เพื่อไขข้อข้องใจและเก็บตกข่าวความเคลื่อนไหวในวงการเทเลคอมทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ ก่อนงาน Thailand Mobile Expo 2011 Showcase ครั้งนี้ จัดวันที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่เดิม สำหรับบทความนี้จะมาแนะนำการเลือกซื้อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเพื่อนำไปใช้กับระบบ 3G ที่วันนี้มีผู้ให้บริการกันมากมาย หลายรายแล้ว ว่าควรจะดูอย่างไรเพื่อให้ใช้ได้กับระบบที่คุณใช้อยู่ เพราะวันนี้บริการ 3G ในบ้านเรานั้นมีการให้บริการกันหลายความถี่ ซึ่งทำให้เกิดการสับสนในการเลือกใช้ เลยอยากมาแนะนำการเลือกซื้อโทรศัพท์ 3G ให้ถูกค่ายกัน
3G มีกันกี่มาตรฐาน แล้วทำไมโทรศัพท์มือถือ 3G ของแต่ละค่ายถึงใช้ด้วยกันไม่ได้
มาตรฐาน 3G หรือ UMTS (Universal Mobile Telephone System) หรือเรียกกันในชื่อของเทคโนโลยี WCDMA (Wide Band Code Division Multiple Access) เป็นระบบที่มีการใช้งานมากที่สุดในโลกขณะนี้ จริงๆแล้วมีอีกเทคโนโลยีหนึ่งก็คือ CDMA 2000 1x EVDO (ที่ CAT Telecom ให้บริการในต่างจังหวัด แต่สุดท้ายก็จะเปลี่ยนไปเป็น WCDMA ในเร็วๆนี้) พูดง่ายๆ ก็คือต้องบอกว่า 3G ในบ้านเราก็คงมีแต่ระบบ WCDMA นั่นแหละครับ ระบบ WCDMA นั้นมีการพัฒนาใช้กันมากว่า 10 ปี และมีการใช้งานบนความถี่มาตรฐานต่างๆ กันไป แล้วแต่ทวีป หรือประเทศนั้นๆ ว่ามีความถี่ใดว่างให้ได้ใช้กัน จนกลายมาเป็นมาตรฐานความถี่ที่ใช้บนเทคโนโลยี WCDMA ถึง 5 ความถี่ด้วยกัน อันได้แก่
- 2100 MHz เป็นความถี่แรกของมาตรฐาน 3G WCDMA โดยใช้กันแพร่หลายมากที่สุดทั่วโลก โดยมีการใช้ในทวีปยุโรป เอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย
- 1900 MHz ใช้กันแพร่หลายในแถบทวีปอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้
- 1700 MHz มีใช้กันในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
- 850 MHz ใช้กันมากในแถบทวีปอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ ในเอเชียมีประเทศ ออสเตรเลียและไทย
- 900 MHz ใช้กันแพร่หลายในยุโรป เอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย หรือประเทศที่ให้บริการ GSM ในความถี่ 900 MHz แล้วมีการอัพเกรดระบบมาเป็น 3G บนความถี่เดิม
