หลังจากที่ได้ทำการแกะกล่อง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่เพิ่งวางจำหน่ายในประเทศไทยกันไปเรียบร้อยแล้ววันนี้ทีมงาน @flashfly ก็มีรีวิวการใช้งานของทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มาฝากกันโดยทั้ง 2 รุ่นอัดแน่นไปด้วยทั้งสเปคที่แรงกว่าเดิมมากฟีเจอร์ใหม่ๆอีกเพียบแม้หน้าตาจะดูคล้ายกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในรุ่นก่อนหน้า ซึ่งพอสัมผัสใช้งานจริงแล้วจะขอบอกเลยว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจริงๆ สมฉายาที่ว่าเป็น iPhone เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด โดย Apple ได้ข้ามจากรุ่น iPhone 7s และ iPhone 7s Plus ไปเรียบร้อย

มาเริ่มกันที่รูปร่างหน้าตาความสวยงามภายนอกกันก่อน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มาพร้อมหน้าจอขนาด 4.7 นิ้วและ 5.5 นิ้วเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้าแต่มีการเปลี่ยนดีไซน์ตัวเครื่องใหม่เป็นแบบกระจกทั้งหมดทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่ออกแบบมาโดยเฉพาะพร้อมชั้นเสริมความแข็งแกร่งที่หนาขึ้นอีก 50% และก็ยังมีโลหะแบบใหม่ซ้อนอยู่ข้างใต้เชื่อมด้วยเลเซอร์ โดย Apple ยืนยันว่าเป็นกระจกที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน พร้อมเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ ที่สามารถเช็ดรอยเปื้อนและรอยนิ้วมือออกได้ง่ายๆ

ตรงขอบด้านข้างตัวเครื่องขอบอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000 เกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรม อวกาศช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เข้าไปอีก

ตัวเครื่องมีให้เลือก 3 สีเท่านั้นคือสีเทาสเปซเกรย์ สีเงิน และ สีทองใหม่ล่าสุด โดยในรุ่นนี้ไม่มีสีโรสโกลด์ และสีดำเงาที่หลายคนชื่นชอบอีกต่อไปแล้ว สำหรับกระจกที่ด้านหลังตัวเครื่องนั้นผ่านกระบวนการลงหมึก 7 ชั้นทำให้แสดงเฉดสีและความทึบแสงได้อย่างสวยงาม เชื่อว่าถ้าใครได้เห็นของจริงต้องบอกว่าสวยจริงๆ

เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาก็จะพบกับหน้าจอ Retina HD แบบใหม่สวยงามยิ่งกว่าที่เคยโดย iPhone 8 มีหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334×750 พิกเซล ส่วน iPhone 8 Plus มีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920×1080 พิกเซล

หน้าจอทั้ง 2 รุ่นมีการแสดงผลแบบ True Tone แบบเดียวกับ iPad Pro ที่จะปรับแสงบนหน้าจอให้สบายตารู้สึกเป็นธรรมชาติไม่ต่างจากบนหน้ากระดาษจริงๆ ซึ่งก็เป็นการช่วยลดอาการเมื่อยล้าของสายตา แถมสีบนหน้าจอยังดูสวยงามสมจริงด้วยคอนทราสต์ที่สูง มีขอบเขตสีที่กว้างจึงดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงการใช้งาน 3D Touch ก็มีมาใน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เช่นเดียวกัน

ทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังคงมาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือ Touch ID ที่ปุ่ม Home ที่เราคุ้นเคยกันดีที่ใช้ในการปลดล็อคหน้าจอ รวมถึงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น สั่งซื้อของออนไลน์

ทำไม Apple ถึงเปลี่ยนวัสดุจากฝาหลังอลูมิเนียมที่ใช้กันมาตั้งแต่ iPhone 6 มาเป็นกระจกอีกครั้งใน iPhone 8 คำตอบคือนอกจากความสวยงามแล้วก็เพื่อให้ตัวเครื่องสามารถชาร์จแบบไร้สายได้ง่ายๆนั่นเอง โดย Apple ตั้งใจออกแบบ iPhone ให้เป็นอุปกรณ์ไร้สายอย่างเต็มรูปแบบนั่นคือไม่ต้องมีสายชาร์จและสายหูฟังให้เกะกะอีกต่อไป

