Apple กำลังจะปล่อย iOS 13 และ iPadOS ออกมาให้เจ้าของ iPhone และ iPad ได้อัพเดทอย่างทางการในอีกไม่นานนี้ ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดของ Apple และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปี ส่วนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เราได้รวบรวมข้อมูลทุกอย่างมาไว้ที่นี่แล้ว
ก่อนจะไปทำความรู้จักกับคุณสมบัติใหม่ๆ ของ iOS 13 มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าของ iPhone จำเป็นต้องรู้ก็คือ ไม่ใช่ iPhone ทุกรุ่นจะรองรับการอัพเดทเป็น iOS เวอร์ชั่นล่าสุด เพราะ iOS 13 รองรับเฉพาะอุปกรณ์ที่มีรายชื่อดังต่อไปนี้
- iPhone XS
- iPhone XS Max
- iPhone XR
- iPhone X
- iPhone 8
- iPhone 8 Plus
- iPhone 7
- iPhone 7 Plus
- iPhone 6s
- iPhone 6s Plus
- iPhone SE
นอกจาก iPhone ที่มีรายชื่อข้างต้น iOS 13 ยังรองรับ iPod touch รุ่นล่าสุดด้วย หรือ iPod touch 7th generation
iOS 13 มีอะไรใหม่? ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดของ iPhone มาพร้อมคุณสมบัติใหม่หลายอย่าง อาทิ Dark Mode, Sign in with Apple และยังรวมถึงการอัพเดทแอพพลิเคชั่นเดิมที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Maps, Photos และ Camera รวมถึงฟีเจอร์อื่นๆ ที่เรากำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้
Dark Mode
Dark Mode คืออะไร? ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือธีมสีเข้ม เมื่อเปิดใช้งานจะเปลี่ยนการแสดงผลของ iPhone ทั้งระบบรวมถึงแอพพื้นฐานที่มากับ iOS ให้เป็นโทนสีดำ ช่วยให้เจ้าของ iPhone จ้องหน้าจอได้อย่างสบายตามากขึ้น โดยเฉพาะเวลาใช้งานในเวลากลางคืนหรือในที่แสงน้อย
วิธีเปิดใช้งาน Dark Mode ให้เข้าไปที่แอพ Settings > Display & Brightness แล้วในส่วนของ Appearance จะมีให้เลือกธีมระหว่าง Light กับ Dark ให้เลือก Dark ก็จะเป็นการเปิดใช้งาน Dark Mode
ในการตั้งค่า Display & Brightness ยังสามารถกำหนดให้สลับโหมด Light กับ Dark โดยอัตโนมัติได้ด้วย เพียงเปิดใช้งานที่ฟีเจอร์ Automatic ที่อยู่ใต้ตัวเลือกธีม เมื่อเปิดระบบ Automatic จะพบกับการตั้งค่าเวลา เพื่อให้ระบบสลับโหมด Light กับ Dark หรือเปิดใช้งาน Dark Mode โดยอัตโนมัติหลังพระอาทิตย์ตกดิน
ผู้ใช้ iOS 13 ยังสามารถสลับโหมด Light กับ Dark ได้อย่างรวดเร็วจาก Control Center เพียงแตะปุ่มสไลด์ความสว่าง ด้วย 3D Touch หรือ Haptic Touch แล้วจะพบกับปุ่มสลับโหมด Light กับ Dark ที่มุมล่างซ้าย
