สมาร์ตโฟน realme 13 Series 5G เป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญในด้านประสิทธิภาพของสมาร์ตโฟน ด้วยแนวคิด “Next-Gen Power” พร้อมสโลแกน “Speed to Victory” บ่งบอกถึงความแรงเหมือนรถยนต์ในสนามแข่ง ซึ่ง realme 13+ 5G และ realme 13 5G ต่างก็ถูกสร้างมาเพื่อรองรับการเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล และมีดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความเร็ว
แกะกล่อง realme 13 Series 5G
realme 13+ 5G และ realme 13 5G ถูกบรรจุไว้ในกล่องสีเหลืองที่คุ้นเคยตามสไตล์ของ realme หน้ากล่องพิมพ์ตัวเลข 13 ขนาดใหญ่ สำหรับ realme 13 5G และหน้ากล่องของ realme 13+ 5G จะพิมพ์ 13+ วางโลโก้ 5G ไว้ที่มุมบน ติดโลโก้แบรนด์ไว้ที่ส่วนล่าง และระบุชื่อรุ่นไว้ที่ข้างกล่องอย่างชัดเจน
หลังกล่องบอกจุดเด่นไว้ 4 อย่าง realme 13+ 5G ใช้ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7300 Energy 5G, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh รองรับชาร์จไว 80W, จอแสดงผลถนอมดวงตา OLED อัตราการรีเฟรช 120Hz และ กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ของ Sony พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS
หลังกล่อง realme 13 5G ระบุจุดเด่นไว้ 4 อย่าง ที่คล้ายกัน ได้แก่ ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 6300 5G, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh รองรับชาร์จไว 45W, จอแสดงผลถนอมดวงตา ให้อัตราการรีเฟรช 120Hz และ กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS
เมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา จะพบกับกล่องเอกสารสีเหลืองแบนๆ วางอยู่บนสุด มีข้อความ Make it real สโลแกนใหม่ของ realme เมื่อแกะซองออกจะพบเข็มช่วยถอดช่องใส่ซิมการ์ด, คู่มือ, ข้อมูลสำคัญ และ แถมเคสมาให้ด้วย
ถัดลงมาพบสมาร์ตโฟน realme 13 Series 5G ถูกเก็บไว้ในซองและวางอยู่บนถาดรอง เมื่อหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากซอง จะพบว่า realme 13+ 5G และ realme 13 5G ได้รับการติดฟิล์มป้องกันรอยหน้าจอมาให้แล้ว
ชั้นล่างสุดของกล่องเป็นช่องเก็บสายชาร์จ USB Type-C และ หัวชาร์จแบตเตอรี่ Power Adapter โดยมีขนาดแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีชาร์จเร็วที่รองรับ realme 13 5G ได้รับ Power Adapter ขนาดเล็กกว่า เพราะสามารถชาร์จเร็วได้สูงสุด 45W ขณะที่ Power Adapter ของ realme 13+ 5G มีขนาดใหญ่กว่า เพราะรองรับชาร์จเร็วสูงสุด 80W
realme 13+ 5G
realme 13+ 5G ชูจุดเด่นที่ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7300 Energy 5G, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh รองรับชาร์จไว 80W, จอแสดงผลถนอมดวงตา OLED อัตราการรีเฟรช 120Hz และ กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ของ Sony พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS
สเปก realme 13+ 5G
- จอแสดงผล FHD+, AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว อัตราการรีเฟรช 120Hz
- สัมผัสหน้าจอได้แม่นยำแม้ปลายนิ้วเปียกน้ำ (Rainwater Smart Touch)
- กล้องหลัก 50MP (Sony LYT-600)