โดยด้านหลังตัวเครื่องที่ทำจากกระจกจะมีระบบชาร์จไร้สายฝังอยู่ภายในสามารถใช้กับเครื่องชาร์จ Qi ให้บริการในรถยนต์ ร้านกาแฟ โรงแรม สนามบิน และบนเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงแผ่นรองชาร์จไร้สายแบบใหม่สองรุ่นจาก Mophie และ Belkin แถมยังรองรับการชาร์จแบบเร็วทั้งแบบมีสายและไร้สาย สามารถชาร์จได้สูงสุด 50% ภายในเวลา 30 นาที โดยต้องใช้ที่ชาร์จ Apple USB-C Power Adapter ของเครื่อง MacBook ขนาด 29 วัตต์ขึ้นไปในการชาร์จ

ทางด้านชิพเซ็ตนั้นทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มาพร้อมชิพ A11 Bionic รุ่นใหม่ล่าสุดทั้งทรงพลังและฉลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนของ Apple มาพร้อมดีไซน์แบบ 6 คอร์แบ่งเป็น คอร์ประมวลผลการทํางาน 2 คอร์และคอร์ประหยัดพลังงาน 4 คอร์ และตัวควบคุมประสิทธิภาพรุ่นที่ 2 ที่ทำงานได้เร็วกว่าชิพ A10 Fusion ถึง 25% ประหยัดพลังงานกว่าเดิมถึง 70% ส่วน GPU แบบ 3 คอร์เร็วขึ้นถึง 30% มาพร้อม Metal 2 ที่ทำให้นักพัฒนาสร้างเกมได้ระดับเครื่องคอนโซลเลยทีเดียว

เมื่อทั้งหมดนี้ทำงานรวมกันในชิพ A11 Bionic ทำให้การเล่น 3D กราฟิกหนักๆประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการใช้งาน AR ก็แสดงผลได้สมจริงแบบสุดๆ แถมประหยัดพลังงานเดิมมาก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแบตเตอรี่ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ถึงอึดกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด

มาถึงกล้องดิจิตอลที่ต้องบอกเลยว่าแม้จะมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แต่ Apple ได้ยกเครื่องใหม่หมดด้วยเซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความไวกว่าเดิม มีโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพรุ่นใหม่ที่ Apple ออกแบบมาสำหรับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus โดยเฉพาะในการตรวจจับองค์ประกอบต่างๆในฉากไม่ว่าจะเป็นคน การเคลื่อนไหว และสภาพแสง เพื่อปรับแต่งรูปภาพให้สวยยิ่งขึ้น ภาพถ่ายสีสันสดใส สมจริง

และเก็บรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้น ระบบออโต้โฟกัสที่เร็วขึ้นแม้ในที่แสงน้อย ถ่ายภาพ HDR ได้ดีขึ้น รวมถึงยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS แบบออปติคอลในการถ่ายรูปภาพและวิดีโอ

โดยกล้องของ iPhone 8 Plus นั้นยังคงมี 2 ตัวความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากันตัวแรกเป็นกล้องมุมกว้างประกอบไปด้วยเลนส์ 6 ชิ้น ขนาดรูรับแสง ƒ/1.8 ส่วนอีกตัวกล้องเทเลโฟโต้ขนาดรูรับแสง ƒ/2.8 เมื่อทำงานด้วยกันทำให้เราสามารถซูมแบบออปติคอลได้ 2 เท่าซูมดิจิตอลได้สูงสุด 10 เท่า


และสามารถใช้งานโหมด Portrait หรือโหมดภาพถ่ายบุคคลหน้าชัดหลังเบลอได้นั่นเอง ซึ่ง iPhone 8 Plus นั่นถ่ายภาพระยะหน้าได้คมชัดกว่าเดิมส่วนฉากหลังเก็บลอได้อย่างเป็นธรรมชาติสวยงามแบบกล้องโปรเลยทีเดียว ได้โบเก้ที่สวยงามมากๆ

iPhone 8 Plus นอกจากจะถ่ายโหมด Portrait ได้สวยงามกว่าเดิมแล้วยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Portrait Lighting หรือการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล ที่ยังเป็นรุ่นเบต้าอยู่ โดยตัวเครื่องจะมีระบบตรวจจับใบหน้าในการถ่ายภาพถ่ายบุคคลพร้อมแสงเงา พร้อมสร้างเอฟเฟ็กต์แสงได้แบบสตูดิโอมืออาชีพ ซึ่งเมื่อถ่ายภาพในโหมด Portrait เราจะสามารถเลือกปรับเอฟเฟ็กต์แสงได้ 5 แบบดังนี้

