ASUS เปิดตัวเกมมิ่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ROG Phone 9 Pro และ ROG Phone 9 โดยทั้งคู่มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ความละเอียด Full HD+ ขนาด 6.78 นิ้ว รองรับขอบเขตสี DCI-P3 107% ให้ความสว่าง 1,600 นิต ในโหมด High Brightness Mode (ความสว่างสูงสุด 2,500 นิต) และที่สำคัญคือให้อัตราการรีเฟรชถึง 185Hz (เพิ่มขึ้นจาก 165Hz เมื่อปีที่แล้ว) แต่รองรับเฉพาะบางเกม
ROG Phone 9 Series ยังมีจอแสดงผลที่ 2 ที่ด้านหลัง เรียกว่า AniMe Vision ประกอบด้วย mini-LED จำนวน 85 ดวง สำหรับ ROG Phone 9 และ 648 ดวง สำหรับ ROG Phone 9 Pro ซึ่งมีความละเอียดเพียงพอที่จะแสดงข้อความเป็นภาษาจีนหรือภาษาญี่ปุ่น และยังสามารถอัปโหลดไฟล์รูปภาพ GIF เพื่อใช้เป็นภาพเคลื่อนไหวได้ อีกทั้งยังรองรับการเล่นเกมคลาสสิค เช่น Breakout, Snake, Invaders ผ่าน AniMe Vision และควบคุมการเล่นด้วยปุ่ม AirTriggers
ด้านประสิทธิภาพ ROG Phone 9 และ ROG Phone 9 Pro ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8 Elite ความจำ RAM LPDDR5X (9,600Mbps) จับคู่กับ ROM UFS 4.0 โดยรุ่นพื้นฐานได้รับความจำสูงสุด RAM 16GB + ROM 512GB ขณะที่รุ่น Pro มีความจำสูงสุด RAM 24GB + ROM 1TB
ROG Phone 9 Series ทั้ง 2 รุ่น ยังได้รับการปรับปรุงระบบระบายความร้อน ด้วยแผ่นกราไฟต์ที่ใหญ่ขึ้น 57% พร้อมปรับปรุงระบบระบายความร้อนแบบแอคทีฟ และยังมีอุปกรณ์เสริม AeroActive Cooler X Pro ที่มีใบพัดใหญ่ขึ้น 12.5% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แถมติดตั้งซับวูฟเฟอร์มาให้ด้วย รวมถึงปุ่มเสริมพิเศษ 2 ปุ่ม สำหรับควบคุมเกม นอกจากนี้ ยังมีสารประกอบระบายความร้อน ที่ทำให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น 29%
ROG Phone 9 Series มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 5,800mAh สามารถเล่นเกมหนักๆ ได้นานต่อเนื่อง 4.5 ชั่วโมง และยังรักษาความจุแบตเตอรี่ไว้ได้อย่างน้อย 80% หลังจากผ่านการชาร์จไปแล้ว 1,000 รอบ เทียบได้กับการใช้งานนาน 3 ปี และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 ถึง 100% ภายในเวลา 46 นาที
แผนกกล้องของ ROG Phone 9 Pro ประกอบด้วย กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล (Sony Lytia 700) มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ 6-axis hybrid gimbal stabilization, กล้อง Ultra Wide 13 ล้านพิกเซล, กล้อง Telephoto 32 ล้านพิกเซล ซูม 3 เท่า และกล้องเซลฟี่ 32 ล้านพิกเซล สำหรับ ROG Phone 9 ไม่มีกล้อง Telephoto แต่แทนที่ด้วยกล้อง Macro 5 ล้านพิกเซล
ASUS จะเริ่มวางจำหน่าย ROG Phone 9 Series ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2024 เป็นต้นไป เฉพาะในไต้หวัน ฮ่องกง และ จีน ก่อนขยายตลาดไปยังยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักร ในเดือนธันวาคมนี้ และวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เดือนมกราคม 2025 ตามด้วยภูมิภาคอื่นๆ
ที่มา – ASUS