- กล้องหน้า 16MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7300 Energy 5G
- ความจำ RAM 12GB + ROM 256GB / RAM 12GB + ROM 512GB
- ขยายความจำ RAM ได้อีก 14GB ผ่านฟีเจอร์ Dynamic RAM Expansion
- การเชื่อมต่อ 5G, Dual Nano SIM, WI-Fi 6, Bluetooth 5.4
- ระบบปฏิบัติการ realme UI 5.0 (บนพื้นฐาน Android 14)
- Die-cast Aluminum Construction (โครงสร้างอะลูมิเนียมหล่อที่แข็งแกร่ง)
- มาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP65
- ลำโพงคู่สเตอริโอ
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- ชาร์จเร็ว 80W Ultra Charge
- น้ำหนัก 185 กรัม
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Victory Gold, Speed Green และ Dark Purple
ดีไซน์สวยงามพรีเมียม
ดีไซน์ภายนอกของ realme 13+ 5G ถูกสร้างมาภายใต้แนวคิด Victory Speed Design ซึ่งสอดคล้องกับตำแหน่งผลิตภัณฑ์ “ด้วยพลังแห่งอนาคต” ของ realme Number Series สื่อถึงชัยชนะของเกมแข่งรถ และยังเชื่อมโยงกับประสิทธิภาพที่รวดเร็วสุดขีดของเกม โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Speed Green, Dark Purple และสีที่ทีมงาน @flashfly ได้รับมารีวิว เรียกว่า Victory Gold
ความโดดเด่นของดีไซน์อยู่ที่ด้านหลัง จะเห็นว่าพื้นผิวของด้านหลังนั้นมีลักษณะแตกต่างกัน โดยมีการแบ่งพื้นผิวที่แตกต่างกันด้วยลายเส้นโค้งบริเวณใกล้โมดูลกล้อง ซึ่งเส้นโค้งนี้ realme เรียกว่า Speedy Curve สะท้อนให้เห็นถึงช่วงโค้งของสนามแข่งที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ขณะที่พื้นผิวส่วนล่างใต้เส้นโค้งเรียกว่า Speedy Lightning Texture ได้แรงบันดาลใจมาจากลวดลายของฟ้าผ่า เพื่อบ่งบอกถึงความเร็ว
ด้านหลังของ realme 13 5G ก็มีดีไซน์ที่คล้ายกัน แต่ถ้านำมาวางคู่กัน จะเห็นว่าบริเวณขอบมุมของ realme 13+ 5G ถูกทำให้โค้งมนรอบด้าน realme เรียกว่า “ฝาหลังโค้งไมโคร 2.8D” ทำให้ตัวเครื่องดูบางเบา และจับถือได้ง่าย โดยมีความบางเพียง 7.6 มิลลิเมตร น้ำหนักเบา 185 กรัม ขณะที่ด้านหลัง realme 13 5G จะแบนราบไปจนสุดขอบ
มุมมองด้านหน้ามาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว เจาะหลุมตรงกึ่งกลางสำหรับซ่อนกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล โดยมีขอบหน้าจอที่บางเฉียบ ด้วยดีไซน์กรอบกลางแบบไร้กรอบ จึงให้ประสบการณ์การรับชมที่ยอดเยี่ยม และส่งผลให้ขอบด้านข้างของ realme 13+ 5G บางกว่า realme 13 5G อย่างเห็นได้ชัด
จอแสดงผลของ realme 13+ 5G (รวมถึง realme 13 5G) ยังรองรับ Rainwater Smart Touch ที่ช่วยให้จอแสดงผลสามารถแยกแยะระหว่างหยดน้ำกับปลายนิ้วมือผู้ใช้งานได้ จึงสามารถสัมผัสหน้าจอเพื่อเล่นเกมหรือควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างแม่นนำ แม้หน้าจอหรือปลายนิ้วเปียกน้ำอยู่ ไม่ว่าจะเพิ่งล้างมือหรือใช้งานท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปราย ก็ไม่เป็นปัญหาระหว่างเล่นเกม
ขอบด้านข้างวางปุ่มปรับระดับเสียง ไว้เหนือปุ่มเพาเวอร์
อีกข้างเรียบแบน แทบจะมองไม่เห็นกรอบสีดำของจอแสดงผล
ด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, ลำโพงตัวที่ 2 ช่วยให้เสียงสเตอริโอ และ ไมโครโฟนตัวที่ 2 ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้างระหว่างการโทรหรือบันทึกเสียง
