realme ส่งสมาร์ทโฟนคุ้มราคาออกมาให้เลือกอีกแล้ว หลังจากเปิดตัว realme C17 ในงาน Thailand Mobile Expo เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ล่าสุดก็ได้แนะนำ realme C12 ที่เป็นเจ้าของได้ง่ายกว่ามาเป็นอีกทางเลือกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2020 โดยทีมงาน @flashfly เคยนำเสนอแกะกล่อง realme C12 ไปแล้วก่อนหน้านี้ และถึงเวลาของการรีวิวอย่างเต็มรูปแบบแล้ว
สเปกหลักของ realme C12
- จอแสดงผล HD+ ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อมรอยบาก Mini-drop
- แบตเตอรี่ 6000mAh รองรับการใช้งานเป็น Power Bank
- กล้องหลัง 3 ตัว 13MP AI Triple Camera รองรับ NightScape
- กล้องหน้า 5MP รองรับ AI Beauty
- ชิปประมวลผล MediaTek Helio G35
- ความจำ RAM 3GB จับคู่กับ ROM 32GB
- สนับสนุน 2 ซิมการ์ด แบบ Triple Slot (2 SIM + 1 MicroSD)
- การเชื่อมต่อ 4G LTE Wi-Fi 802.11 b/g/n, Bluetooth 5.0, Micro-USB, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
- ระบบนำทาง GPS, Beidou, Glonass
- เซ็นเซอร์ Fingerprint, Light Sensor, Proximity Sensor, Magnetic induction Sensor, Acceleration Sensor
- ระบบปฏิบัติการ realme UI บนพื้นฐาน Android 10
- ขนาดบอดี้ 164.5 x 75.9 x 9.8 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 209 กรัม
ดีไซน์จากรูปทรงเรขาคณิต
การออกแบบของ realme C12 ยังใช้แนวทางเดียวกับ realme C11 ถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปทรงเรขาคณิตเหมือนกัน โดยเฉพาะดีไซน์ด้านหลังที่มีการไล่เฉดสี 3 ระดับ ซึ่งเกิดจากเส้นตัดของรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ทำให้เกิดเอฟเฟกต์สะท้อนแสงที่แตกต่างกัน
ด้านหลังของ realme C12 ผ่านกระบวนการเคลือบและขัดพื้นผิวอย่างแม่นยำถึง 300 นาที โดยใช้เครื่องแกะสลักเรเดียม 5 แกน จากบริษัทชั้นนำในประเทศเยอรมัน เพื่อให้ได้เส้นแกะสลักที่มีความโค้งและเกิดเอฟเฟกต์แสงสะท้อน รวมไปถึงสีสันสวยงามน่าสัมผัส พร้อมป้องกันรอยนิ้วมือและขีดข่วน โดยผลิตออกมาให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน Marine Blue และ สีแดง Coral Red
ด้านหลังยังสะดุดตากับดีไซน์ของระบบกล้องหลัง 3 ตัว พร้อมแฟลช LED จัดวางในรูปแบบตาราง 2 x 2 อย่างสมดุล อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีมุมโค้งมนอย่างลงตัว
realme C12 ได้รับการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย ซึ่งไม่พบใน realme C11 สามารถสแกนนิ้วได้อย่างรวดเร็ว และยังรองรับฟีเจอร์ Face Unlock สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อค
พลิกมาดูที่ด้านหน้ากันบ้าง จะพบกับจอแสดงผลแบบ Mini-drop ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 1600 x 720 พิกเซล ให้อัตราส่วนภาพ 20:9 เหมาะสำหรับการรับชมคอนเท้นต์วิดีโอและเล่นเกม
realme C12 ได้รับการอัพเกรดโครงสร้างภายในจอแสดงผล โดยใช้กระบวนการทับซ้อนกัน (Stack Process) ด้วยการดึงส่วนประกอบต่างๆ เข้าใกล้กันอย่างลงตัว เพื่อให้พื้นที่ของรอยบากแบบหยดน้ำมีขนาดเล็กลงลงถึง 30.9% ส่งผลให้จแสดงผลของ realme C12 มีอัตราส่วนหน้าจอต่อบอดี้ 88.7%
ภายในรอยบากแบบหยดน้ำ ได้ติดตั้งกล้องเซลฟี่แบบ AI Selfie Camera ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และเหนือขึ้นไปเป็นตำแหน่งของลำโพง
ขอบด้านข้างมีความบาง 9.8 มิลลิเมตร ติดตั้งปุ่มปรับระดับเสียง กับปุ่มเพาเวอร์ไว้ฝั่งดียวกัน
อีกข้างมีถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple Slot รองรับ 2 ซิมการ์ด Dual nano-SIM และสามารถวางการ์ด MicroSD เพิ่มได้อีก 1 ช่อง รองรับความจุสูงสุด 256GB
ด้านล่างจะพบกับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟน, พอร์ตเชื่อมต่อ Micro-USB และ ลำโพง