Dark Mode รองรับแอพพลิเคชั่นพื้นฐานของ iOS อย่าง Photos, Mail, Books, Safari, Notes, Calendar, Messages และ Apple ยังอนุญาตให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์บุคคลที่สามนำ API ไปปรับใช้กับแอพพลิเคชั่นของตัวเอง เพื่อให้รองรับ Dark Mode เพราะฉะนั้น เมื่อเปิดใช้งาน Dark Mode นอกจากแอพพื้นฐานของ iOS จะเปลี่ยนเป็นธีมสีเข้มทั้งระบบแล้ว แอพอื่นๆ จากบุคคลที่สาม ก็จะเปลี่ยนเป็นธีมสีเข้มเช่นเดียวกัน (ถ้าหากแอพนั้นนำ API ของ Apple ไปใช้)
Camera
iOS 13 ได้เพิ่มเอฟเฟกต์ให้กับ Portrait Lighting ในแอพกล้อง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถปรับตำแหน่งและความเข้มของแต่ละเอฟเฟ็กต์ใน Portrait Lighting ได้อย่างตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ตาคมขึ้นหรือเพิ่มความสว่างและทำให้ส่วนต่างๆ บนใบหน้าเรียบเนียนขึ้นก็ทำได้ง่ายๆ เหมือนถ่ายภาพในสตูดิโอของช่างภาพมืออาชีพ เพียงลากแถบแสงเข้าไปใกล้วัตถุ และสามารถลดความเข้มของแสงได้เล่นกัน เพื่อให้ได้ภาพที่ละเอียดและประณีตขึ้น
แอพกล้องใน iOS ยังเพิ่มเอฟเฟกต์ขาวดำ High-Key Light Mono ให้กับรูปที่ถ่ายด้วยโหมดภาพถ่ายบุคคล โดยจะเปลี่ยนภาพถ่ายให้เป็นสีขาวดำสุดคลาสสิคบนฉากหลังสีขาว
Photos
แอพรูปภาพที่มาพร้อม iOS 13 สามารถแสดงรูปภาพในคลังได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยใช้การเรียนรู้ของระบบ ที่มาพร้อมเครื่องมือในการปรับแต่งคลังรูปภาพทั้งคลัง ให้ไฮไลท์รูปภาพที่ดีที่สุด ซ่อนสิ่งรบกวนและรูปภาพที่ซ้ำกันโดยอัตโนมัติ เพื่อแสดงเหตุการณ์สำคัญของวันก่อนหน้า เดือนที่แล้ว หรือปีที่แล้ว
รูปภาพและวิดีโอยังได้รับการจัดระเบียบอย่างชาญฉลาด ช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหา สำรวจ และย้อนสู่ช่วงเวลาที่ต้องการได้ง่ายมากขึ้น อีกทั้งยังมีการเล่นวิดีโอแบบอัตโนมัติ ทำให้คลังรูปภาพมีชีวิตขึ้นมาอีกด้วย
เมื่อเปิดดูคลังรูปภาพในมุมมอง Years จะแสดงภาพถ่ายที่สำคัญในปีที่ผ่านมา เช่นวันเกิดใครสักคน มุมมอง Months ก็จะแสดงภาพถ่ายที่เป็นไฮไลท์ของเดือน อย่างภาพถ่ายการทำกิจกรรมที่สำคัญ วันครบรอบ และช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิต ในมุมมอง Days จะเน้นภาพถ่ายที่ดีที่สุดในแต่ละวัน รวมไปถึงรูปภาพ Screenshots ภาพถ่ายจากไวท์บอร์ด หรือใบเสร็จ และสามารถดูภาพถ่ายหรือวีดีโอทั้งหมดได้จากมุมมอง All Photos
Photo and video editing
ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปภาพได้หลากหลายและง่ายดายกว่าเดิมภายในแอพรูปภาพ หรือ Photos ด้วยเครื่องมือใหม่ที่สามารถปรับแต่งได้ง่าย และยังดูผลงานได้ทันที เพียงแค่ปัดครั้งเดียวก็สามารถเพิ่มหรือลดเอฟเฟ็กต์ เพื่อทำให้รูปภาพสมบูรณ์แบบได้ ผู้ใช้งานจึงสามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น และแต่งเติมรูปภาพได้ตามความต้องการ
การปรับแต่งภาพถ่ายทำได้ง่ายๆ ด้วยไอคอนแบบวงแหวน ช่วยให้ผู้ใช้งานมองเห็นผลของเอฟเฟกต์ทันที และสามารถแตะที่ไอคอนแต่ละเอฟเฟกต์ เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงก่อนได้