ในประเทศไทยนั้นเนื่องจากการประมูลความถี่ 3G ที่คลื่นความถี่ 2100 MHz ถูกล้มไปเมื่อปีก่อน ทำให้ผู้ให้บริการปัจจุบันต้องหันมาใช้ความถี่เดิมๆ ที่มีการจัดสรรก่อนหน้านี้มาใช้ไปก่อน (เพราะถ้าต้องรอ ก็ไม่รู้จะต้องรอถึงเมื่อไร…) ได้แก่ความถี่ 850 MHz และ 900 MHz ยกเว้น TOT ที่ได้สิทธิในการให้บริการ 3G ที่คลื่นความถี่ 2100 MHz ก่อนใคร ส่วนในเรื่องโทรศัพท์มือถือนั้น โดยส่วนใหญ่เครื่องที่มีขายในวันนี้จะมีการรองรับกันแบบ Dual Mode อยู่แล้ว นั่นคือ รองรับการใช้งาน 3G (WCDMA) และ 2G (GSM) ในตัวเดียวกัน โดยแต่ละ Mode นั้นก็จะรองรับความถี่ต่างๆ กันไปในเครื่องเดียวกัน ในส่วนของ 2G (GSM) นั้นส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นเครื่องที่รองรับ 3G จะรองรับ 2G (GSM) ในทุกย่านความถี่เพื่อพร้อมใช้งานได้ทั่วโลกอยู่แล้ว อันได้แก่ GSM 850/900/1800/1900 MHz โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ส่วนความถี่ที่รองรับบน 3G (WCDMA) นั้นมักจะมีปัญหาว่าหลายๆยี่ห้อ จะไม่สามารถทำให้ทั้ง 3 ความถี่ที่มีการใช้งานในบ้านเราอยู่ในเครื่องเดียวกันได้ (850, 900, 2100 MHz) ปัญหาอยู่ที่ความถี่ 850 MHz กับ 900 MHz ที่อยู่ใกล้ๆกันมาก บางยี่ห้อไม่สามารถออกแบบ และพัฒนาได้ เพราะประสิทธิภาพที่ได้นั้นไม่เสถียรเมื่อนำมาใช้งานจริง แต่บางยี่ห้อก็สามารถก้าวข้ามปัญหาด้านเทคนิคนี้ และทำออกมาขายสู่ตลาดได้ นั่นเป็นเหตุว่าต้องทำความเข้าใจก่อนว่าจะใช้เครื่องใด กับผู้ให้บริการใดได้บ้าง
3G โดยผู้ให้บริการไทย ใครกันบ้าง ความถี่อะไร
ปัจจุบันในบ้านเรามีการเปิดให้บริการ 3G กันหลายรายแล้ว ทั้งหมด 4 ราย ได้แก่
- TOT 3G ที่ปัจจุบันให้บริการกันที่ความถี่ 2100 MHz ซึ่งปัจจุบันโทรศัพท์มือถือทุกรุ่นที่ขายในไทย และรองรับ 3G ก็จะรองรับความถี่ 2100 MHz กันทุกรุ่นอยู่แล้ว เพียงบอกว่าโทรศัพท์รุ่นนั้นรุ่นนี้รองรับเทคโนโลยี 3G (WCDMA หรือ UMTS ล้วนเป็นความหมายเดียวกันว่ารองรับ 3G เทคโนโลยี) ความถี่ 2100 MHz อยู่ โดยปัจจุบันให้บริการที่ความเร็วสูงสุด 42 Mbps (Mega bit per second) ปัจจุบันมีพื้นที่ให้บริการอยู่ในเขตจังหวัด กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม อยุธยา ปทุมธานี
- True Move และ True Move H (ในเครือเดียวกัน) ที่มีการให้บริการ 3G ที่ความถี่ 850 MHz และให้ความเร็วสูงสุด 21 Mbps มีพื้นที่ให้บริการอยู่ในเขตจังหวัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา บางแสน หัวหิน ชะอำ
- AIS เปิดให้บริการ 3G ที่ความถี่ 900 MHz และให้บริการที่ความเร็วสูงสุด 21 Mbps โดยมีพื้นที่ให้บริการอยู่ในเขตจังหวัด กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา ภูเก็ต สงขลา ชะอำ หัวหิน ปราณบุรี