แสงไฟธรรมชาติ (Natural Light) – โหมดปกติของ Portrait ได้ระยะหน้าที่คมชัดตัดกับฉากหลังที่เบลออย่างลงตัว
แสงไฟสตูดิโอ (Studio Light) – ปรับแสงบนใบหน้าให้สว่างสดใสเหมือนกับจัดแสงด้วยไฟสตูดิโอ
แสงไฟคอนทัวร์ (Contour Light) – เพิ่มรายละเอียดเงาให้คมชัดพร้อมทั้งไฮไลท์และโลว์ไลท์

แสงไฟเวที (Stage Light) – จะเปลี่ยนให้ฉากหลังเป็นสีดำให้ระยะหน้าสว่างเพียงจุดเดียวเหมือนอยู่บนเวที
แสงไฟเวทีขาวดำ (Stage Light Mono) – ฉากหลังจะเป็นสีดำเหมือนเอ็ฟเฟ็กต์แสงไฟเวที แต่จะเปลี่ยนเป็นภาพขาวดำสุดคลาสสิกแทน

สำหรับ iPhone 8 นั้นมีกล้องมุมกว้างตัวเดียว ซึ่งก็เหมือนกับกล้องมุมกว้างใน iPhone 8 Plus ทุกอย่างทั้งชุดเลนส์ 6 ชิ้น ขนาดรูรับแสง ƒ/1.8 ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล OIS และเซ็นเซอร์ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่ใหญ่ขึ้นและไวขึ้น

ทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังมีไฟแฟลช True Tone แบบ LED สี่ดวงพร้อมคุณสมบัติสโลว์ซิงค์ในการใช้ความไวชัตเตอร์ต่ำควบคู่กับการยิงไฟแฟลชแบบสั้นๆ ถี่ๆ ช่วยในการถ่ายในที่แสงน้อยที่จะทำให้วัตถุในภาพสว่างพอดีกับฉากหลังแบบพอดี แถมให้แสงสว่างกว่าเดิมถึง 40% ช่วยลดแสงสะท้อนกลับจากสิ่งที่ถ่ายได้

ส่วนกล้องหน้าหรือกล้อง FaceTime HD ของทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซลรูรับแสงขนาด ƒ/2.2 เท่ากัน สามารถถ่ายภาพเซลฟี่และ Live Photos ได้สวยสดงดงามด้วยขอบเขตสีกว้าง การปรับ HDR อัตโนมัติ พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ รวมถึงยังมี Retina Flash ใช้ไฟจากหน้าจอแทนไฟแฟลช สามารถถ่ายวิดิโอที่ความละเอียด Full HD 1080p

ถ่ายภาพนิ่งได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้แล้ว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังสมารถถ่ายวิดีโอความระดับ 4K ที่ 60 fps ได้แล้วจากเดิมที่ได้เพียง 30 fps เท่านั้น ถ่ายวิดีโอสโลว์โมชั่นความละเอียด 1080p ที่ 240 fps ได้แบบเนียนสุดๆ และยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลที่ดีขึ้น สามารถซูมออปติคอลและซูมดิจิตอลได้ 6 เท่า (เฉพาะ iPhone 8 Plus) พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวทำให้วิดีโอที่ถ่ายมีคุณภาพดีที่สุด

สามารถถ่ายภาพนิ่งความละเอียด 8 ล้านพิกเซลขณะบันทึกวิดีโอ 4K ได้พร้อมกัน แถมการบีบอัดข้อมูลแบบ HEVC ทำให้ได้ไฟล์วิดีโอที่มีคุณภาพเท่าเดิมในขนาดไฟล์ที่เล็กลงถึงครึ่งหนึ่ง หมดปัญหาเมมเครื่องเต็มบ่อยๆ แถมตัวเครื่องพกพาสะดวกสบาย สวยงามกว่าเดิม

แม้ว่าทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus จะเป็นดีไซน์ใช้วัสดุเป็นกระจกแบบใหม่ตัวเครื่องก็ยังคงกันน้ำ กันฝุ่นเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ของห้องปฏิบัติการที่ได้รับการควบคุมที่ระดับ IP67 คืออยู่ในน้ำที่ความลึก 1 เมตรได้ไม่เกิน 30 นาที

แต่แน่นอนว่า Apple ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานในน้ำหรือใต้น้ำ ซึ่งคุณสมบัตินี้จะช่วยป้องกันตัวเครื่องที่อาจจะโดนฝนตกหรือน้ำกระเด็นใส่เท่านั้น และห้ามชาร์จขณะที่เครื่องยังเปียกอยู่