การตัดต่อวีดีโอก็สามารถทำได้ภายในแอพรูป ไม่ว่าจะเป็นการหมุน ครอบตัด ใส่ฟิลเตอร์ และปรับความอิ่มสี โดยไม่ทำลายวีดีโอต้นฉบับ ซึ่งหมายถึงผู้ใช้งานสามารถยกเลิกเอฟเฟกต์ต่างๆ ที่นำมาใช้ในการตัดต่อวีดีโอได้
แอพรูปภาพ ยังได้รับเครื่องมือใหม่ๆ สำหรับการตัดต่อแก้ไข อย่าง Vibrance, White Balance, Sharpen, Definition, Noise Reduction, Vignette และ Perspective Correction และยังรองรับฟีเจอร์ Pinch-to-zoom ช่วยให้ผู้ใช้งานขยายภาพในส่วนที่ต้องการแก้ไขได้ละเอียดขึ้น
Sign In with Apple
ถึงแม้จะไม่ใช่คุณสมบัติใหม่จริงๆ เพราะแพลตฟอร์มอื่นมีใช้งานมานานแล้ว แต่ Sign In with Apple ก็เป็นวิธีการใหม่สำหรับอุปกรณ์ของ Apple ในการลงชื่อเข้าใช้ในแอพ และเว็บไซต์อย่างเป็นส่วนตัว แทนที่จะสมัครเข้าใช้แอพหรือบริการใหม่ หรือลงชื่อด้วยบัญชีจากแพลตฟอร์มอื่น เจ้าของ iPhone, iPad, Mac, Apple TV และ Apple Watch จะได้รับความสะดวกจาก Sign In with Apple เพราะสามารถใช้ Apple ID ยันตัวตนได้แล้ว โดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบด้วยบัญชีจากโซเซียลมีเดียอีกต่อไป
Sign In with Apple ออกแบบมาให้เข้าสู่ระบบได้ง่ายๆ โดยใช้ Apple ID ที่มีอยู่แล้ว และยืนยันตัวตนผ่าน Face ID หรือ Touch ID และถ้ามีแอพหรือบริการที่ต้องการที่อยู่อีเมล ผู้ใช้งานก็สามารถเลือกที่จะซ่อนที่อยู่อีเมลส่วนตัวได้ แล้วให้ Apple สร้างที่อยู่อีเมลแบบสุ่มขึ้นมาแทนที่อยู่อีเมลจริงของผู้ใช้งาน แต่ที่อยู่อีเมลแบบสุ่มที่ Apple สร้างขึ้นมา จะส่งต่ออีเมล มายังที่อยู่อีเมลจริงของผู้ใช้งาน เพื่อให้ไม่พลาดข่าวสารหรือข้อมูลที่สำคัญ
Apple ยังปล่อย API ของ Sign In with Apple ให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์บุคคลที่สามไปใช้ด้วย เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ Sign In with Apple ลงในแอพพลิเคชั่นและเว็บไซต์ต่างๆ นั่นหมายถึง ในอนาตเราจะได้เห็นปุ่ม Sign In with Apple อยู่คู่กับปุ่มลงชื่อเข้าสู่ระบบของแพลตฟอร์มอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Google+, Twitter
Sign In with Apple ยังมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัย นอกเหนือจากความสะดวกสบายในการใช้งาน ด้วยการตรวจสอบสิทธิ์แบบสองปัจจัย และ Apple ยืนยันว่าจะไม่มีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้งาน รวมถึงกิจกรรมภายในแอพต่างๆ
Find My
Apple ได้รวมแอพ Find My iPhone กับ Find My Friends ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเรียกใหม่ว่า Find My โดยความสามารถหลักยังคงเหมือนเดิม คือ ช่วยค้นหาอุปกรณ์ของ Apple ที่สูญหาย หรือถูกขโมยไป แต่มีจุดเด่นที่สามารถค้นหาอุปกรณ์ได้ แม้อุปกรณ์นั้นจะอยู่ในสถานะออฟไลน์ ไม่ได้เชื่อมต่อกับ Wi-Fi หรือเครือข่ายมือถือ
