ถึงแม้จะมาช้ากว่าปีก่อนๆ ราว 1 เดือน แต่ในที่สุด Apple ก็เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่เรียบร้อยแล้ว และเป็นไปตามข่าวลือก่อนหน้านี้ iPhone รุ่นล่าสุดมีด้วยกัน 4 รุ่น และถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน ได้แก่ iPhone 12 mini กับ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro กับ iPhone 12 Pro Max แต่ระหว่าง 2 กลุ่มนี้ จะมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เลื่อนลงมาอ่านกันได้เลย
สีสันและวัสดุ
iPhone 12 mini กับ iPhone 12 มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน, สีเขียว, สีดำ, สีขาว และ สีแดง (PRODUCT)RED ผลิตด้วยอะลูมิเนียม เกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ
iPhone 12 Pro กับ iPhone 12 Pro Max มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีกราไฟต์, สีเงิน, สีทอง และ สีแปซิฟิกบลู ผลิตด้วยสแตนเลสสตีล เกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม
ขนาดหน้าจอ
iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ได้รับจอแสดงผล Super Retina XDR (OLED) เหมือนกันทุกรุ่น แต่ขนาดแตกต่างกัน iPhone 12 mini ขนาด 5.4 นิ้ว, iPhone 12 ขนาด 6.1 นิ้ว, iPhone 12 Pro ขนาด 6.1 นิ้ว และ iPhone 12 Pro Max ขนาด 6.7 นิ้ว
iPhone 12 กับ iPhone 12 Pro มีขนาดหน้าจอเท่ากัน 6.1 นิ้ว ความละเอียดเท่ากัน 2532 x 1170 พิกเซลที่ 460 ppi แต่จอแสดงผลของ iPhone 12 Pro ให้ความสว่างกว่าในการใช้งานทั่วไป
ขนาดความจุ
iPhone 12 mini กับ iPhone 12 มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ 64GB, 128GB และ 256GB ขณะที่ iPhone 12 Pro กับ iPhone 12 Pro Max มีให้เลือก 3 รุ่น เช่นกัน แต่ความจุมากกว่า ได้แก่ 128GB, 256GB และ 512GB
กล้อง Telephoto
iPhone 12 mini กับ iPhone 12 มาพร้อมกล้องคู่หลัง 12 ล้านพิกเซล ประกอบด้วยกล้อง Wide และ Ultra-wide แต่ iPhone 12 Pro กับ iPhone 12 Pro Max มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว โดยกล้องตัวที่ 3 เป็น Telephoto
กล้อง Telephoto ของ iPhone 12 Pro กับ iPhone 12 Pro Max ยังมีความแตกต่างกันด้วย โดย iPhone 12 Pro Max ใช้เซ็นเซอร์เทเลโฟโต้ใหม่ ที่สามารถซูมออปติคอล 2.5 เท่า และซูมดิจิตอลได้สูงสุด 12 เท่า อีกทั้งยังช่วยให้ถ่ายภาพเทเลโฟโต้ได้ดีขึ้นในที่แสงน้อย
iPhone 12 Pro Max ได้รับเซ็นเซอร์กล้องที่ใหญ่ขึ้น
ถึงแม้กล้อง Wide ของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น จะมีความละเอียดเท่ากัน 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/1.6 แต่ iPhone 12 Pro Max เป็นรุ่นเดียวได้รับเซ็นเซอร์กล้องใหญ่กว่า 47% และพิกเซลขนาด 1.7 ไอครอน ทำให้ iPhone 12 Pro Max สามารถถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้นมากถึง 87% และยังเป็นรุ่นเดียวที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว Sensor-shift ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า OIS
LiDAR Scanner
iPhone 12 Pro กับ iPhone 12 Pro Max มาพร้อม LiDAR Scanner คล้ายกับที่พบใน iPad Pro 2020 และไม่พบใน iPhone 12 หรือ iPhone 12 mini
LiDAR Scanner ช่วยให้ iPhone 12 Pro กับ iPhone 12 Pro Max ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะประสบการณ์ AR แต่ยังช่วยยกระดับการถ่ายภาพด้วย ทำให้ iPhone 12 รุ่น Pro รองรับการถ่ายภาพบุคคลในโหมดกลางคืน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบออโต้โฟกัสให้ทำงานในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้นถึง 6 เท่า
ProRAW
iPhone 12 Pro กับ iPhone 12 Pro Max รองรับการถ่ายภาพในรูปแบบ ProRAW ซึ่งเป็นการนำการประมวลผลภาพแบบหลายเฟรมและการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ของ Apple มารวมเข้ากับความอเนกประสงค์ของรูปแบบ RAW ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสีสัน รายละเอียด และช่วงไดนามิกได้อย่างเต็มที่
อายุการใช้งานแบตเตอรี่
iPhone 12 กับ iPhone 12 มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่เท่ากัน สามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุด 17 ชั่วโมง ฟังเพลงนานสูงสุด 65 ชั่วโมง
iPhone 12 Pro Max ให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ดีที่สุด สามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุด 20 ชั่วโมง ฟังเพลงนานสูงสุด 80 ชั่วโมง
ขณะที่ iPhone 12 mini สามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุด 15 ชั่วโมง ฟังเพลงนานสูงสุด 50 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม iPhone 12 รองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จไร้สายผ่านอุปกรณ์ MagSafe หรือ Qi และรองรับชาร์จเร็ว ชาร์จได้สูงสุด 50% ภายในเวลา 30 นาที โดยใช้อะแดปเตอร์ขนาด 20 วัตต์ หรือสูงกว่า แต่ไม่แถมมาให้ในกล่อง
ราคา
แน่นอนว่า Apple ต้องวางจำหน่าย iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ในราคาที่แตกต่างกัน โดยแต่ละรุ่นมีราคาเริ่มต้นดังต่อไปนี้
- iPhone 12 mini ราคาเริ่มต้น $699 หรือราว 21,900 บาท
- iPhone 12 ราคาเริ่มต้น $799 หรือราว 24,900 บาท
- iPhone 12 Pro ราคาเริ่มต้น $999 หรือราว 31,900 บาท
- iPhone 12 Pro Max ราคาเริ่มต้น $1,099 หรือราว 34,900 บาท
ที่มา – iPhoneHacks
https://www.flashfly.net/wp/318094