- dtac เพิ่งจะเปิดให้บริการรายล่าสุดที่ความถี่ 850 MHz และให้ความเร็วสูงสุด 42 Mbps ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และจะมีการขยายไปสู่หัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด ภายในปีนี้อย่างแน่นอน
ทั้งหมดนี้ความเร็วสูงสุดที่พูดถึงกันคือ ความเร็วในการ Download ส่วนความเร็วสูงสุดในการ Upload จะอยู่ที่ 5.76 Mbps หรือ 2 Mbps แล้วแต่ละรายที่จะรองรับกันได้ ทั้งนี้จะเห็นว่าประเทศไทยมีการให้บริการ 3G แตกต่างกันถึง 3 ความถี่ด้วยกัน อันได้แก่ ความถี่ 850 MHz (dtac, True Move) 900 MHz (AIS) และ 2100 MHz (TOT) เพราะฉะนั้นการเลือกโทรศัพท์มือถือให้ใช้ได้กับความถี่ 3G ที่ผู้ให้บริการที่คุณเลือกใช้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ผมเลยอยากขอแนะนำเป็นหมวดๆ กันไป โดยขอแนะนำเฉพาะรุ่นที่ยังมีขายอยู่ในตลาดเท่านั้นนะครับ โดยส่วนใหญ่จะออกเป็นจำพวกสมาร์ทโฟน แต่ถ้าอยากทราบว่าโทรศัพท์มือถือรุ่นที่คุณมีอยู่แล้ว ถ้าไม่ตรงกับที่ผมจะแนะนำ แสดงว่ารุ่นนั้นๆ เลิกทำตลาดไปแล้วอาจจะไม่มีขายแล้วในตลาด ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบรุ่มมือถือของคุณจากเว็บไซต์ของผู้ให้บริการแต่ละรายได้ ว่ารองรับการใช้งานได้หรือไม่
iOS – Apple iPhone 4, iPad2 ซื้อแล้วใช้ได้เลยทุกค่าย
เริ่มจากค่าย Apple ที่ใช้ iOS เป็นระบบปฏิบัติการในสมาร์ทโฟนนี้ โดยมีมาหลายรุ่นแล้ว ตั้งแต่ iPhone ตัวแรกซึ่งไม่รองรับการใช้งาน 3G เลย รองรับแค่ GSM เท่านั้น ส่วนรุ่นต่อมาก็คือ iPhone 3G ก็รองรับ 3G และ GSM ในตัวเดียวกัน ส่วนรุ่นที่ยังมีขายอยู่ ก็ได้แก่
- iPhone 4: รองรับ 3G ความถี่ 850, 900, 1900, 2100 MHz พูดง่ายๆ ใช้ 3G ได้ทุกค่ายครับ โดยเครื่องรองรับ 3G ความเร็วดาวน์โหลดที่ 7.2 Mbps และอัปโหลดที่ 5.76 Mbps
- iPhone 3GS: รองรับ 3G ความถี่ 850, 1900, 2100 MHz ก็คือใช้ได้ทุกค่าย ยกเว้น AIS เพราะฉะนั้นใครอยากใช้รุ่นนี้ ก็ต้องแน่ใจแล้วว่าคุณใช้บริการของ TOT 3G, dtac หรือ True Move เท่านั้น โดยเครื่อง 3G ความเร็วดาวน์โหลดที่ 7.2 Mbps และอัปโหลดที่ 384 kbps
- iPad 2: รองรับ 3G ความถี่ 850, 900, 1900, 2100 MHz ก็คือใช้ 3G ได้ทุกค่ายครับ โดยเครื่องรองรับ 3G ความเร็วดาวน์โหลดที่ 7.2 Mbps และอัปโหลดที่ 5.76 Mbps (ส่วน iPad รุ่นแรกนั้น ไม่สามารถใช้ได้กับ 3G ของ AIS ได้นะครับ)
BlackBerry ยอดนิยมสำหรับขาแชต ใช้ได้ทุกค่าย แต่ต้องสังเกตให้ดีก่อนซื้อ
