หลังจากที่ทีมงาน @flashfly ได้ทำการรีวิวแกะกล่อง iPad Air กันไปแล้ว ก็มาถึงรีวิวการใช้งานจริงกันบ้าง โดย iPad Air คือ iPad รุ่นที่ 5 ต่อจาก iPad 4 หรือ iPad with Reatina Display นั่นเอง โดยครั้งนี้ Apple ได้ทำการเปลี่ยนดีไซน์ iPad Air ใหม่หมดทั้งมีขนาดที่บางลง 20% และเบากว่าเดิมอีกกว่า 28% เลยทีเดียว โดย iPad Air บางเพียง 7.5 มม.เท่านั้น
Apple ได้ทำการรีดน้ำหนักออกจากรุ่นเดิมที่มีกว่า 652 กรัม ให้เหลือไม่ถึง 500 กรัม ถือแล้วสบายมือมากกว่าเดิมมาก แถมยังมีความสามารถมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ยังมีชิป A7 แบบ 64bit และ M7 เช่นเดียวกับ iPhone 5s อีกด้วย โดย iPad Air ใช้ชิป A7 ความเร็ว 1.4GHz แรม 1GB เมื่อทดสอบด้วยการวัดคะแนนด้วยแอพ Geekbench 3 ได้ผลตามรูป โดยถ้าเทียบกับ iPhone 5s จะได้คะแนนสูงกว่า
สำหรับรูปร่างหน้าตาของ iPad Air นั้นจะดูคล้ายกับ iPad mini แต่มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าคือ 9.7 นิ้วเช่นเดียวกับ iPad 4 ที่เป็นจอความละเอียด Retina Display โดย Apple วางจำหน่าย iPad Air พร้อมกัน 2 สีคือ สีเทาอวกาศและสีขาว มีให้เลือก 4 ความจุตั้งแต่ 16GB ไปจนถึง 128GB เลยทีเดียว
ด้านหน้าจะมีกล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลสำหรับใช้งาน Facetime HD หรือ Photo Booth
ส่วนด้านล่างจะมีปุ่ม Home แบบปกติยังไม่ใช่ Touch ID แบบ iPhone 5s
ด้านบนจะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ตรงกลางคือช่อง ไมโครโฟนและปุ่มปิดเปิดเครื่อง ด้านซ้ายไม่มีช่องหรือปุ่มใดๆทั้งรุ่น Wifi และรุ่น Cellular
ด้านขวาจะมีปุ่ม Silent และปุ่มเพิ่มลดเสียง ที่ด้านล่างถ้าเป็นรุ่น Cellular จะมีช่องสำหรับใส่ Nano Sim อยู่บริเวณนี้
ด้านล่างจะมีสำโพงแบบคู่ เช่นเดียวกับ iPad mini ให้เสียงที่ดีกว่าเดิม ตรงกลางคือช่อง Lightning สำหรับชาร์จแบตเตอร์รี่และเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์
ด้านหลังจะมีกล้อง iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไม่มีแฟลชแต่ให้ภาพถ่ายที่ดีกว่ารุ่นเดิมพอสมควร และไม่มีแสงม่วงให้ปวดหัว
ทดสอบใช้งานจริง โดยเริ่มจากการใช้งานแอพและเกมส์บน iPad Air เมื่อเปิดเครื่องครั้งแรกแล้วเข้า App Store อย่างแรกที่ทีมงาน @flashfly อยากให้ติดตั้งไว้พร้อมใช้งานทันทีเลยก็คือแอพที่ Apple แจกฟรีสำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของ iPhone ,iPad และ Mac เครื่องใหม่ในช่วงปลายปี 2013 จะได้รับสิทธิ์ดาวน์โหลดแอพในกลุ่ม iWork ในการทำงานเอกสารอย่าง Pages,Keynote และ Numbers ที่ขายอยู่แอพละ 9.99$ ไปใช้งานฟรี รวมถึงแอพในกลุ่ม iLife อย่าง iPhoto,iMovie และ Garageband ที่ขายอยู่แอพละ 4.99$ นำไปติดตั้งใช้งานฟรีเช่นเดียวกัน
ในเมื่อ iPad Air สเป็คแรงขนาดนี้คอเกมอย่างเราต้องไม่พลาดจากการทดลองติดตั้งเกม FIFA 2014,Real Racing 3 ,Asphalt 8 : Airbone ,Dead Triger 2 หรือเกมใหม่ๆอย่าง Thor โดยเกมที่ Apple นำมาโชว์พลังของ A7 คือเกม Infinity Blade III นั่นเอง
ด้วยตัวเครื่อง iPad Air ที่เบา ช่วยให้เล่นเกมแบบ 2 มือได้นานและไม่เมื่อย แต่ถ้าเล่นนานมากๆตัวเครื่องจะร้อนนิดหน่อย แนะนำให้ใส่เคสจะช่วยได้
