ในปัจจุบันการใช้งานสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของผู้คนกันไปแล้ว และแน่นอนว่าเรื่องหนึ่งที่มาพร้อมกับการใช้งานของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตนั่นก็คือ เรื่องของการเก็บไฟล์และข้อมูลต่างๆ ซึ่งไฟล์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากการใช้งานของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ไฟล์รูปภาพ วีดีโอ หรือไฟล์งานต่างๆเป็นต้น และยิ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ไฟล์เหล่านี้นับวันก็มีแต่จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ ซึ่งจะปัญหาที่ตามมานั่นก็คือเรื่องของพื้นที่เก็บข้อมูลของไฟล์และข้อมูลต่างๆเหล่านี้นั่นเอง วันนี้ลองมาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งบริการที่จะมาเป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ว่านี้กันดีกว่า
ถ้าจะพูดถึงเรื่องของบริการฝากไฟล์ หรือที่รู้จักกันในลักษณะของ cloud แล้วละก็ เชื่อแน่ว่าหลายคนน่าจะรู้จักกันบ้างแล้ว เพราะในปัจจุบันบริการในการฝากไฟล์ในลักษณะของ cloud นั้น มีให้บริการกันอย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งจากผู้ให้บริการแบรนด์ดังต่างๆมากมาย โดยมีทั้งแบบให้พื้นที่ใช้งานฟรีหรือในบางแห่งอาจมีลักษณะการซื้อพื้นที่ของ cloud ในการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมก็มี แต่น่าจะดีกว่าไหม ถ้ามีบริการฝากไฟล์ในลักษณะของ cloud ที่มีพื้นที่ฝากข้อมูลได้เยอะถึง 20GB ซึ่งถือว่าเป็นบริการที่ให้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลปริมาณมากที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
บริการที่ว่านี้นั่นก็คือ บริการฝากไฟล์แบบออนไลน์กับ AIS ในชื่อบริการ AIS Cloud+ หรือที่ก่อนหน้านี้มีชื่อว่า AIS myCloud+ นั่นเอง โดยการใช้บริการนี้ก็สามารถทำได้ง่ายๆผ่านทางแอปพลิเคชันที่มีชื่อเดียวกันกับบริการ นั่นก็คือ AIS Cloud+ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ทั้งกับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่ใช้งานบนระบบปฏิบัติการ iOS,Android,Java ,BB และSymbian โดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://wap.mobilelife.co.th/cloudplus
มาถึงจุดเด่นของแอปพลิเคชัน AIS Cloud+ ที่ว่ากันนี้ แน่นอนว่าอันดับแรกเลยก็คือเรื่องของปริมาณของพื้นที่ในการฝากไฟล์แบบออนไลน์ เพราะสามารถใช้พื้นที่ได้มากแบบจุใจถึง 20GB ทำให้สามารถเก็บข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รายชื่อเบอร์โทรศัพท์ รูปภาพ วีดีโอ SMS และไฟล์งานสำคัญๆต่างได้อย่างสบายๆกันเลยทีเดียว พร้อมสำรองข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ให้คุณฟรีตลอดชีพ
ในเรื่องของระบบความปลอดภัยนั้น หลายคนอาจมีความเป็นห่วงว่า การฝากไฟล์แบบออนไลน์ในลักษณะ cloud กับ AIS Cloud+ นี้จะปลอดภัยแค่ไหน บอกได้เลยว่าหายห่วง เนื่องจาก AIS Cloud+ นั้นได้มีการใช้ระบบจัดเก็บข้อมูล(cloud storage) ที่ใช้บริการจาก Amazon Web service ซึ่งมีระบบการจัดการรักษาความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ระดับสากล ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นอีกหนึ่งความมั่นใจที่จะสามารถใช้บริการดังกล่าวได้ด้วยความสบายใจ
