เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2557 ไมโครซอฟต์ได้ออกมาประกาศผ่านเว็บเรื่องช่องโหว่ในโปรแกรม Internet Explorer รุ่น 6 ถึง 11 ซึ่งอนุญาตให้ผู้ไม่หวังดีสามารถสั่งประมวลผลคำสั่งอันตรายบนเครื่องของ เหยื่อได้ (Remote Code Execution) ช่องโหว่ดังกล่าวนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบและยังไม่มีวิธีแก้ไขโดยตรง
ซึ่งในการโจมตี ผู้ไม่หวังดีจะสร้างเว็บไซต์ที่มีโค้ดอันตรายฝังอยู่ หรือแทรกโค้ดที่มีอันตรายนั้นไว้ในเว็บไซต์ที่ถูกแฮ็ก จากนั้นใช้วิธีการทาง Social Engineering หลอกล่อให้เหยื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ดังกล่าว จากนั้นโค้ดอันตรายที่ถูกฝังอยู่ก็จะเริ่มทำงานทันทีที่เหยื่อเข้าเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์
ช่องโหว่ดังกล่าวนี้สามารถโจมตีได้ด้วยการฝังโค้ดอันตรายไว้ในเว็บไซต์ ซึ่งหากผู้ใช้งานเข้าชมเว็บไซต์ที่ผู้ไม่หวังดีเตรียมไว้ อาจถูกติดตั้งมัลแวร์หรืออาจถูกสั่งให้ประมวลผลคำสั่งอันตรายจากระยะไกลได้ (Remote Code Execution)
โดยจากข้อมูลสถิติของเว็บไซต์ TrueHits พบว่าในเดือนมีนาคม 2557 ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ยังมีการใช้งาน Internet Explorer อยู่ไม่น้อยกว่า 13.27% ]ซึ่งผู้ใช้เหล่านี้มีโอกาสเสี่ยงที่จะถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ดังกล่าว นอกจากนี้ เนื่องจากบริษัทไมโครซอฟต์ได้หยุดการให้การสนับสนุนด้านเทคนิคแก่ Windows XP แล้ว อาจทำให้ผู้ใช้งาน Internet Explorer บนระบบปฏิบัติการดังกล่าว ไม่ได้รับแพทช์แก้ไขช่องโหว่นี้เมื่อมีการปล่อยออกมาด้วย
ในขณะนี้ ทางไมโครซอฟต์ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ และยังไม่มีแพทช์แก้ไขช่องโหว่ดังกล่าวออกมา อย่างไรก็ตาม จากการแนะนำของไมโครซอฟต์ ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดจากช่องโหว่ดังกล่าว
1. ติดตั้งโปรแกรม EMET 4.1 หรือ 4.0 และกำหนดค่าให้ใช้งานกับโปรแกรม Internet Explorer ซึ่งทางไทยเซิร์ตเคยเผยแพร่บทความเรื่องวิธีการใช้งาน EMET ไว้แล้ว
2. กำหนดค่า Security Level ของ Internet และ Local intranet ใน Internet Explorer ให้เป็น High รวมถึงปิดการทำงานของ ActiveX Controls และ Active Scripting
3. หากใช้งาน Internet Explorer รุ่น 10 และ 11 บน windows 7 ขึ้นไปที่เป็นระบบปฏิบัติการชนิด 64 บิท ให้เปิดการใช้งาน Enhanced Protected Mode (EPM)
หากว่าไม่สามารถดำเนินโดยวิธีอื่นได้ จากคำแนะนำของ US-CERT อาจพิจารณาเปลี่ยนไปใช้บราวเซอร์อื่นเป็นการชั่วคราว เช่น Chrome หรือ Firefox จนกว่าบริษัทไมโครซอฟต์จะออกแพทช์มาแก้ไข
นอกจากนี้ ผู้ใช้ควรตั้งค่า Auto Update ของ Windows เพื่อให้สามารถอัพเดท Internet Explorer โดยอัตโนมัติ และสำหรับวิธีการอื่นๆ ที่สามารถป้องกันผลกระทบของช่องโหว่นี้ได้ ผู้ใช้งานสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของไมโครซอฟต์
ที่มา – thaicert
http://www.flashfly.net/wp/?p=90011