Find My มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 13, iPadOS และ macOS 10.15 Catalina เมื่ออุปกรณ์ที่สูญหายหรือถูกขโมยอยู่ในสถานะออฟไลน์หรือโหมดสลีป จะสามารถส่งสัญญาณ Bluetooth ออกมา เพื่อให้อุปกรณ์ Apple เครื่องอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงตรวจจับได้ ก่อนจะสร้างเป็นเครือข่ายเพื่อให้ระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ที่สูญหายหรือถูกขโมย โดยสัญญาณ Bluetooth ที่ถูกส่งออกมา จะถูกเข้าเข้ารหัสความปลอดภัยแบบ end‑to‑end เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานทุกคน
Maps
แอพแผนที่ใน iOS 13 ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่แบบใหม่หมด เพื่อให้ครอบคลุมถนนหลายสายมากขึ้น รวมถึงทางเท้า อาคาร สวนสาธารณะ ท่าจอดเรือ ชายหาด สนามบิน เพื่อให้ข้อมูลที่แม่นยำกว่าเดิม และละเอียดยิ่งขึ้น พร้อมนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ๆ หลายอย่าง ตามรายการด้านล่าง
Look Around แสดงภาพถ่ายความละเอียดสูงของสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวในรูปแบบ 3 มิติ จึงสามารถเลื่อนดูรอบๆ ได้ 360 องศา และเลื่อนไปตามถนนได้อย่างราบรื่น ทำให้ผู้ใช้งานเห็นภาพที่ชัดเจน มากการการดูแผนที่แบบ 2 มิติ
Collections ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว หรือแหล่งช้อปปิ้งที่ชื่นชอบกับเพื่อนๆ ได้
Favorites สำหรับการนำทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ไปบ่อย เช่น บ้าน ที่ทำงาน ยิม หรือโรงเรียนได้ทันที ด้วยการแตะจากหน้าแรกของแอพ
Real-time transit ให้ข้อมูลสำหรับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถบัสหรือรถไฟ สามารถแสดงตำแหน่งในระหว่างเดินทางบนเส้นทางเดินรถในแบบเรียลไทม์ และยังให้ตารางการเดินรถที่ละเอียดกว่า สามาาถบอกระยะเวลาที่รถโดยสารจะมาถึง หรือแจ้งข้อมูลเมื่อเกิดขัดข้อง เพื่อให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนแผนการเดินทางได้
สำหรับการนำทางด้วยการขับรถ ได้เพิ่มมุมมอง Junction view เมื่อต้องเข้าร่วมทางต่างระดับหรือทางด่วนที่มีความซับซ้อนและไม่คุ้นเคยเส้นทาง ทำให้ผู้ขับขี่ไม่หลงเข้าทางผิดและอยู่ในเลนที่ถูกต้อง
ถ้าหากผู้ใช้งานกำลังเดินทางไปยังจุดหมายตามที่นัดกับเพื่อนหรือครอบครัวไว้ ในระหว่างเดินทางไปยังสามารถใช้ฟีเจอร์ Share ETA เพื่อแจ้งให้เพื่อนๆ หรือคนที่รออยู่ในจุดนัดหมายทราบช่วงเวลาโดยประมาณ ที่ผู้ใช้งานจะเดินทางไปถึง
ส่วนการเดินทางโดยเครื่องบิน แอพแผนที่ยังทำงานร่วมกับ Siri ให้ช่วยสแกนหาข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทางที่เก็บไว้ในแอพต่างๆ เช่น Mail, Calendar หรือ Wallet เพื่อบอกข้อมูลให้กับผู้ใช้งานทราบ ไม่ว่าจะเป็นอาคารผู้โดยสาร, ตำแหน่งของประตูสนามบิน และเวลาออกเดินทาง