จุดเด่นเรื่องต่อมานั่นก็คือเรื่องของการใช้งานโดยไม่ต้องกังวลว่าสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่เราใช้งานกันอยู่นั้น จะใช้อยู่บนระบบปฎิบัติการอะไร เพราะ AIS Cloud+ สามารถทำการ Backup และ Restore ข้อมูลได้แบบข้ามแพลตฟอร์ม ซึ่งก็หมายความว่าไม่ว่าจะใช้ระบบปฎิบัติการใดก็ตาม ก็สามารถทำการ Backup หรือ Restore ข้อมูลมาใช้งานกันได้อย่างง่ายดาย แถมยังสามารถใช้งานผ่าน Browser ซึ่งทำให้สามารถ Backup หรือ Restore ข้อมูลมาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับใครหลายๆคนที่มักมีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตมากกว่า 1 เครื่อง แถมยังมีหลากหลายระบบปฎิบัติการกันอีกด้วย คราวนี้ก็หมดปัญหาเรื่องที่ต้องมากังวลว่าระบบฝากไฟล์ออนไลน์หรือ cloud ที่ใช้งานอยู่นั้น จะใช้กับระบบปฎิบัติการที่ตนเองใช้อยู่หรือไม่
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจนั่นก็คือส่วนของ Anti-Theft สามารถสั่งงานได้จากระยะไกลได้ทันที ทั้งล็อคเครื่อง , ลบข้อมูล , สำรองข้อมูล , ติดตามโทรศัพท์, ถ่ายรูปคนร้าย ซึ่งช่วยทั้งปกป้องข้อมูล และอาจจะรักษาสมาร์ทโฟนไว้ได้อย่างทันท่วงทีในกรณีที่เครื่องสูญหายหรือถูกโจรกรรมอีกด้วย
ได้ทำความรู้จักกับ AIS Cloud+ กันไปบ้างแล้ว ทีนี้ลองมาดูกันเลยดีกว่าว่า แอปพลิเคชันนี้จะมีหน้าตาและการใช้งานอย่างไรกันบ้าง
เริ่มจากหลังจากดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาติดตั้งใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องทำการยอมรับข้อตกลงใจการใช้งานเป็นขั้นตอนแรก จากนั้นจะเข้าสู่หน้าจอแรกที่สอบถามว่าเคยได้ลงทะเบียนใช้งาน AIS Cloud+ ไว้ก่อนหน้านี้แล้วหรือไม่ หากใครที่ใช้งานเป็นครั้งแรก ก็สามารถกดสมัครใช้งานกันได้เลย
ในหน้าสมัครใช้งานนั้น ต้องทำการกรอกรายละเอียดในหน้า Profile ให้ถูกต้องและครบถ้วน โดยข้อมูลที่ถูกกรอกเหล่านี้ จะถูกนำไปใช้หากเกิดกรณีที่สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตสูญหายนั่นเอง และเมื่อกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเข้าไปใช้งานในเมนูอื่นๆต่อไปกันได้เลย
มาดูกันที่เมนูการใช้งานเมนูแรก นั่นก็คือ Backup/Restore โดยมาเริ่มจากการ Backup หรือการสำรองข้อมูล ซึ่งจะเห็นได้ว่าสามารถเลือกทำการ Backup ได้ทั้งข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ ไฟล์รูปภาพ และไฟล์วีดีโอ โดยจะมีการแสดงให้เห็นว่าครั้งล่าสุดที่ได้เคยทำการ Backup ไว้นั้นเป็นวันและเวลาไหนอีกด้วย รวมถึงที่ด้านบนยังบอกพื้นที่การใช้งาน ว่ามีโควต้าการใช้งานทั้งหมดเท่าใด และใช้งานไปแล้วทั้งหมดเท่าใดอีกด้วย
โดยสำหรับการใช้งานของระบบปฎิบัติการ iOS และ Android อาจมีหน้าจอการใช้งานที่ต่างกันเล็กน้อย ซึ่งทางของ Andorid จะมีประเภทและรายละเอียดของไฟล์ที่มากกว่านั่นเอง และเมื่อต้องการ Backup ข้อมูลในส่วนไหน ก็สามารถเลือกเข้าไปทำการ Backup ได้ตามที่ต้องการกันได้เลย