โทรศัพท์มือถือ BlackBerry จาก RIM นั้น รองรับ 3G กันมามากมายหลายรุ่นแล้ว โดยรุ่นปัจจุบันที่รองรับอันได้แก่ Bold 9780, Torch 9800, Curve 9300 ส่วนรุ่นใหม่ที่กำลังจะออกขายในช่วง 2-3 เดือนนี้ได้แก่ Bold 9900, Torch 9810, Torch 9860, Curve 9360 ส่วนรุ่นที่ตกรุ่นไปแล้วละรองรับการใช้ 3G ได้ก็มี Bold 9000, Bold 9700 แต่โทรศัพท์ BlackBerry ที่รองรับ 3G และมีขายในเมืองไทยนั้นจะมี 2 หน่วยการขายในแต่ละรุ่น
- รองรับการใช้งาน 3G ความถี่ 850 / 1900 / 2100 / 800 ซึ่งปกติถ้าจะเลือกซื้อ ก็อาจจะเข้าไปที่ร้านของ dtac หรือ True Move ก็จะได้เครื่องที่รองรับความถี่ 850 MHz อย่างแน่นอน หรือถ้าอยากรู้ว่าใช้ได้จริงๆ หรือไม่ก็ดูว่าใส่ซิมแล้วขึ้นสัญลักษณ์ 3G ที่มุมขวาบนหรือไม่ แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่ 3G แล้วแต่สัญลักษณ์ขึ้นเป็น EDGE หรือ GPRS เท่านั้นแสดงว่าเครื่องอาจจะไม่รองรับ มีอีกวิธีที่ตรวจสอบเครื่องของเราก็สามารถทำได้โดย เข้าไปที่เมนู Option แล้วเลือกหัวข้อ Deviceแล้วเลือกหัวข้อ About Device Versions สังเกตข้อมูลตรง 3G Bands ว่าต้องมีเลข 5 ซึ่งหมายถึง 3G ความถี่ 850 MHz (1,2,5,6 แปลว่ารองรับ 3G ความถี่ 2100, 1900, 850, 800)
- รองรับการใช้งาน 3G ความถี่ 900 / 1700 / 2100 ซึ่งปกติถ้าจะเลือกซื้อ ก็อาจจะเข้าไปที่ร้านของ AIS หรือ Telewiz shop ก็จะได้เครื่องที่รองรับความถี่ 900 MHz อย่างแน่นอน และเช่นกัน เราก็สามารถทำได้โดย เข้าไปที่เมนู Option แล้วเลือกหัวข้อ Device แล้วเลือกหัวข้อ About Device Versions สังเกตข้อมูลตรง 3G Bands ว่าต้องมีเลข 8 ซึ่งหมายถึง 3G ความถี่ 900 MHz (1,4,8 แปลว่ารองรับ 3G ความถี่ 2100, 1700, 900)
- ส่วนเครื่องที่รองรับ 3G Bands เลข 1 เท่านั้น แสดงว่าเป็นเครื่องที่รองรับ 3G 2100 MHz เท่านั้น และจะรองรับ GSM และ CDMA ในเครื่องเดียวกัน ซึ่งส่วนมากเครื่องรุ่นแบบนี้มักจะนำหิ้วกันเข้ามาจากทางแถบอเมริกาหรืออเมริกาใต้เสียส่วนใหญ่
- สรุปเลข 3G band ที่แสดงอยู่ในเครื่อง BlackBerry: 1 = 2100 MHz, 2 = 1900 MHz, 4 = 1700 MHz, 5 = 850 MHz, 6 = 800 MHz, 8 = 900 MHz
ผู้อ่านท่านใดที่จะซื้อเครื่อง BlackBerry เหล่านี้ก็สามารถสอบถามจากผู้ขายเสียก่อน และบอกให้ทราบว่าจะซื้อไปใช้กับ 3G ระบบใด อีกทางสามารถสังเกตได้ด้วยตัวเองอย่างที่แสดงข้างต้นนะครับ ไม่งั้นพลาดไปใช้งานไม่ได้ตรงตามที่ต้องการล่ะก็เสียดายเงินแย่เลย
Android ยอดนิยม ระวังให้ดี มีแตกต่างกันมากมาย
ปัจจุบัน Android Phone มีให้เลือกมากมายหลายรุ่น ถ้าจะถามว่ารุ่นไหนรองรับ 3G ความถี่ใด ก็ต้องดูกันให้ละเอียดล่ะ วิธีสังเกต (ใช้ได้กับ Android Phone ทุกยี่ห้อ)