Apple ได้ส่งทีมสำรวจขับรถถึง 4 ล้านไมล์ เพื่อสร้างแผนที่ใหม่ตั้งแต่ต้น โดยแผนที่ใหม่พร้อมใช้งานแล้วในเมืองและรัฐบางแห่ง ก่อนจะใช้งานได้ทั่วสหรัฐอเมริกาภายในปี 2019 และมีแผนขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในปี 2020
Siri
Siri ผู้ช่วยดิจิตอลของ Apple ได้รับการอัพเดทให้มีเสียงที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น และยังฉลาดขึ้นด้วยฟีเจอร์ Suggested Automations ใน Siri Shortcuts สามารถแนะนำกิจวัตรประจำวันของผู้ใช้งานที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น การเดินทางไปทำงาน หรือไปสถานที่ฟิตเนส และมีคำแนะนำเชิงรุกสำหรับ Podcasts, Safari, Maps รวมถึงแอพของบุคคลที่สาม
Siri มาพร้อมเทคโนโลยี text-to-speech ขั้นสูง ช่วยแปลงข้อความเป็นเสียงพูดได้ธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอ่านข้อความยาวๆ หรืออ่านข่าวสารให้ฟัง
แอพ Shortcuts สามารถจัดการทางลัดที่ใช้กับ Siri และระบบอัตโนมัติหลายขั้นตอนได้ง่ายขึ้น โดยใช้อินเทอร์เฟซเดียว
Conversational Shortcuts ผู้ช่วยดิจิตอลของ Apple จะมีการขอข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อใช้ทางลัด เช่น เมื่อผู้ใช้งานบอกว่า “ให้สั่งกาแฟตามปกติ” Siri อาจจะถามว่าให้สั่งจากที่ไหน พร้อมนำเสนอรายชื่อร้าน
Suggested automations ช่วยให้ Siri เรียนรู้จากข้อมูลจากสถานที่ เวลาในแต่ละวัน และการเคลื่อนไหว เพื่อแนะนำทางลัดที่เกี่ยวข้องให้อัตโนมัติตามเวลาที่เหมาะสม
HomePod สามารถแยกแยะเสียงของผู้ใช้จากเสียงของคนอื่นๆ ได้แล้ว จึงสามารถทำตามคำขอแบบส่วนบุคคลได้ รวมถึงการส่งข้อความ เพลง และอื่นๆ ให้กับทุกคนในบ้าน
AirPods ช่วยให้ Siri สามารถอ่านข้อความที่เข้ามาได้ทันทีจากแอพข้อความที่มาพร้อม iOS หรือแอพข้อความอื่นๆ ของบุคคลที่สาม ที่นำ SiriKit ไปปรับใช้
รายการวิทยุสดให้ Siri เข้าถึงสถานีวิทยุกว่า 100,000 สถานีจาก iHeartRadio, radio.com และ TuneIn นอกจากนี้ยังมีตัวตั้งเวลาหยุดเล่นใหม่ที่จะช่วยปิดเพลงตามเวลาที่กำหนดไว้ได้ Handoff ช่วยให้ผู้ใช้ย้ายเพลง พ็อดคาสต์ หรือการสนทนาทางโทรศัพท์ไปยัง HomePod เมื่อกลับถึงบ้านได้อย่างง่ายดาย
การควบคุมด้วยเสียงมอบประสบการณ์ใหม่อันทรงพลังให้ผู้ใช้สามารถควบคุม iPhone, iPad หรือ Mac ด้วยเสียงเพียงอย่างเดียวได้แล้ว นอกจากนี้ เทคโนโลยีการรู้จำคำพูดใหม่ล่าสุดของ Siri ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนคุณสมบัตินี้ยังช่วยให้ผู้ใช้ถอดเสียงและแก้ไขข้อความได้แม่นยำยิ่งกว่าเดิม
คุณสมบัติการแชร์เสียงใหม่ ช่วยให้ผู้ใช้ชมภาพยนตร์หรือแชร์เพลงกับเพื่อนได้อย่างง่ายดายเพียงแค่นำหูฟังอีกคู่มาไว้ใกล้ๆ กับ iPhone หรือ iPad
