Joanna Stern จาก The Wall Street Journal ได้นำ iPhone 14 และ Apple Watch Ultra มาทดสอบฟีเจอร์ใหม่ Crash Detection ที่ช่วยให้ iPhone และ Apple Watch รุ่นใหม่ๆ ในปีนี้ สามารถตรวจจับการเกิดอุบัติเหตุจากการชนกันอย่างรุนแรง และสามารถแจ้งหน่วยฉุกเฉินโดยอัตโนมัติหากไม่มีการตอบสนองของผู้ใช้งาน
การทดสอบของทีมงาน The Wall Street Journal ใช้พื้นที่ของลานจอดซากรถที่กำลังจะถูกทำลาย โดยใช้รถยนต์เก่า 2 คัน ได้แก่ Ford Taurus 2003 และ Dodge Caravan 2008 ทั้ง 2 คัน จะมีการติดตั้ง iPhone 14 ไว้ภายในรถ แล้วจอดนิ่งไว้ ขณะที่ใช้รถอีกคันของ Michael Barabe นักแข่งรถดาร์บี้ในการพุ่งเข้าชน ซึ่ง Michael Barabe จะสวม Apple Watch Ultra และมี iPhone 14 อยู่ในรถเช่นกัน
การทดสอบในครั้งแรก Michael Barabe ขับรถพุ่งชน Ford Taurus ที่จอดนิ่ง หลังจากการชน Apple Watch ที่ Michael Barabe สวมไว้ สามารถตรวจจับการชนได้ ถึงแม้การโทรออกไปยังหน่วยฉุกเฉินจะล่าช้าเล็กน้อย แต่ iPhone 14 ที่อยู่ในรถ Ford Taurus ไม่มีการตอบสนองใดๆ
การทดสอบชนรถ Dodge Caravan ผ่านไปด้วยดี ทำให้ Joanna Stern ตั้งข้อสังเกตว่ารถ Ford Taurus อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ หน้าต่างเปิดอยู่ ถุงลมนิรภัยก็ผ่านการใช้งานมาแล้ว ขณะที่ตัวรถ Dodge Caravan อยู่ในสภาพดีกว่า
Joanna Stern ได้ติดต่อไปยัง Apple เพื่อขอคำอธิบายว่าทำไมฟีเจอร์ Crash Detection ทำงานขัดข้องกับรถยนต์ที่จอดนิ่ง และได้รับคำตอบว่า การทดสอบของ Joanna Stern ที่เกิดขึ้นบนลานจอดซากรถ ให้สัญญาณไม่เพียงพอที่จะทำให้ฟีเจอร์ Crash Detection ใน iPhone ทำงาน
ตัวแทนของ Apple ชี้แจงว่า เพื่อกระตุ้นให้ฟีเจอร์ Crash Detection ใน iPhone ทำงานได้อย่างดี โดยเฉพาะในรถยนต์ที่จอดนิ่ง ควรเชื่อมต่อกับ Bluetooth หรือ CarPlay ซึ่งเป็นสัญญาณที่ช่วยบอกว่ารถยนต์กำลังถูกใช้งาน นอกจากนี้ รถที่ Joanna Stern นำมาทดสอบ ยังจอดนิ่งเป็นเวลานาน ไม่ได้นำออกมาวิ่งเพื่อให้ GPS ของ iPhone ระบุได้ว่าอยู่บนถนนจริง
Joanna Stern จึงสรุปได้ว่าฟีเจอร์ Crash Detection ทำงานได้โดยอาศัยทั้งเซ็นเซอร์ต่างๆ ในอุปกรณ์ และอัลกอริทึม หรือ ซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ช่วยในการตรวจจับการชนบน iPhone และ Apple Watch
ส่วนประกอบในอุปกรณ์ของ Apple ที่มีฟีเจอร์ Crash Detection
- เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ประกอบด้วย Gyroscope แบบ 3 แกน ทำงานร่วมกับ Accelerometer ตรวจวัดแรง G สูง ซึ่งสุ่มตัวอย่างการเคลื่อนไหวมากกว่า 3,000 ครั้งต่อวินาที หมายความว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับ Crash Detection สามารถตรวจจับช่วงเวลาของการกระแทกและการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในการเคลื่อนที่หรือวิถีของรถได้อย่างแม่นยำ
- ไมโครโฟน ช่วยในการตรวจจับเสียงดังที่มักเกิดขึ้นจากรถชนรุนแรง โดยจะเปิดเมื่อตรวจพบการขับขี่เท่านั้น และไม่มีการบันทึกเสียงไว้ เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน
- Barometer ช่วยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศภายในรถยนต์ รับรู้ได้ทันทีเมื่อถุงลมนิรภายทำงานเมื่อปิดหน้าต่าง
- GPS ใช้ตรวจจับความเร็วก่อนเกิดอุบัติเหตุและขาดการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน รวมทั้งแจ้งอุปกรณ์ว่ากำลังเดินทางบนถนน
- CarPlay และ Bluetooth เป็นอีกสัญญาณที่ทำให้อัลกอริธึม รับรู้ว่ามี iPhone อยู่ในรถ ทำให้ฟีเจอร์ Crash Detection พร้อมทำงาน
ทั้งนี้ ฟีเจอร์ Crash Detection ของ iPhone 14 อาศัยอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบ Dual-core ใหม่ ที่สามารถตรวจวัดแรง g ได้สูงสุดถึง 256 พร้อมด้วยไจโรสโคปที่มีช่วงไดนามิกสูง และใช้บารอมิเตอร์ ที่ปรับปรุงให้สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแรงดันในห้องโดยสาร และ GPS ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความเร็ว ไปจนถึงไมโครโฟน ช่วยตรวจจับเสียงดังที่มักเกิดขึ้นจากรถชนรุนแรงได้ด้วย และยังมีอัลกอริทึมการเคลื่อนไหวสุดล้ำที่ออกแบบโดย Apple ซึ่งพัฒนาขึ้นจากข้อมูลการขับขี่และการชนกันที่เกิดขึ้นจริงกว่า 1 ล้านชั่วโมง เพื่อให้มีความแม่นยำมากขึ้น
ฟีเจอร์ Crash Detection ยังทำงานร่วมกับ Apple Watch เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อย่างเช่น เมื่อตรวจพบเหตุรถชนรุนแรง อินเทอร์เฟซการโทรติดต่อบริการฉุกเฉินจะปรากฏบน Apple Watch เพราะมักเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวผู้ใช้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็จะใช้ iPhone ที่อาจอยู่ในระยะใกล้เคียงในการโทรออก เพื่อการเชื่อมต่อสัญญาณที่ดีที่สุด
ฟีเจอร์ Crash Detection ยังมีอยู่ใน iPhone 14 ทั้ง 4 รุ่น, Apple Watch SE (รุ่นที่ 2), Apple Watch Series 8 และ Apple Watch Ultra