- เช็คสเปคจากผู้ผลิต ว่ารองรับ 3G ความถี่ใดบ้าง เช่น 3G 900/2100 หรือ 3G 850/2100 หรือเปล่า หรือ รองรับ 3G 850/900/2100 อันนี้แบบว่าบ้านๆเลย ถามเอาซื่อๆ แต่ถ้าเขาตอบไม่แน่ใจ ก็ดูข้อต่อไป
- ถ้าจะเช็คเองให้แน่ใจก็ใช้วิธีค้นหาสัญญาณ 3G ด้วยตนเองว่าเครื่องจะจับสัญญาณ 3G/2G ในความถี่ใด ของเครือข่ายใดบ้าง แต่วิธีนี้คุณต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณ 3G ของระบบที่คุณจะใช้อยู่นะครับ ไม่งั้นเครื่องก็จะบอกไม่ได้หรอกว่าเครื่องสามารถจับสัญญาณ 3G ของเครือข่ายนั้นได้หรือไม่ วิธีการคือเข้าไปที่เมนู Settings เลือกไปที่หัวข้อ Wireless and network เลือกไปที่หัวข้อ Mobile networks เลือกหัวข้อ Network Mode โดยดูให้แน่ใจแล้วว่าคุณเลือกให้เครื่องเป็น WCDMA Only หลังจากนั้นเลือกไปที่หัวข้อ Network Operators แล้ว Search Network เครื่องจะทำการค้นหาสัญญาณของระบบ 3G ของทุกเครือข่ายที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ถ้าพบเครือข่ายที่คุณต้องการใช้ ก็จะมีชื่อของเครือข่ายนั้นปรากฏขึ้น หรือมีสัญลักษณ์ 3G ปรากฏอยู่ด้วยข้างๆ ชื่อนั้น แสดงว่าเครื่องนั้นรองรับ 3G ความถี่ที่คุณต้องการแล้ว (หลังจากนั้นถ้าจะใช้ต่อ ให้แก้ Network Mode เป็น WCDMA/GSM Mode นะครับ ไม่งั้นถ้าเครื่องไปอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มี 3G เครื่องจะใช้ GSM ไม่ได้นะครับ)
- บางกรณีที่เครื่องจากผู้ผลิตนั้นรองรับการขายแบบสองหน่วยผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น ยี่ห้อ Samsung
- Samsung Galaxy S II: ซึ่งมีรหัสสินค้าคือ i9100 และ i9100T โดยรุ่นที่เป็น i9100 นั้นจะรองรับการใช้ 3G ที่ความถี่ 900/1900/2100 MHz ส่วนรุ่น i9100T นั้นจะรองรับการใช้ 3G ที่ความถี่ 850/1900/2100 MHz วิธีดูรหัสนี้สามารถดูจากฉลากด้านหลังเครื่อง หรือเข้าไปที่ About Phone ในเมนู Settings ***แต่จริงๆ แล้วในรุ่นนี้ ทั้งสองรหัสนั้นจะรองรับทั้ง 4 ความถี่เลย แต่ถูกปรับจูนมาให้เหมาะสมกับความถี่ 850 หรือ 900 MHz แตกต่างกันไป ตัวอย่างถ้าเอาเครื่อง i9100 มาใส่ซิม dtac หรือ True Move นั้น เครื่องก็จะมองเห็น 3G ความถี่ 850 MHz เหมือนกัน และใช้ได้ แต่ประสิทธิภาพจะด้อยลงพอสมควร ขณะเดียวกันถ้าเอาซิม AIS ใส่เข้าไปก็จะรองรับการใช้งานสัญญาณ 3G ของ AIS ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด ในทางกลับกันก็เช่นกัน ถ้าเอาเครื่อง i9100T มาใส่ซิม AIS นั้น เครื่องก็จะมองเห็น 3G ความถี่ 900 MHz เหมือนกัน และใช้ได้ แต่ประสิทธิภาพจะด้อยลงพอสมควร ขณะเดียวกันถ้าเอาซิม dtac, True Move ใส่เข้าไปก็จะรองรับการใช้งานสัญญาณ 3G ของทั้งสองค่ายได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด
- Samsung Galaxy Cooper: มีรหัสสินค้าคือ S5830 สำหรับเครื่องที่รองความถี่ 3G แต่ 900/2100 MHz เท่านั้น คือใช้ได้กับ AIS, TOT 3G (จริงๆ ไม่เหมือนกรณีรุ่น Galaxy S II นะครับ) ส่วนรหัสสินค้า S5830T ก็เป็นเครื่องที่รองรับความถี่ 3G แต่ 850/2100 MHz เท่านั้น คือใช้ได้กับ dtac, True Move, TOT 3G
- Samsung Galaxy Mini: คล้ายกรณีของ Galaxy Cooper มีรหัสสินค้าคือ S5570 สำหรับเครื่องที่รองความถี่ 3G แต่ 900/2100 MHz เท่านั้น คือใช้ได้กับ AIS, TOT 3G ส่วนรหัสสินค้า S5570B ก็เป็นเครื่องที่รองรับความถี่ 3G แต่ 850/2100 MHz เท่านั้น คือใช้ได้กับ dtac, True Move, TOT 3G
- Samsung Galaxy TAB: คล้ายกรณีของ Galaxy Cooper เช่นกัน มีรหัสสินค้าคือ P1000 สำหรับเครื่องที่รองความถี่ 3G แต่ 900/2100 MHz เท่านั้น คือใช้ได้กับ AIS, TOT 3G ส่วนรหัสสินค้า P1000T ก็เป็นเครื่องที่รองรับความถี่ 3G แต่ 850/2100 MHz เท่านั้น คือใช้ได้กับ dtac, True Move, TOT 3G
- ส่วนยี่ห้ออย่าง HTC มีรุ่นที่รองรับเฉพาะ 3G ความถี่ 850 / 2100 MHz นั้นได้แก่รุ่น Sensation, Desire S และ Wildfire S
- ส่วนรุ่นที่เหลือส่วนใหญ่จะรองรับ 3G ความถี่ 900/2100 MHz กันเป็นพื้นฐาน
- ยังมี Wellcom, i-mobile ที่ก็มี Android รองรับความถี่ 3G 850/2100 MHz มากมายหลายรุ่นมากครับ รองสอบถามดูได้สำหรับยี่ห้อเหล่านี้
Symbian^3 ยอดความนิยมลดลง แต่ใช้ได้ครอบจักรวาล
ตั้งแต่ Symbian^3 เริ่มถูกแนะนำลงสู่ตลาดนั้น ทุนรุ่นของ Symbian ^3 ก็พร้อมรองรับ 3G ทุกย่านความถี่ หรือที่เรียกกันว่า Penta Band กันหมดเลย คือใช้ได้ทั้งความถี่ 850/900/1700/1900/2100 MHz อันได้แก่รุ่นดังต่อไปนี้ N8, E6, E7, C6-01, C7, X7-00, C3-01, X3-02 นอกจากนั้นยังมีรุ่นใหม่ที่เพิ่งเผยโฉมกันไปแล้วได้แก่รุ่น 500, 600, 700, 701, N9 ที่พร้อมใช้ได้ทันทีครับ ดูแล้วปวดหัวน้อยสุด ชอบแล้วเลือกเลย ลองเลือกดูถ้าคุณยังศรัทธาใน Nokia Symbian อยู่และยังมองเห็นประโยชน์รวมถึงคุณค่าในการใช้ Symbian ต่อไป ปัจจุบันออกเวอร์ชั่น Symbian Anna ออกมาแล้วและ Symbian Belle ก็เป็นเวอร์ชั่นต่อไปให้คุณได้เลือกใช้กันอีกในปลายปีนี้ครับ
Aircard อุปกรณ์ 3G ที่หาซื้อได้ง่าย และถูกที่สุดที่จะเริ่มใช้ 3G