Memoji
iOS 13 และ iPadOS 13 ช่วยให้ iPhone หรือ iPad ทุกรุ่นที่ใช้ชิปประมวลผล A9 หรือรุ่นใหม่กว่า สามารถสร้าง Memoji และ Memoji Stickers ได้โดยไม่ต้องใช้ Face ID มาสแกนใบหน้า โดยเริ่มจากการสร้าง Memoji ได้ที่แอพ Messages แล้วเปิดการการสนทนา iMessages หรือ สร้างการสนทนาใหม่ แล้วมองไปที่แถบเครื่องมือที่อยู่เหนือปุ่มคีย์บอร์ด แตะนิ้วบน Animoji แล้วลากไปทางซ้ายจนพบเครื่องมือ New Memoji ให้แตะเข้าไป
จากนั้นให้ปรับแต่ง Memoji ได้ตามต้องการ ซึ่งมีตัวเลือกมากกว่า 100 รายการ ทั้งสีผิว ทรงผม คิ้ว ตา หนวดเครา ต่างหู แว่นตา หมวก เมื่อปรับแต่ง Memoji จนเป็นที่พอใจแล้ว ให้แตะ Done เพื่อบันทึก
หลังจาก Memoji ถูกสร้างเรียบร้อย Memoji Stickers ก็จะถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ ให้ลองเข้าไปที่แอพข้อความ แล้วแตะที่ Memoji Stickers ก็จะพบกับ Memoji ทั้งหมดที่สร้างขึ้นตามผู้ใช้งาน และสามารถเลื่อนดูหรือแตะเพื่อส่งได้ทันที
Memoji Stickers ที่ผู้ใช้งานสร้างขึ้นจะถูกรวมไว้ในปุ่มคีย์บอร์ด iOS จึงสามารถส่ง Memoji Stickers กับแอพอื่นๆ ได้ด้วย นอกจากแอพข้อความ
Reminders
เตือนความจำมาในลุคใหม่และมาพร้อมความสามารถอันชาญฉลาดในการสร้างและแก้ไขรายการแจ้งเตือน รวมถึงการจัดระเบียบและติดตามรายการแจ้งเตือนได้หลากหลายวิธียิ่งขึ้น แถบเครื่องมือด่วนช่วยให้ผู้ใช้เพิ่มเวลา วันที่ สถานที่ และธงได้ง่ายขึ้น หรือจะเพิ่มเอกสารแนบก็ได้ นอกจากนี้ยังใช้งานร่วมกับแอพข้อความได้ดียิ่งขึ้น ผู้ใช้จะสามารถแท็กคนอื่นในการเตือนความจำได้อย่างง่ายดาย และรายการจะแสดงขึ้นมาเมื่อผู้ใช้ส่งข้อความหาผู้ที่อยู่ในแท็ก
CarPlay
ได้รับการอัพเดทแดชบอร์ดใหม่ครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งตอนนี้สามารถดูเพลง แผนที่ และอีกมากมายได้แล้วในมุมมองเดียว อีกทั้งยังมีแอพปฏิทินใหม่และการรองรับ Siri สำหรับการนำทางและแอพฟังเพลงของบริษัทอื่นอีกด้วย
Notes มาพร้อมมุมมองแกลเลอรี่ใหม่ การผสานรวมกับโฟลเดอร์ที่แชร์อย่างทรงพลังยิ่งกว่าเดิม รวมถึงเครื่องมือค้นหาและตัวเลือกรายการตรวจสอบใหม่
QuickPath ช่วยให้การพิมพ์แบบมือเดียวบนคีย์บอร์ด iOS เป็นไปอย่างง่ายดายด้วยการปัดนิ้วผ่านตัวอักษรของคำที่ต้องการพิมพ์
Text Editing การแก้ไขตัวอักษรที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ช่วยให้ผู้ใช้เลื่อนเอกสาร ขยับเคอร์เซอร์ และเลือกตัวอักษรที่ต้องการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
แอพไฟล์ มาพร้อมความสามารถในการแชร์โฟลเดอร์กับ iCloud Drive และการเข้าถึงไฟล์จากอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอกอย่างการ์ด SD และแฟลชไดร์ฟ USB