ด้านล่างประกอบด้วยลำโพงตัวหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ไมโครโฟนตัวหลัก และ ถาดใส่ซิมการ์ด
ทนทานตั้งแต่ภายใน
นอกเหนือจากความสวยงามพรีเมียม realme 13+ 5G ยังได้รับการออกแบบให้มีความทนทานเป็นพิเศษ ด้วยโครงสร้างภายในความแข็งแรงสูง ประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การสร้างจากอะลูมิเนียมหล่อที่มีความแข็งแรง, โครงโลหะชิ้นเดียว, กระจกเทมเปอร์ และ ผิวที่ทนต่อการสึกหรอและการกัดกร่อน โครงสร้างภายใน realme 13+ 5G ยังถูกเสริมความแข็งแรงด้วย การรองรับแผงวงจร, การกระจายส่วนประกอบหลัก และ การปิดผนึกอย่างสมบูรณ์
- การรองรับแผงวงจร: ใช้วัสดุหรือเลเยอร์ที่มีคุณสมบัติในการดูดซับแรงกระแทกและการสั่นสะเทือน เพื่อป้องกันความเสียหายจากแรงกระแทกทางกายภาพ
- การกระจายส่วนประกอบหลัก: ใช้วิธีหรือระบบในการจัดตำแหน่งส่วนประกอบหลัก เพื่อป้องกันการได้รับความเสียหาย ซึ่งหมายถึงการใช้วัสดุพิเศษ เพื่อให้แน่ใจว่าส่วนประกอบหลักได้รับการปกป้องอย่างดี
- การปิดผนึกอย่างสมบูรณ์: เป็นการปิดจุดเชื่อมต่อทั้งหมดให้แน่นหนา เพื่อป้องกันการเข้ามาของฝุ่น, ความชื้น หรือสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ ซึ่งช่วยเพิ่มความทนทาน
realme 13+ 5G ยังสามารถป้องกันฝุ่นและน้ำในระดับ IP65 ซึ่งหมายความว่า ป้องกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์ในระดับ 6 ขณะที่ป้องกันน้ำได้ในระดับ 5 เพียงพอต่อการต้านทานนน้ำที่ฉีดมาจากรอบทิศทาง แต่ไม่สามารถแช่น้ำได้
ด้วยการออกแบบที่มีความแข็งแรงของโครงสร้าง และได้รับมาตรฐาน IP65 ช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่า realme 13+ 5G มีความทนทานเมื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย และช่วยป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ เช่น น้ำหกใส่ หรือ เผลอทำหลุดมือ เป็นต้น
จอแสดงผล 120Hz OLED E-sport Display
realme 13+ 5G มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ใช้วัสดุเปล่งแสง E4 ของ Samsung ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล ขนาด 6.67 นิ้ว ให้อัตราส่วนคอนทราสต์ 6000000:1 ความสว่างสูงสุดถึง 2000 นิต รองรับขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 และสนับสนุนการแสดงผล Pro-XDR
จอแสดงผลของ realme 13+ 5G รองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz อัตราการสัมผัสสูงสุด 1200Hz (Touch Sampling Rate) จึงมีความไวต่อการสัมผัสที่ราบรื่นอย่างมาก ช่วยให้การเล่นเกมลื่นไหล ควบคุมได้แม่นยำ อีกทั้งยังมีโหมดปกป้องดวงตาด้วย AI เพื่อลดความเมื่อยล้าของดวงตา
ไม่เพียงแต่มีหน้าจอที่สวยงามคมชัด realme 13+ 5G ยังติดตั้งลำโพงคู่สเตอริโอไว้ที่ด้านบนและด้านล่าง ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดื่มด่ำทั้งภาพและเสียง ไม่ว่าจะรับชมภาพยนตร์หรือเล่นเกม
กล้องหลัก 50MP Sony LYT-600 + OIS
การถ่ายภาพถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ realme 13+ 5G โดยมีกล้องหลักความละเอียดสูง วางคู่กับกล้อง Mono พร้อมแฟลช LED ไว้ในกรอบวงกลม รัดด้วยขอบวงแหวนขนาดใหญ่ เสริมภาพลักษณ์ให้ดูหรูหราพรีเมียม
- กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล (Main Camera)
- กล้องรอง 2 ล้านพิกเซล (Mono Camera)
กล้องหลักของ realme 13+ 5G ใช้เซ็นเซอร์ Sony LYT-600 ขนาด 1/1.95” รูรับแสง f/1.8 มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS (Optical Image Stabilization) รองรับการซูม 2 เท่า แบบ ISZ (Image Sensor Zoom) และบันทึกวิดีโอสูงสุด 4K
ระบบกล้องของ realme 13+ 5G มาพร้อมเทคโนโลยี Light Fusion Engine อัลกอริธึม AI ของ realme ที่เกิดจากการเรียนรู้เทคนิคของแสงและเงาจากช่างภาพระดับมืออาชีพ มาช่วยในการประมวลผลข้อมูลภาพดิบโดยตรงในโดเมน RAW เพื่อปรับปรุงคุณภาพของภาพถ่ายโดยไม่สูญเสียรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายในเวลากลางคืน หรือ ภาพ HDR
แอปกล้องของ realme 13+ 5G รองรับโหมดถ่ายภาพ Night, Street, Video, Photo, Portrait, Pro, Panorama, Hi-Res, Movie, Slow-motion, Time-lapse, Long Exposure, Dual-view Video, Doc Scanner, และ Tilt-shift
โหมด Photo สามารถซูมได้ในช่วง 1x ถึง 20x มี Filters สำหรับเปลี่ยนโทนสีภาพถ่าย เช่น Vivid, Warm, Cool, Gray, Mono ถัดลงมาเป็นฟีเจอร์ Retouch (ไอคอนใบหน้า) ช่วยปรับใบหน้าให้ดูดีขึ้น แถบเครื่องมือด้านบนของโหมด Photo มีฟีเจอร์ปรับค่าชดเชยแสง -2 ถึง +2 และที่น่าสนใจคือไอคอนรูปคนวิ่ง เป็นโหมด Action สำหรับถ่ายภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่เร็ว เช่น ภาพคนกำลังวิ่ง หรือ เช่นกีฬาต่างๆ ไม่ว่าจะปั่นจักรยาน เตะฟุตบอล เล่น สเก็ตบอร์ด
โหมด Portrait สำหรับการถ่ายภาพบุคคล ออกแบบมาให้ซูมได้ 2x สามารถปรับระยะชัดลึกได้ตั้งแต่ F1.4 ถึง F16 โดยมีฟีเจอร์ Retouch และ Filters เช่นเดียวกับโหมด Photo โหมด Night สามารถซูมได้ในช่วง 1x ถึง 10x พร้อมด้วย Filters ที่ช่วยทำให้ภาพถ่ายยามค่ำคืนมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น เช่น Gloden, Warm & Cool, Pink & Teal และ Night City
โหมด Street ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพแนวสตรีทอย่างมืออาชีพได้อย่างง่ายดาย ด้วยระยะเลนส์หรือทางยาวโฟกัสได้ตั้งแต่ 26 มม. จนสูงสุด 130 มม. พร้อมฟีเจอร์ Auto Zoom เป็นเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุเพื่อช่วยครอบตัดโดยอัตโนมัติ พียงแค่แตะบุคคลหรือวัตถุที่ต้องการเน้นในภาพถ่าย พร้อมด้วย Filters ที่ออกแบบมาสำหรับโหมด Street โดยเฉพาะ เช่น Street, B&W Plus (ช่วยเพิ่มความชัดเจนของแสงและเงา), 90s Pop (ให้ภาพถ่ายดูคลาสสิคในสไตล์ภาพยนตร์วินเทจ), Crisp (สร้างบรรยากาศโดยการเพิ่มโทนสีน้ำเงินโทนเย็นในบริเวณไฮไลท์ของภาพ), Cinematic (เน้นบุคลิกภาพผ่านคอนทราสต์ และคอนทราสต์ที่ชัดเจนระหว่างแสงและความมืด)
โหมด Video สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที หรือ Full HD 1080p ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ซูมได้ในช่วง 1x ถึง 10x มีฟีเจอร์ Retouch และ Filters เช่นเดียวกับโหมด Photo และปรับระยะชัดลึกได้เหมือนโหมด Portrait