นอกจากนี้หากจะเพิ่มอรรถรสมากยิ่งขึ้นแนะนำให้เล่นเกมผ่าน Air Play ไปยังจอ LCD TV บอกได้เลยว่าแทบไม่ต่างจากเครื่อง PS3 เลย ข้อเสียเดียวที่พบคือเกมเทพๆบน iPad มีความจุเฉลี่ย 1GB ขึ้นไปแนะนำให้ใช้ iPad Air รุ่นความจุสูงกว่า 16GB ขึ้นไปจะดีกว่า
การถ่ายภาพกล้อง iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล (ƒ/2.4) ของ iPad Air นั้นถือได้ว่ามีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นเดิมมากพอสมควร ซึ่งใน iOS 7 ทาง Apple ก็มีโหมดให้ใช้งานค้ลายกับบน iPhone ทั้งการถ่าย VDO แบบ Full HD 1080p ,ถ่ายรูปภาพ และถ่ายแบบจัตุรัสได้อีกด้วย รวมไปถึงการถ่ายแบบ HDR ได้ สำหรับการถ่าย VDO ด้วย iPad Air นั้นก็มาพร้อมระบบป้องกันการสั่นไหว ซูมได้ 3 เท่าด้วยการจีบนิ้วเช่นเดียวกับการซูมเพื่อถ่ายภาพนิ่ง
เสียดายที่กล้อง iPad Air ไม่สามารถใส่ฟิลเตอร์ขณะถ่ายได้แบบ iPhone ได้ แต่สามารถนำภาพที่ได้มา Edit แล้วใส่ฟิลเตอร์ภายหลังได้เช่นกัน
อ่านหนังสือ E-book บน iPad Air ให้ความรู้สึกใหม่จาก iPad รุ่นเดิมที่ใครหลายคนบ่นว่าหนักทำให้การถือ iPad นานๆจะเมื่อยมาก แต่สำหรับ iPad Air แล้วช่วยลดปัญาตรงนี้ไปได้มาก และด้วยหน้าจอ 9.7 นิ้วแบบ Retina จึงเหมาะมากกับการอ่านนิตยสาร ขณะที่ iPad mini จะมีหน้าจอที่เล็กเกินไป โดยไม่ว่าจะเดินหรืออ่านนอกบ้านก็พกพาสะดวก ซึ่งการถือ iPad Air จะเบากว่าถือหนังสือหรือนิตยสารทั่วไปเสียอีก โดยสามารถซื้อหนังสือหรือนิตยสารชื่อดังของประเทศไทยอ่านได้ในราคาสบายๆที่ AppStore ได้ในหมวด Books
ปิดท้ายดูหนังฟังเพลงด้วย iPad Air ก็ยอดเยี่ยม จาการทดสอบนำไฟล์หนัง .MKV แบบ Full HD ขนาด 3GB ถึง 4GB มาดูผ่านแอพ VLC ให้ความคมชัดแบบสุดๆจริงๆ ไม่มีกระตุกหรือออกอาการหน่วงแต่อย่างใด ยิ่งนำไปออก TV ด้วย AirPlay แบบไร้สายด้วยแล้วแทบลื่มเครื่องเล่น DVD หรือ Blu-ray ไปได้เลย หรือถ้านำไปดูนอกบ้านด้วยลำโพงแบบคู่ก็ให้เสียงได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ใส่หูฟังจะให้เสียงที่ดีกว่า
ความอึดของ iPad Air นั้นตาที่ Apple ได้เคลมว่าใช้งานได้นาน 10 ชม. ก็เป็นไปตามนั้นและอาจจะนานกว่าด้วยซ้ำขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน ถ้าใครดูหนังเล่นเกมบ่อยๆก็จะหมดเร็วกกว่าปกติ ส่วนใครที่เน้นใช้งานทั่วๆไปอย่างเล่น Social เช็คเมล แชต หรือท่องเว็บ ก็อยู่ได้นานกว่า 14 ชม. ทีเดียว โดยรวมแล้ว iPad Air ถือว่าเป็น iPad รุ่นที่ดีที่สุดที่สาวกควรจะมีไว้ครอบครอง
สำหรับกำหนดการวางจำหน่าย iPad Air นั้น Apple ได้วางจำหน่ายในกลุ่มประเทศแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำหรับในประเทศไทยก็มีกำหนดวางจำหน่ายทางการในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้
และสำหรับอุปกรณ์เสริมของ iPad รุ่นเดิมนั้นจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าหรือไม่พอดีกันกับ iPad Air ดังนั้นอุปกรณ์เสริมต่างๆของ iPad รุ่นเดิมจึงไม่สามารถนำมาใช้งานร่วมกับ iPad Air ได้ จึงไม่น่าแปลกที่ทางร้านค้าตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์เสริมยกตัวอย่างเช่น iStudio จะนำอุปกรณ์เสริมของ iPad รุ่นเดิมออกมาลดราคา เพราะอุปกรณ์เสริมที่มีออกมาจำหน่ายก่อนหน้านี้นั้นไม่สามารถใช้งานกับ iPad Air ได้นั่นเอง
บทความโดย – www.flashfly.net
http://www.flashfly.net/wp/?p=77663