ถ้าคุณมองหา Aircard ที่จะไปใช้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค หรือเนตบุ๊ค ผมขอแนะนำว่าจะใช้กับระบบใด ก็ไปซื้อหาจากผู้ให้บริการรายนั้นๆ ได้เลย เพราะไม่ว่าจะเป็น TOT 3G, AIS, dtac, True Move ต่างก็มีการจัดทำขึ้นมา และได้ทำมารองรับกันการใช้งานได้เป็นอย่างดี โดยส่วนใหญ่จะสั่งทำจากผู้ผลิตรายใหญ่ระดับโลกที่เชื่อถือคุณภาพได้ ไม่ว่าจะเป็น Huawei หรือ ZTE นอกจากนั้นยังมีการทำโปรแกรมมารองรับการเติมเงินในกรณีที่เป็นแบบเติมเงิน รวมถึงยังสามารถเช็คปริมาณการใช้งานที่ผ่านไปได้อีกด้วย ปัจจุบันมี Aircard ที่รองรับ 3G ได้ถึงระดับความเร็ว 42 Mbps กันแล้ว แต่ราคาอาจจะสูงกว่ารุ่นทั่วไปอยู่พอสมควร
แล้วดูอย่างไรว่าตอนนี้ใช้งานโหมด 3G อยู่ในขณะนั้น
สังเกตได้ง่ายมาก ก็คือดูที่สัญลักษณ์ระดับความแรงขอสัญญาณ ซึ่งจะมีตัวหนังสือแสดงผลต่างๆ กันไปเช่น
- “G” แสดงว่าจับสัญญาณ GSM แบบ GPRS
- “E” แสดงว่าจับสัญญาณ GSM แบบ EDGE
- “3G” แสดงว่าจับสัญญาณ 3G ได้แล้วแต่รองรับความเร็วสูงสุดในดาวน์โหลดอยู่ที่ 384 kbps เท่านั้น
- “H” แสดงว่าจับสัญญาณ 3G ในโหมด HSPA “High Speed packet access” ซึ่งจะทำให้คุณใช้อินเตอร์เนตได้ที่ความเร็วตั้งแต่ 7.2 Mbps, 10.2 Mbps, 14.4 Mbps สูงสุด ขึ้นอยู่สเปคของเครื่องว่ารองรับได้สูงสุดเท่าไร
- “H+” แสดงว่าจับสัญญาณ 3G ในโหมด HSPA+ “High Speed packet access Plus” ซึ่งจะทำให้คุณใช้อินเตอร์เนตได้ที่ความเร็วตั้งแต่ 21 Mbps และสูงสุดที่ 42 Mbps ขึ้นอยู่สเปคของเครื่องว่ารองรับได้สูงสุดเท่าไร
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโทรศัพท์มือถือที่รองรับคู่กันกับระบบเครือข่ายว่ารองรับได้อยู่ที่ความเร็วระดับใด ส่วนในอนาคตเทรนด์ของการรองรับความถี่ที่ใช้ได้บน 3G ก็คงเหมือนอย่างที่ iPhone หรือ Nokia Symbian ทำได้ คือรองรับทุกความถี่ในเครื่องเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นการเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือ 3G ก็คงง่ายขึ้นกว่าเดิม และไม่ต้องไปกังวลว่าจะซื้อไปใช้กับระบบใด และจะเปลี่ยนไปใช้ระบบไหนก็ได้ ก็ต้องรอกันอีกสักนิด คาดว่าปีหน้าน่าจะเป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ครับ สุดท้ายนี้ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนซื้อนะครับ และขอให้มีความสุขกับการใช้ 3G กันอย่างพอเพียงกับงบประมาณในกระเป๋า และความจำเป็นของคุณนะครับ
สำหรับงาน Thailand Mobile Expo 2011 Showcase ครั้งนี้ จัดวันที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่เดิม ใคร สำหรับใครที่กำลังจะซื้อมือถือใหม่อยู่แล้วแนะนำให้คลิกเข้าไปดูโปรโมชั่นเด็ดที่เวบไซต์ www.thailandmobileexpo.com