Health ช่วยให้ผู้ใช้ติดตามสุขภาพการได้ยินและเพิ่มวิธีใหม่ๆ ในการติดตาม แสดงผลด้วยภาพ และคาดการณ์รอบการมีประจำเดือนของผู้หญิงได้
Safari บน iOS 13 ยังมาพร้อมเครื่องมือ Download Manager ทั้งนี้ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากแอพ Safari จะถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์ Downloads ภายในแอพ Files ซึ่งเป็นไดเรกทอรี่บน iCloud Drive และหมายถึงจะถูกจำกัดพื้นที่ไว้ 5GB นอกจากจะมีการเช่าบริการพื้นที่บน iCloud
สามารถเลือกเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ง่ายๆ Control Center ด้วย 3D Touch หรือ Haptic Touch เพียงกดลงไปเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไป Setiings อีกแล้ว
นอกจากนี้ iOS13 รองรับจอยเกมเครื่องโซล PS4 และ Xbox One แบบ iPadOS อีกด้วย
Location Services มาพร้อมการควบคุมใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้มีตัวเลือกเพิ่มเติมในการแชร์ตำแหน่งที่ตั้งกับแอพ รวมถึงตัวเลือกใหม่ในการแชร์ตำแหน่งที่ตั้งแบบหนึ่งครั้ง และข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อแอพกำลังใช้งานตำแหน่งที่ตั้งอยู่เบื้องหลัง
นอกจากคุณสมบัติใหม่หลายอย่าง iOS 13 ยังถูกปรับปรุงให้ตอบสนองการใช้งานได้รวดเร็วกว่าเวอร์ชั่นก่อน ไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อคด้วย Face ID ที่รวดเร็วกว่าเดิม และวิธีการจัดแพ็คเกจแอพ iPhone แบบใหม่บน App Store ที่ช่วยให้ขนาดดาวน์โหลดของแอพลดลงถึง 50% ช่วยให้การอัพเดทแอพเล็กลงกว่า 60% ซึ่งส่งผลให้การเปิดแอพเร็วขึ้นถึง 2 เท่า
iOS 13 เวอร์ชั่น Public Beta ยังไม่มีความเสถียร และอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ แต่ถ้าผู้ใช้งานยอมรับความเสี่ยง สามารถติดตั้ง Public Beta ได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ (ก่อนติดตั้งตั้ง Public Beta แนะนำให้ทำการสำรองข้อมูลสำคัญก่อนทุกครั้ง)
1. เปิด Safari ใน iPhone หรือ iPad แล้วเข้าไปที่ Beta Program บนเว็บไซต์ทางการของ Apple
2. ให้ทำการ Sign in ลงทะเบียน Apple ID ของผู้ใช้งาน
3. จากนั้นให้คลิกที่เมนู Enroll Your Devices ที่อยู่ด้านบน เป็นการลงทะเบียนอนุญาตใช้งานอุปกรณ์ในการทดสอบ Public Beta
4. เลื่อนหาปุ่ม ‘Download profile’ สีฟ้า จากนั้นให้กดเพื่อทำการติดตั้ง Profile Beta บน iPhone หรือ iPad สำหรับการติดตั้ง Profile ตัว Public Beta
5. เมื่อติดตั้ง Profile ลงในเครื่องเรียบร้อยแล้วให้ทำการ Restart เครื่องหนึ่งรอบ
6. หลังจากที่เปิดเครื่องใหม่แล้วให้ทำการเชื่อมต่อ Wi-Fi แล้วเข้าไปที่ Settings > General > Software Update.
7. จะพบว่าสามารถดาวน์โหลด iOS 13 Public Beta ให้กด “Download and Install” เป็นอันเรียบร้อย
บทความโดย – www.flashfly.net