วางจำหน่ายกันไปสักพักแล้วกับแท็บเล็ต 2 รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple นั่นคือ iPad Air และ iPad mini หน้าจอ Retina Display ซึ่งสำหรับ iPad Air เป็นการออกแบบใหม่หมดแตกต่างจากรุ่นเดิมอย่าง iPad 4 โดยสิ้นเชิง ซึ่งจะแลดูคล้ายกับ iPad mini รุ่นแรกนั่นเอง จุดเด่นของทั้ง 2 รุ่นนี้ก็แตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งาน
โดย iPad Air จะเป็นแท็บเล็ตน้าจอ 9.7 นิ้วที่บางและเบาที่สุดจาก Apple หน้าจอคมชัดใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 10 โมง เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการดูหนัง เล่นเกม ท่องเว็บ หรือทำงานเอกสาร และอ่าน E- Magazine
สำหรับ iPad mini รุ่นที่ 2 มาพร้อมหน้าจอ Retina นั้นมีขนาดหน้าจอ 7.9 นิ้ว มีสเปคแบบเดียวกับ iPad Air แต่ต่างกันทีขนาดและน้ำหนักที่พกพาง่ายกว่ามาก เหมาะสำหรับสาวๆในการใส่กระเป๋าสะพาย หรือเด็กๆเพราะหน้าจอไม่ใหญ่เกินไปและถือได้ง่าย
ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมชิป A7 แบบ 64-bit และชิป M7 ใหม่ล่าสุดแบบเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 5s และกล้องหน้ารองรับ Facetime HD ที่ความละเอียด 720p ถ่ายภาพนิ่งที่ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องดิจิตอล iSight Camera ด้านหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ถ่าย VDO ที่ความละเอียด Full HD 1080p
ขอแตกต่างระหว่าง iPad Air หรือ iPad mini Retina รุ่น Wifi อย่างเดียวกับรุ่นใส่ซิมได้ สามารถสังเกตุง่ายที่ด้านหลังตัวครื่องจะมีแถบสีขาว หรือสีดำที่ด้านบนของตัวเครื่อง (แล้วแต่สีของเครื่อง) อยู่นั่นเอง และจะมีช่องใส่ซิมที่ด้านขวาล่าง
แต่สิ่งที่เหมือนของทั้งรุ่นนี้คือรองรับการใช้งาน 4G LTE อย่างเต็มรูปแบบ โดยในประเทศไทยยังมีเพียง Truemove H ที่เปิดให้บริการเป็นรายแรก ซึ่งปัจจุบันแม้จะยังไม่ครอบคลุมทั่วกรุงเทพ และในจุดสำคัญๆจะมีให้บริการแล้ว และกำลังขยายออกไป ตามชานเมืองอย่างที่ทีมงาน @flashfly ได้ทดสอบใช้งาน 4G LTE ของ Truemove H ที่ห้าง Mega Bangna ก็สามารถใช้งานได้
สำหรับการใช้งาน 4G ของ Truemove H บน iPad Air และ iPad mini Retina นั้นสามารถทำได้ง่ายๆเพียงใส่ซิมการ์ด 4G หรือที่เรียกว่า U -SIM แบบ Nano Sim เข้าไปในเครื่อง
เข้าไปที่ Settings > Cellular Data ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เปิดใช้งาน Cellular Data และ Enable 4G แล้วหรือไม่ ดังรูป
สังเกตุที่มุมซ้ายบนจะเห็นว่าเชื่อมต่อสัญญาณ 4G เรียบร้อยแล้ว
ลองทำการทดสอบความเร็ว 4G ของ Truemove H ให้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 30 Mbps และความเร็วในการอัพโหลดเฉลี่ยที่ 15 Mbps ถือว่าใช้ได้ เพราะความแรงจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ที่ใช้งาน และความหนาแน่นของการเชื่อมต่อในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 20 Mbps และเร็วที่สุดถึง 100 Mbps
หลังจากที่ติดตั้งและทดสอบความแรงกันไปเรียบร้อย ก็มาถึงการใช้งานจริงกันบ้างด้วยความเร็วระดับ 4G ทำใช้รู้สึกเหมือนใช้ Wifi อยู่ที่บ้านทั้งความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมออนไลน์
ท่องเว็บ เล่น Social ,Facebook,LINE ชมข่าวหรือภาพยนตร์จาก True Vision ได้ทุกที่โดยไม่แตกต่างกับที่บ้านเลยทีเดียว
แต่แน่นอนว่าการใช้งาน 4G นั้นต้องแลกมาด้วยกับ Data แพกเกจที่หมดเร็วกว่า 3G มากซึ่งตรงนี้แนะว่าต้องมีการจัดการที่ดีๆหน่อย เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะเจอบิลช็อคตอนสิ้นเดือนได้ หาก Data เราใช้เกินกว่าแพคเกจ ซึ่งตอนนี้ทาง Truemove H ก็มีให้เลือกใช้ตั้งแต่ 500MB ไปจนถึงแบบไม่จำกัดเลยทีเดียว (3G สูงสุด 3GB) ซึ่งมีราคาเริ่มต้นเบาๆที่ 249 บาทใช้งาน Data ทุกรุปแบบตั้งแต่ 4G,3G,EDGE และ GPRS รวมกันได้ 500MB และยังสามารถใช้งาน True Wifi ที่มีให้บริการทั่วประเทศได้ไม่จำกัดอีกด้วย ส่วนแพคเกจอื่นๆนั้นสามารถชมได้จากตาราง
สำหรับใครที่เน้นการใช้งาน Data แบบไม่จำกัดต้องใช้แพคเกจ Net (i) 799 และ Net (i) 899 ที่สามารถใช้งาน 4G และ 3G ได้สูงสุดถึง 5GB ใช้งาน EDGE,GPRS และ True Wifi ได้ไม่จำกัด แถมตอนนี้ Truemove H ยังมีส่วนลดรายเดือน 50% นาน 6 เดือนอีกด้วย
สำหรับราคา iPad Air และ iPad mini Retina จากทาง Truemove H มีดังนี้
บทความโดย – www.flashfly.net
http://www.flashfly.net/wp/?p=85494