แถบเครื่องมือด้านบนของโหมด Video มีฟีเจอร์ Ultra Steady (ไอคอนรูปกล้อง) ซึ่งเป็นระบบป้องกันภาพสั่นไหว ช่วยทำให้วิดีโอราบรื่นนุ่มนวลมากด้วย โดยใช้ระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS (Optical Image Stabilization) แต่จะบันทึกวิดีโอได้สูงสุด Full HD 1080p เมื่อเปิดใช้งาน Ultra Steady
กล้องหน้า 16MP
realme 13+ 5G วางกล้องหน้าไว้ในหลุมบนหน้าจอ โดยมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ขนาดเซ็นเซอร์ 1/3.1” รูรับแสง f/2.4 รองรับโหมดถ่ายภาพ Photo ที่มีฟีเจอร์ Retouch สามารถปรับแต่งความงามบนใบหน้าได้ละเอียดกว่ากล้องหลังไม่ว่าจะเป็นผิว, แก้ม, ขนาดดวงตา, ขนาดจมูก และมี Filters สำหรับเปลี่ยนโทนสีภาพถ่ายเซลฟี่ เช่น Vivid, Warm, Cool, Gray, Mono, Natural
โหมด Portrait ของกล้องหน้า มีฟีเจอร์ปรับระยะชัดลึกเหมือนกล้องหลัง รวมถึงฟีเจอร์ Filters และ Retouch แบบเดียวกับโหมด Photo โหมด Night ของกล้องหลัง ช่วยให้ภาพถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยสว่างขึ้น มาพร้อมฟีเจอร์ Retouch ที่สามารถปรับแต่งความงามบนใบหน้าได้ละเอียดแบบเดียวกับโหมด Photo ของกล้องหน้า
โหมด Video ของกล้องหน้า รองรับการถ่ายวิดีโอได้สูงสุด Full HD 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที สามารถปรับระยะชัดลึกได้เช่นกัน รวมถึงฟีเจอร์ Filters และ Retouch แบบเดียวกับโหมด Photo
ตัวอย่างภาพถ่าย
ชิป Dimensity 7300 Energy 5G
ชิปประมวลผล Dimensity 7300 Energy 5G
ด้านความจำ realme 13+ 5G ได้รับ RAM 12GB จับคู่กับ ROM 256GB (UFS 3.1) พร้อมรองรับฟีเจอร์ Dynamic RAM Expansion สามารถยืมความจุ ROM มาใช้เป็นความจำ RAM ได้สูงสุด 14GB จึงเปรียบเสมือนมีความจำ RAM สูงสุด 26GB สามารถเปิดแอปพลิเคชันทิ้งไว้ได้หลายแอป เพื่อสลับการใช้งานแต่ละแอปได้อย่างราบรื่น
GT Mode เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล
realme 13+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกของ realme Number Series ที่มี GT Mode เมื่อเปิดใช้งาน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระดับสูงสุด จนสามารถเล่นเกมระดับ 90 เฟรมต่อวินาที ได้อย่างลื่นไหล ให้ประสบการณ์การเล่นเกมระดับ E-Sport โดยเฉพาะเกม PUBG, BGMI, Free Fire, MLBB, COD ขณะที่เกม HOK ทำได้สูงสุด 120 เฟรมต่อวินาที
realme ทำงานร่วมกับนักพัฒนาเกมอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ อย่างเช่นเกม MLBB และ FreeFire สามารถรักษาเฟรมเรตที่ 90 เฟรมต่อวินาที แม้เล่นเกมนานต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง จนได้รับการรับรองจาก TÜV SÜD ว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่เล่นเกมได้อย่างไม่มีการหน่วงเป็นรุ่นแรกของโลก โดยได้รับการจัดอันดับระดับ S สำหรับความราบรื่นในการเล่นเกม E-Sport ตามมาตรฐานการทดสอบของ TÜV SÜD
ระบบระบายความร้อน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ realme 13+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่สามารถเล่นเกมได้อย่างราบรื่น นอกเหนือจากชิปประมวลผลและการปรับแต่งซอฟต์แวร์ ยังมีระบบระบายความร้อนด้วยไอน้ำ Stainless Steel Vapor Cooling ที่เป็นหัวใจหลัก ช่วยควบคุมอุณหภูมิของสมาร์ตโฟนระหว่างการเล่นเกมอย่างหนัก