กล้องหน้า AI Selfie Camera
realme C12 ติดตั้งกล้องหน้าไว้ในรอยบากแบบหยดน้ำ โดยมีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รองรับโหมดถ่ายภาพ AI Beauty, Portrait, HDR และ Panoselfie สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่ในมุมมองที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ กล้องหน้ายังสามารถถ่ายวิดีโอในความละเอียด Full HD 1080p พร้อมด้วยโหมด Timelapse
กล้องหลัง 3 ตัว ถ่าย Nightscape ได้
realme C12 ได้รับการอัพเกรดระบบกล้องหลังเพิ่มเติมจากรุ่นก่อนที่มี 2 เลนส์ มาเป็น 3 เลนส์ จัดวางรวมกับแฟลช LED ไว้ในกรอบสี่เหลี่ยมอย่างสมดุล และยังปรับปรุงการถ่ายภาพในที่แสงน้อยให้ดีขึ้น โดยกล้องหลังทั้ง 3 ตัว ทำหน้าที่แตกต่างกันดังนี้
- กล้องหลัก 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 ระบบโฟกัส PDAF รองรับดิจิตอลซูม 4 เท่า
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 สำหรับถ่ายภาพใกล้วัตถุ สูงสุดถึง 4 เซนติเมตร
- กล้อง B&W ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ช่วยเพิ่มเอฟเฟกต์สีขาวดำแนว Retro เพิ่มความโดดเด่นให้กับภาพถ่าย Portrait
กล้องหลังของ realme C12 ยังมาพร้อมโหมด Super NightScape สำหรับถ่ายภาพในเวลากลางคืนหรือในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น โดยใช้อัลกอริทึมมาช่วยในการถ่ายภาพหลายเฟรมในระดับแสงที่แตกต่างกัน ก่อนจะเลือกเฟรมที่ดีที่สุดมารวมเป็นภาพเดียว ทำให้ได้ภาพถ่ายในเวลากลางคืนที่มีความสว่างสดใสและให้รายละเอียดชัดเจนกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นในระดับเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีโหมด HDR, Portrait, Beauty, Panoama และ Expert สำหรับปรับค่ากล้องด้วยตัวเอง ส่วนการถ่ายวิดีโอ รองรับความละเอียดสูงสุด Full HD 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที พร้อมด้วยโหมด Timelapse และ Slo-mo
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหลัง
ประสิทธิภาพ
realme C12 มาพร้อมชิปประมวลผลระดับ 12 นาโนเมตร MediaTek Helio G35 ใช้ซีพียู Arm Cortex-A53 Octa Core 2.3GHz บนสถาปัตยกรรม 64-bit พร้อมด้วยจีพียู IMG PowerVR GE8320 680MHz ความจำ RAM 3GB จับคู่กับ ROM 32GB รองรับการ์ด MicroSD สูงสุด 256GB
realme C12 ยังใช้ซีพียูรุ่นเดียวกับ realme C11 แต่ขยายความจำ RAM จาก 2GB เป็น 3GB ทำให้ realme C12 ให้ประสิทธิภาพในการใช้งานที่ลื่นไหลขึ้น และตอบสนองการเล่นเกมระดับกลางได้อย่างราบรื่น แม้แต่เกม ROV หรือ PUBG Mobile ก็เล่นได้ดีอย่างเหลือเชื่อ
แบตเตอรี่ทรงพลัง
realme C12 ได้รับความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 6000mAh สามารถสแตนด์บายได้นานถึง 57 วัน ใช้สนทนาได้นาน 46 ชั่วโมง ดูวิดีโอบน YouTube ได้นาน 28 ชั่วโมง หังเพลงผ่าน Spotify นาน 60 ชั่วโมง ใช้งาน Instagram ได้นานเกือบ 24 ชั่วโมง และเล่นเกม PUBG Mobile ได้นาน 10 ชั่วโมง
realme C12 มาพร้อม 3 ฟังก์ชั่นหลัก ที่ช่วยเพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพแบตเตอรี่
- App Quick Freeze ช่วยพักการทำงานของแอพพลิเคชั่นที่ไม่มีการใช้งาน
- Screen Battery ช่วยลดการแสดงผลเอฟเฟกต์บางอย่างลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่
- Sleep Standby ช่วยประหยัดพลังงานของสมาร์ทโฟนขณะนอนหลับ
realme C12 ยังมีโหมดประหยัดพลังงาน (Super Power Saving Mode) ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้ยาวนานเป็นพิเศษ โดยการลดความสว่างของจอแสดงผล ลดเวลาล็อคหน้าจออัตโนมัติลงเหลือ 15 วินาที และปิดการใช้งานแอพพลิเคชั่นให้หายไปจากหน้าจอไปอย่างสมบูรณ์