หลังจากที่ได้ทำการ Backup ข้อมูลที่สำคัญไว้บนระบบฝากไฟล์ออนไลน์กับ AIS Cloud+ กันไปแล้ว คราวนี้ลองมาดูเมนูในการ Restore หรือการเรียกคืนข้อมูล กันบ้าง โดยในเมนูนี้จะเป็นการเรียกคืนข้อมูลภายหลังการสำรองข้อมูลไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยในกรณีการใช้สมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นเดิมก็สามารถถึงข้อมูลเดิมที่เคย Backup ไว้ได้ รวมไปถึงกรณีที่เครื่องสูญหายหรือถูกโจรกรรมก็สามารถเรียกคืนข้อมูลเดิมที่เคย Backup มาใช้งานผ่าน AIS Cloud+ ได้ทันที เพียงแค่เข้ามาที่เมนู Restore จากนั้นต้องทำการล็อกอินด้วยหมายเลขโทรศัพท์และ password ที่เคยทำการลงทะเบียนไว้เท่านี้ข้อมูลทั้งหมดในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเครื่องเดิมก็จะมาอยู่ในเครื่องใหม่อย่างอัตโนมัติกันเลย
หลังจากได้ทำความรู้จักกับเมนูหลักในการทำงานกันไปแล้ว คราวนี้ลองมาดูฟีเจอร์อื่นๆที่เรียกได้ว่าเป็นลูกเล่นที่น่าสนใจแถมยังมีประโยชน์ในการใช้งานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เริ่มจากส่วนของเมนู Timeline ( บนระบบปฎิบัติการ iOS ) นั้นจะเปรียบเสมือนเป็นการบันทึกกิจกรรมหรือรายการที่เคยได้ทำไว้ในอดีต ยกตัวอย่างเช่น การ Backup ข้อมูล หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูล Profile โดยจะมีการบันทึกช่วงเวลาที่ได้ทำกิจกรรมดังกล่าวให้ได้เห็นกันอีกด้วย
และเมนูต่อมากับ Anti-Thief ( เวอร์ชั่นระบบปฎิบัติการ iOS ) หรือ Security ( เวอร์ชั่นระบบปฎิบัติการ Android ) ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่มีไว้เพื่อเพิ่มความมั่นใจ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานสมาร์ทโฟน เนื่องจากเป็นฟีเจอร์ที่จะสามารถป้องกันการเข้าถึงข้อมูล รวมถึงยังเพิ่มโอกาสที่จะหาค้นหาสมาร์โฟนได้เจอง่ายขึ้น เมื่อเกิดกรณีเครื่องสูญหายหรือโดนโจรกรรมนั่นเอง ลองมาดูกันเลยดีกว่าว่าในแต่ละเมนูย่อยของ Anti-Thief นั้นจะมีการใช้งานอย่างไรกันบ้าง
Lock : ล็อคโทรศัพท์เมื่อมือถือสูญหาย มั่นใจมากขึ้น ในการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลและการใช้โทรศัพท์ ด้วยการส่ง SMS ไปยังโทรศัพท์ที่หาย เพื่อล็อคเครื่องป้องกันการใช้งาน หรือเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์ ด้วยการพิมพ์ #Lock แล้วส่งไปที่เบอร์โทรศัพท์นั้นๆ เช่นหากมีการตั้ง Anti-Theft command เป็น 12345 หากจะใช้ feature นี้จะต้องพิมพ์ 12345#Lock แล้วส่งไปที่เบอร์โทรศัพท์ลูกค้า หรือหากได้รับ SMS แจ้ง SIM change alert ที่เป็นเบอร์ใหม่เข้ามา ก็สามารถส่ง SMS ไปที่เบอร์ดังกล่าว เพื่อทำการ Lock เครื่องโทรศัพท์
Siren : ทำให้โทรศัพท์ส่งเสียงร้อง ไม่ว่าจะปิดเสียงไว้ หรือเปิดสั่นไว้ หากหามือถือไม่เจอ สามารถส่ง SMS ไปยังโทรศัพท์ เพื่อให้มือถือส่งเสียงดัง เพื่อทราบว่าตอนนี้มือถืออยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่
Locate : ติดตามตำแหน่งโทรศัพท์มือถือ ติดตามตำแหน่งของโทรศัพท์มือถือได้อย่างง่ายดาย ด้วยการส่ง SMS ไปยังโทรศัพท์ของคุณ เท่านี้ก็ทราบตำแหน่งของโทรศัพท์มือถือได้
SIM Change Alert : แจ้งเบอร์ใหม่เมื่อโทรศัพท์ถูกเปลี่ยน SIM เมื่อมีการเปลี่ยนซิมการ์ดในมือถือของคุณ จะมี SMS แจ้งเบอร์โทรศัพท์ใหม่ ไปยังกลุ่มเบอร์โทรศัพท์ที่ตั้งไว้ ดังนั้นคุณสามารถโทรกลับไปหาทุกเบอร์ใหม่ที่ใช้งานมือถืออยู่ หรือใช้เเป็นเบาะแสให้ตำรวจติดตามหาโทรศัพท์มือถือได้
