Shazam หนึ่งในแอปเพลงที่โด่งดังและเป็นที่นิยมที่สุดของโลกได้ถูกใช้มากกว่าหนึ่งพันล้านครั้งต่อเดือนและมีมากกว่า 5 หมื่นล้านแท็กนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2002 และยังคงออกแบบการใช้งานที่ปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ด้วยการประมวลผลบนเครื่อง
Shazam ซึ่งเริ่มต้นให้บริการทางข้อความในปี 2002 เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อสร้างแอปบน Apple App Store ในปี 2008 โดย Shazam ได้ช่วยผู้ใช้ค้นหาเพลงกว่าหนึ่งพันล้านครั้งต่อเดือน และได้จับคู่มากกว่า 5 หมื่นล้านแท็กกับเพลงกว่า 51 ล้านเพลง โดยมีเพลงป๊อปจีน “框不住的愛 (不插電版)” ของ Evangeline เป็นเพลงลำดับที่ 5 หมื่นล้านที่ถูก Shazam ส่วน “Dance Monkey” ของ Tones and I ยังคงครองแชมป์เพลงที่ถูก Shazam มากที่สุดตลอดกาล
นอกจากนี้ Shazam ยังออกแบบการใช้งานที่ปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทุกครั้งที่ผู้ใช้ทำการสั่งให้ Shazam ค้นหาเพลง รอยนิ้วมือดิจิทัลของเสียงจะถูกสร้างขึ้นและจะจับคู่เข้ากับคลังข้อมูลเพลงนับล้านของ Shazam ภายในไม่กี่วินาที รอยนิ้วมือดิจิทัลนั้นจะถูกสร้างขึ้นบนอุปกรณ์ และไฟล์เสียงจะไม่ถูกส่งมาที่ Apple ทำให้มั่นใจได้ว่ากระบวนการทั้งหมดนี้ปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา
Oliver Schusser รองประธาน Apple Music และ Beats ของ Apple กล่าวว่า “Shazam ทำงานเหมือนดั่งเวทมนตร์ สำหรับทั้งแฟนเพลงที่สามารถรู้ได้ทันทีว่าเพลงที่ได้ยินนั้นคือเพลงอะไร และสำหรับศิลปินที่จะถูกค้นพบ การค้นหาเพลงเกินกว่าหนึ่งพันล้านครั้งต่อเดือนทำให้ Shazam เป็นหนึ่งในแอปเพลงที่เป็นที่นิยมที่สุดในโลก และความสำเร็จนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความรักที่ผู้คนมีต่อ Shazam แล้ว ยังหมายถึงความต้องการในการค้นหาเพลงใหม่ๆ ทั่วโลกอีกด้วย”
Apple ได้เปิดตัว ShazamKit ที่งาน WWDC ปีนี้ซึ่งเปิดโอกาสให้นักพัฒนาได้เชื่อมต่อเทคโนโลยีการรับรู้เสียงของ Shazam เข้ากับแอปของทุกคน ทำให้นอกจากจะสามารถจับคู่กับเพลงที่อยู่ในแคตาล็อกอันมหาศาลของ Shazam ได้แล้ว ยังทำให้จับคู่กับเสียงที่ถูกอัดไว้เพื่อนำเสนอผลลัพธ์ที่นักพัฒนาต้องการ ยกตัวอย่างเช่นการเรียนแบบเวอร์ชวลที่เมื่อใช้เสียงของเนื้อหาในบทเรียนนั้นเพื่อเชื่อมกับกิจกรรมในแอปของนักเรียนในขณะที่เนื้อหาถูกสตรีมผ่านการประชุมแบบวิดีโอ โดย ShazamKit จะพร้อมใช้งานปลายปีนี้