สำหรับใครที่ชื่นชอบลำโพงสเตอริโอบน iPhone 7 ต้องบอกเลยว่าบน iPhone 8 ทำได้กระหึ่มยิ่งกว่าเดิมเพราะตัวลำโพงได้รับการออกแบบใหม่ให้เสียงดังขึ้นกว่าเดิม 25% ให้เสียงเบสได้ลึกกว่าเดิมอีกด้วย คราวนี้จะดูหนัง เล่นเกม ฟังเพลง ก็สะใจโดยไม่ต้องหาต่อลำโพงภายนอกให้วุ่นวาย หรือจะฟังผ่าน AirPods หูฟังไร้สายยอดนิยมก็สะดวกสบายแบบสุดๆ

ทางด้านอุปกรณ์เสริมของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ก็ยังคงมีออกมาให้เลือกทั้งเคสหนังและเคสซิลิโคนที่ออกแบบโดย Apple เองในการปกป้องตัวเครื่องซึ่งคราวนี้เป็นดีไซน์กระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลังทำให้หลายคนกังวลอยู่ไม่น้อย

สำหรับกระจกกันรอยของแบรนด์ดังเจ้าตลาดอย่าง Focus ก็มีออกมาวางจำหน่ายเรียบร้อยแล้วทั้ง 2 ขนาดหน้าจอ มีให้เลือกทั้งด้านหน้าสีขาวและสีดำ ถ้าใช้ทั้ง 2 อย่างนี้ด้วยกันแล้ว เลิกกังวัลกลัวทำตัวเครื่องตกแตกไปได้เลย

และนี่คือทั้งหมดของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่ทีมงาน @flashfly นำมารีวิวแบบเจาะลึกทุกฟีเจอร์ใหม่ที่ Apple ได้นำมาใส่ไว้ในรุ่นนี้แม้จะมีหน้าตาคล้ายรุ่นเดิมแต่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ทั้งสเปคเครื่องที่ดีกว่าเดิมหลายเท่าตัว กล้องที่ได้ปรับปรุงใหม่หมด การออกแบบตัวเครื่องใหม่ รองรับการชาร์จไร้สาย ใช้งานได้ยาวนานกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งต้องบอกว่าทั้ง 2 รุ่นนี้มีความสามารถที่โดดเด่นไม่แพ้ iPhone X อาทิใช้ชิพ A11 Bionic ตัวเดียวกัน หน้าจอ True Tone ดีไซน์กระจกกันน้ำกันฝุ่น ชาร์จไร้สายได้เหมือนกัน ,หน้าจอ True Tone ,ความจุ 64GB และ 256GB รวมไปถึงเซ็นเซอร์กล้องดิจิตอล และมีโหมด Portrait Lighting ใน iPhone 8 Plus อีกด้วย

โดย iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เปิดราคาทางการในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 28,500 บาทและ 32,500 บาทตามลำดับ อาจจะดูว่าสูงกว่ารุ่นเดิมแต่ความจุเริ่มต้นขยับมาที่ 64GB แล้วนั่นเอง ขณะที่ความจุ 256GB ราคาจะต่างกัน 6,000 บาทต่อรุ่น ขณะที่ iPhone X เปิดราคาทางการในระดับถึงสี่หมื่นบาท แน่นอนว่า Apple เองก็ได้แบ่งกลุ่มผู้ใช้งานเอาไว้แบบชัดเจนแล้ว การที่จะเลือก iPhone 8 หรือ iPhone 8 Plus ยังถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในการใช้งานเพราะยังถือเป็นแฟลกชิปในปีนี้ แถมประหยัดเงินไปอีกกว่า 12,000 บาทไว้ซื้อของขวัญในช่วงปลายปี ขณะที่ iPhone X เป็นรุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 10 ปี iPhone ใส่เทคโนโลยีใหม่ๆเพิ่มเข้ามา แน่นอนว่าทีมงาน @flashfly ก็เตรียมปล่อยรีวิวตามมาในเร็วๆนี้แล้วเช่นเดียวกัน ใครที่สนใจอยู่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด

ปิดท้ายด้วยตัวอย่างภาพถ่ายโดย iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่ไม่ได้มีการปรับแต่งใดๆเพียงแค่ย่อขนาดลงมาเท่านั้น
บทความโดย – www.flashfly.net