Capture Thief : หากในกรณีที่สมาร์ทโฟนเกิดถูกโจรกรรมหรือเกิดการสูญหายแล้วนั้น ฟีเจอร์นี้จะสามารถทำให้เราสามารถจับคนร้ายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เพียงแค่ส่ง SMS ไปเท่านั้น ตัวแอปพลิเคชันจะทำการถ่ายภาพทั้งจากกล้องด้านหลังและกล้องด้านหน้าในทันที จากนั้นจึงทำการส่งภาพที่ถ่ายได้นั้นส่ง email ไปยัง email ของเจ้าของเครื่องที่ได้ลงทะเบียนไว้นั่นเอง
Remote Wipe: ล้างข้อมูลสำคัญออกจากมือถือ คุณสามารถลบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือเพื่อป้องกันการนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในทางที่ผิดเมื่อโทรศัพท์มือถือหายได้
SIM Change Alert : แจ้งเบอร์ใหม่เมื่อโทรศัพท์ถูกเปลี่ยน SIM เมื่อมีการเปลี่ยนซิมการ์ดในมือถือของคุณ จะมี SMS แจ้งเบอร์โทรศัพท์ใหม่ ไปยังกลุ่มเบอร์โทรศัพท์ที่ตั้งไว้ ดังนั้นคุณสามารถโทรกลับไปหาทุกเบอร์ใหม่ที่ใช้งานมือถืออยู่ หรือใช้เเป็นเบาะแสให้ตำรวจติดตามหาโทรศัพท์มือถือได้
Protect app lunch function : สำหรับฟังก์ชันนี้จะเป็นการป้องการการลักลอบเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน AIS Cloud+ จากผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์ โดยจะมีการตั้งการใช้งานเมื่อต้องการเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน AIS Cloud+ ทุกครั้งจะต้องทำการใส่พาสเวิร์ดให้ถูกต้องก่อนนั่นเอง
Hide app / Unhide app : เพื่อความปลอดภัย ไม่เพียงแค่การตั้งค่าพาสเวิร์ดในการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันเท่านั้น แต่ยังสามารถทำการซ่อนไอคอนของแอปพลิเคชันไม่ให้เห็นจากหน้า Home screen ได้อีกด้วย
และเมนูการใช้งานสุดท้ายที่จะปรากฎบนเวอร์ชั่นของระบบปฎิบัติการ Android ก้บเมนูที่มีชื่อว่า Photo Diary ซึ่งเป็นเมนูที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะตัวแอปพลิเคชันจะทำการดึงรูปภาพที่ได้ถ่ายบันทึกไว้ออกมาจากตัวเครื่อง โดยจะทำการแยกตามวันที่ที่ทำการถ่ายพร้อมระบุสถานที่ในการถ่ายตามค่า GEO Tracking ที่เก็บไว้ในภาพอีกด้วย
เมื่อเข้ามาในเมนูนี้จะเห็นได้ว่าภาพที่เราได้ถ่ายในแต่ละวันนั้นจะถูกแยกให้เห็นอย่างชัดเจน โดยที่จะสามารถกำหนดได้ว่าภาพที่มีอยู่ในเครื่องนี้ จะเซ็ทสถานะให้สามารถมองเห็นได้ในแบบ Public หรือ กำหนดให้เป็น Private หรือสามารถแสดงผลทั้งหมดหรือ Show all รวมไปถึงยังสามารถบันทึกข้อความเป็นตัวอักษรเข้าไปในแต่ละวันได้อีกด้วย
นอกจากนั้น ในเมนูนี้เรายังสามารถเลือกภาพที่ต้องการแล้วแชร์ไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย รวมไปถึงการแชร์ไปยัง Social Media ชื่อดังสุดฮิตอย่าง Facebook ก็สามารถแชร์ได้ด้วยเช่นกัน
โดยสรุปแล้วแอปพลิเคชัน AIS Cloud+ ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ใครที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ทั้งกับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่ใช้งานบบระบบปฎิบัติการ iOS และ Android โดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://wap.mobilelife.co.th/cloudplus
และที่น่าสนใจไปกว่านั้น นั่นก็คือเพียงแค่สมัครวันนี้ ก็สามารถได้รับพื้นที่ใช้งาน 20GB พร้อมทดลองใช้ฟรีนาน 30 วันนับจากวันลงทะเบียนอีกด้วย ใครที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ais.co.th/cloudplus/
บทความโดย – www.flashfly.net