ระบบระบายความร้อน Stainless Steel Vapor Cooling System ของ realme 13+ 5G ครอบคลุมพื้นที่ภายใน 6050 ตารางมิลลิเมตร ใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 37% และใหญ่ที่สุดในสมาร์ตโฟนระดับเดียวกัน โดยใช้เทคโนโลยีและวัสดุการระบายความร้อนเดียวกับ realme GT6 จึงสามารถระบายความร้อนได้แบบเดียวกับสมาร์ตโฟนระดับเรือธง
แบตใหญ่ ชาร์จไว 80W Ultra Charge
realme 13+ 5G มีความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh เมื่อถูกชาร์จจนเต็ม สามารถเล่นเกม FreeFire ได้ยาวนานถึง 9 ชั่วโมง จึงเพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวัน และยังให้สามารถรักษาความจุแบตเตอรี่ในระดับ 80% แม้ผ่านการชาร์จไปแล้ว 1000 รอบ เทียบได้กับการใช้งานนานเกือบ 3 ปี กว่าที่แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพ ขณะที่แบตเตอรี่ทั่วไป จะเริ่มเสื่อมสภาพเมื่อผ่านการใช้งานไปนานประมาณ 2 ปี
นอกจากนี้ realme 13+ 5G ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 80W Ultra Charge ใช้เวลาชาร์จเพียง 1 นาที สามารถเล่นเกม Free Fire ได้ 21 นาที หรือ ชาร์จ 5 นาที เล่นเกม Free Fire ได้ 1 ชั่วโมง และถ้าอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิราว 25 องศาเซลเซียส จะสามารถชาร์จจาก 1% ถึง 50% ได้ภายในเวลา 18 นาที และชาร์จจนเต็ม 100% ใน 46 นาที โดยแถมสายชาร์จและหัวชาร์จมาให้แล้วในกล่อง ไม่ต้องซื้อแยกต่างหาก
เทคโนโลยี AI
ปัจจุบัน เทคโนโลยี AI กำลังเข้ามามีบทบาทในสมาร์ตโฟนมากขึ้น และพบได้ใน realme 13+ 5G เช่นกัน เริ่มตั้งแต่ AI Clear Voice ที่ช่วยให้การสนทนาทางโทรศัพท์ชัดเจนขึ้น โดยเทคโนโลยีการรู้จำเสียงขั้นสูงของ AI สามารถแยกเสียงมนุษย์ออกมาและขยายให้ชัดเจนระหว่างการโทร ทำให้ผู้ใช้งานได้ยินเสียงจากปลายสายได้อย่างชัดเจน แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน
realme 13+ 5G ยังได้รับฟีเจอร์ใหม่อย่าง AI Smart Loop ที่สามารถระบุเนื้อหาที่ผู้ใช้งานเลือกและลากบนหน้าจอ ทำให้การแชร์ไปยังแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามทำได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้การโต้ตอบเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและขั้นตอนในการใช้งาน AI Smart Loop จะทำความเข้าใจบริบทและข้อมูลต่างๆ ในสมาร์ตโฟนของผู้ใช้งาน เช่น การรับข้อมูลสถานที่ประชุมขณะผู้ใช้งานกำลังยุ่งอยู่กับงานอื่น และช่วยเตรียมขั้นตอนต่อไป เช่น การเปิดหาที่อยู่ใน Google Maps โดยจะทำงานเหมือนกับผู้ช่วยส่วนตัวที่ชาญฉลาด
ไม่ขาดการติดต่ออีกต่อไปด้วย Free Call
เมื่ออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ ไม่ว่าจะเป็นลานจอดรถใต้ดิน ในคอนเสิร์ตที่หนาแน่น หรือในหุบเขาที่ห่างไกล จนทำให้สัญญาณโทรศัพท์อยู่ในระดับต่ำ ผู้ใช้งาน realme 13+ 5G ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดต่ออีกต่อไป เพียงเข้าไปเปิดใช้งาน Free Call ในการตั้งค่า > เครือข่ายมือถือ แล้วลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี realme (ต้องมีการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต)
