโปร ไม่ว่าจะเป็น AI Auto Brightness, AI Video with Local Mapping, AI Adaptive Colors, AI Touch Control รวมถึง AI Eye-Care
สรุปราคาและการจำหน่าย
สมาร์ทโฟน Xiaomi 14T Series ไม่ได้ออกมาแทนที่ Xiaomi 14 หรือ Xiaomi 14 Ultra ที่เปิดตัวในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่เป็นการอัปเกรด Xiaomi 13T Series ในปีที่แล้ว โดยถูกสร้างมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่มีจุดเด่นด้านการถ่ายภาพเป็นพิเศษ ด้วยเทคโนโลยีกล้องขั้นสูงจาก Leica และยังมอบประสบการณ์การใช้งานระดับเรือธงไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ใหม่ๆ จากเทคโนโลยี AI จอแสดงผลความละเอียดสูง แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ รองรับชาร์จเร็ว และดีไซน์สวยงามพรีเมียม
หากมองในภาพรวม Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro มีความเหมือนกันหลายอย่าง ทั้งดีไซน์ จอแสดงผล และเทคโนโลยีการถ่ายภาพ หากต้องการสมาร์ทโฟนเรือธงที่ตอบโจทย์การถ่ายภาพได้อย่างดี Xiaomi 14T ก็อาจจะเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตาม Xiaomi 14T Pro ยังมีรายละเอียดบางอย่างที่ทำได้ดีกว่า ทั้งประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ เซ็นเซอร์กล้องหลักที่มีคุณภาพสูง ไปจนถึงเทคโนโลยีชาร์จเร็ว ชาร์จได้ไวกว่า และยังรองรับการชาร์จไร้สาย ถือเป็นเรือธงอีกหนึ่งรุ่นที่ครบเครื่อง
ทั้งนี้ Xiaomi 14T Series พร้อมให้สั่งซื้อล่วงหน้า ระหว่างวันที่ 28 กันยายน ถึง 11 ตุลาคม 2567 ผ่านทาง Xiaomi Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ
Xiaomi 14T Pro มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ RAM 12GB + ROM 1TB และ RAM 12GB + ROM 512GB มาในสี Titan Black, Titan Blue และ Titan Gray
Xiaomi 14T มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ RAM 12GB + ROM 512GB และ RAM 12GB + ROM 256GB มาในสี Titan Black, Titan Blue, Titan Gray และ Lemon Green
Xiaomi 14T Series พร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ววันนี้ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Xiaomi 14T Pro และ Xiaomi 14T
Xiaomi 14T Pro | Xiaomi 14T | |||
สี | 3 สี ได้แก่ Titan Gray, Titan Blue, Titan Black | 4 สี ได้แก่ Titan Gray, Titan Blue, Titan Black, Lemon Green | ||
ความจุ | 12GB+1TB | 12GB+512GB | 12GB+512GB | 12GB+256GB |
ราคา | 24,990 บาท | 21,990 บาท | 17,990 บาท | 15,990 บาท |
ช่องทางการจำหน่าย | เฉพาะที่ Xiaomi Store และ mi.com | Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์แพลตฟอร์ม | ||
Pre-order Promotion1 | สำหรับลูกค้าที่สั่งจองในระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 11 ตุลาคม 2567รับฟรี! Xiaomi Watch S3 และ 120W Charger Adapter Kit พร้อม VIP Services ต่างๆ รวมมูลค่าของสมนาคุณ 22,074 บาท1 | สำหรับลูกค้าที่สั่งจองในระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 11 ตุลาคม 2567รับฟรี! Xiaomi OpenWear Stereo และ 67W Charger Adapter Kit พร้อม VIP Services ต่างๆ รวมมูลค่าของสมนาคุณ 18,674 บาท1 |