ก่อนเปิดฟีเจอร์ Super Power Saving Mode ผู้ใช้งานสามารถเลือกแอพลิเคชั่นที่ใช้งานบ่อย 6 แอพ เพื่อให้ใช้งานแอพเหล่านั้นได้แม้อยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน โดยไม่ส่งผลกระทบกับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ realme C12 ยังรองรับการใช้งานเป็น Power Bank ชาร์จแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่นได้ ผ่านสายเคเบิล OTG
ระบบปฏิบัติการ
realme C12 ทำงานบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย realme UI ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากแรงบันดาลใจของไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบสี ไอคอน วอลล์เปเปอร์ และ ภาพเคลื่อนไหว ทั้งหมดเรียกรวมกันว่า Real Design
องค์ประกอบของ Real Design
- ระบบสี ใช้โทนสีที่ให้ความสนุกสนาน มีชีวิตชีวา และสดชื่น
- ไอคอน ใช้ภาพจากสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวัน เช่น ไอคอนรูปฟันเฟืองแทน “การตั้งค่า” และผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนไอคอนเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน
- วอลล์เปเปอร์ใหม่ 11 แบบ ส่วนใหญ่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ
- ภาพเคลื่อนไหวแอนิเมชั่น มาพร้อมกับควอนตัมแอนิเมชั่นใหม่ล่าสุด เพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวให้ลื่นไหลยิ่งขึ้น
realme UI ช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบให้เร็วขึ้น สามารถลดระยะเวลา App Booting ได้ถึง 25% ลดความล่าช้าของระบบสัมผัส 35% ประสิทธิภาพการเล่นเกมเพิ่มขึ้น 20% ทำให้การใช้งานโดยรวมลื่นไหลมากขึ้น 20% อายุการใช้งานแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น 10% และ ลดการใช้พลังงานเมื่อเปิดสแตนด์บายข้ามคืน 35%
realme UI ยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
Dark Mode เปลี่ยนธีมของ User Interface ให้เป็นโทนสีเข้ม เพื่อความสบายตา และสามารถเปิด Dark Mode โดยอัตโนมัติในเวลากลางคืน
Focus Mode เป็นโหมดที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานผ่อนคลายจากโลกภายนอก โดยระบบจะหยุดการทำงานของแอพพลิเคชันที่กำหนดไว้ชั่วคราว และเปิดโหมด DND (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนที่รบกวนต่างๆ พร้อมเปิด Ambient Sounds เสียงดนตรีที่ฟังแล้วรู้สึกฟังสบาย
3-Finger Selected Screenshot จับภาพหน้าจอโดยการใช้ 3 นิ้วแตะค้างไว้ที่หน้าจอ
Personal Information Protection ระบบป้องกันข้อมูลส่วนตัว ด้วยการเข้ารหัสรักษาความปลอดภัย ภาพถ่าย วิดีโอ ไฟล์เสียงรวมทั้งเอกสารและเก็บไฟล์สำคัญทั้งหมด และ Dual Mode Music Share โหมดแชร์ฟังเพลงสองช่องทาง สามารถเชื่อมต่อหูฟ้งไร้สายได้พร้อมกัน 2 เครื่อง เพื่อฟังเพลงหรือชมคอนเท้นต์ร่วมกัน โดยไม่รบกวนคนอื่นที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน
สรุป
realme C12 ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับใครก็ตามที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่ให้ความคุ้มค่ากับราคา หรือ กำลังสนใจซื้อ realme C11 แต่หาซื้อไม่ได้แล้ว ซึ่งม่ต้องเสียดายไปเพราะ realme C12 ได้รับการอัพเกรดสเปกจาก realme C11 ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความจุแบตเตอรี่จาก 5000mAh เป็น 6000mAh, เพิ่มจำนวนกล้องหลังจาก 2 เป็น 3 เลนส์, เพิ่มความจำ RAM จาก 2GB เป็น 3GB และยังเพิ่มเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย
realme C12 วางจำหน่ายพร้อมกันในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ในราคาเพียง 3,999 บาท ผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน Marine Blue และ สีแดง Coral Red ซื้อพร้อมแพ็คเกจค่ายมือถือราคาเริ่มต้นเพียง 1,289 บาท