Free Call ช่วยให้ realme 13+ 5G โทรออกได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะโทรไปยังบุคคลที่อยู่ในรายชื่อ หรือ หมายเลขอื่น จึงไม่ต้องกังวลว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินแล้วจะขาดการติดต่อ
realme 13 5G
realme 13 5G มีจุดเด่นที่ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 6300 5G, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh รองรับชาร์จไว 45W, จอแสดงผลถนอมดวงตา ให้อัตราการรีเฟรช 120Hz และ กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS
สเปก realme 13 5G
- จอแสดงผล FHD+, LCD ขนาด 6.72 นิ้ว อัตราการรีเฟรช 120Hz
- สัมผัสหน้าจอได้แม่นยำแม้ปลายนิ้วเปียกน้ำ (Rainwater Smart Touch)
- กล้องหลัก 50MP (Samsung S5KJNS)
- กล้องหน้า 16MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 6300 5G
- ความจำ RAM 8GB + ROM 256GB / RAM 12GB + ROM 512GB
- ขยายความจำ RAM ได้อีก 14GB ผ่านฟีเจอร์ Dynamic RAM Expansion
- การเชื่อมต่อ 5G, Dual Nano SIM, Wi-Fi 5 , Bluetooth 5.3, NFC
- ระบบปฏิบัติการ realme UI 5.0 (บนพื้นฐาน Android 14)
- Die-cast Aluminum Construction (โครงสร้างอะลูมิเนียมหล่อที่แข็งแกร่ง)
- มาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP64
- ลำโพงคู่สเตอริโอ
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 45W SUPERVOOC
- น้ำหนัก 190 กรัม
- มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Speed Green และ Dark Purple
ดีไซน์สวยงามทนทาน
realme 13 5G ได้รับการออกแบบมาในสไตล์เดียวกับ realme 13+ 5G ทำให้ภาพรวมของทั้งคู่ดูคล้ายกัน แต่มีรายละเอียดบางอย่างที่ช่วยให้แยกแยะความแตกต่างได้ เริ่มตั้งแต่สีสัน ทีมงาน @flashfly ได้รับ realme 13 5G สี Speed Green มารีวิว และยังมีสี Dark Purple เป็นอีกทางเลือก ขณะที่ realme 13+ 5G มีสี Speed Green เช่นกัน แต่ยังมีอีก 2 ตัวเลือก ได้แก่ Dark Purple และ Victory Gold
ดีไซน์ด้านหลังของ realme 13 5G ดูคล้ายกับ realme 13+ 5G ด้วยพื้นผิวแบบทูโทน ตัดกันด้วยเส้นโค้งใต้กล้องหลัง ที่realme เรียกว่า Speedy Curve และใต้เส้นโค้งเป็นลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสายฟ้าผ่า Speedy Lightning Texture อย่างไรก็ตาม พื้นผิวด้านหลังของ realme 13 5G มีความราบเรียบไปจนสุดขอบ ขณะที่ส่วนขอบมุมรอบด้านของ realme 13+ 5G จะมีความโค้งมนรับกับฝ่ามือมากกว่า
เมื่อพลิกมาดูที่ด้านหน้าของ realme 13 5G จะพบว่ามีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่ภาพรวมเหมือนกัน มีการเจาะช่องวงกลมไว้ตรงกึ่งกลางเพื่อติดตั้งกล้องหน้า เหนือขึ้นไปเป็นตำแหน่งของลำโพงที่ใช้ฟังเสียงสนทนา และยังรองรับ Rainwater Smart Touch แบบเดียวกับ realme 13+ 5G
ส่วนขอบด้านข้างจะเห็นว่ามีกรอบสีดำของจอแสดงผลอย่างชัดเจน ทำให้มีความบาง 7.79 มิลลิเมตร ขณะที่ realme 13+ 5G ใช้ดีไซน์ไร้กรอบหน้าจอ ทำให้ดูบางกว่า ปุ่มปรับระดับเสียงของ realme 13 5G วางไว้ด้านเดียวกับปุ่มเพาเวอร์
ด้านบนประกอบด้วยไมโครโฟนตัวที่ 2 ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้างระหว่างการโทรหรือบันทึกเสียง, ลำโพงตัวที่ 2 ช่วยให้เสียงสเตอริโอ, และถาดใส่ซิมการ์ด รองรับ 5G ทั้ง 2 ซิม (5G Dual Nano-SIM)
ด้านล่างมีลำโพงตัวหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ไมโครโฟนตัวหลัก และ ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร สังเกตได้ว่า realme 13 5G จะมีช่องเสียบหูฟังด้านล่าง และช่องใส่ซิมการ์ดจะอยู่ด้านบน แต่ realme 13+ 5G จะสลับตำแหน่งกัน
ไม่เพียงแต่มีดีไซน์ที่สวยงามพรีเมียม realme 13 5G ยังถูกสร้างมาให้มีความทนทานเช่นเดียวกับ realme 13+ 5G ด้วยโครงสร้างภายในที่แข็งแกร่ง หน้าจอกระจกนิรภัย และ พื้นผิวที่ทนต่อการสึกหรอช่วยป้องกันรอยขีดข่วน โดยเฉพาะระบบป้องกันแบบบุนวมและโครงสร้างภายในที่แข็งแกร่ง มีส่วนช่วยอย่างมากในการปกป้องส่วนประกอบภายในของ realme 13 5G จากการตกและแรงกระแทก นอกจากนี้ realme 13 5G ยังได้รับมาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำในระดับ IP64 หมายความว่า สามารถป้องกันฝุ่นได้อย่างเต็มที่ และทนต่อการกระเซ็นของน้ำจากทุกทิศทาง
จอแสดงผล 120Hz Eye Comfort Display
realme 13 5G มาพร้อมจอแสดงผล LCD ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล ขนาด 6.72 นิ้ว ให้สีสันสดใสสวยงามด้วยความอิ่มตัวของสี 97% รองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz อัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส 240Hz (Touch Sampling Rate) อัตราส่วนคอนทราสต์ 1500:1 และให้ความสว่างสูงสุด 580 นิต
จอแสดงผลของ realme 13 5G ยังช่วยปกป้องดวงตาด้วยโหมด Eye Comfort และ Dark Mode เหมาะสำหรับการใช้งานในที่แสงน้อยหรือเวลากลางคืน
กล้องหลัก 50MP + OIS
กล้องหลังของ realme 13 5G ดูเหมือนกับ realme 13+ 5G ทั้งในแง่ดีไซน์และคุณภาพกล้อง โดยเฉพาะกล้องหลักที่มีความะเอียดเท่ากัน 50 ล้านพิกเซล และยังติดตั้งระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS (Optical Image Stabilization) มาให้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม กล้องหลักของ realme 13 5G ใช้เซ็นเซอร์ Samsung S5KJNS รูรับแสง f/1.8 ชุดเลนส์ 5P ขณะที่ กล้องหลักของ realme 13+ 5G ใช้เซ็นเซอร์ Sony LYT-600
- กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล (Main Camera)
- กล้องรอง 2 ล้านพิกเซล (Mono Camera)
เมื่อเข้ามาในแอปกล้องของ realme 13 5G จะพบกับโหมดถ่ายภาพ Night, Street, Video, Photo, Portrait, Pro, Panorama, Hi-Res, Movie, Slow-motion, Time-lapse, Long Exposure, Dual-view Video, Text Scanner, Group Portrait และ Tilt-shift
โหมด Photo รองรับการซูมในช่วง 1x – 10x พร้อมด้วยฟีเจอร์ Filters เปลี่ยนโทนสีหรืออารมณ์ของภาพถ่าย เช่น Vivid, Warm, Cool, Gray, Mono และฟีเจอร์ Retouch สำหรับปรับความงามบนใบหน้า
โหมด Portrait สามารถปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลังได้ตั้งแต่ F1.4 ถึง F16 มีฟีเจอร์ Retouch และ Filters เหมือนโหมด Photo
โหมด Street สามารถปรับทางยาวโฟกัสได้ตั้งแต่ 26 มม. จนสูงสุด 260 มม. มาพร้อม Filters ที่ออกแบบมาสำหรับโหมด Street โดยเฉพาะ เช่น Street, B&W Plus, 90s Pop, Crisp, Cinematic, Green Fields และ Sunny Beach โหมด Night สามารถซูมได้ในช่วง 1x ถึง 10x พร้อมด้วย Filters ที่ออกแบบมาสำหรับถ่ายภาพในเวลากลางคืน เช่น Gloden, Warm & Cool, Pink & Teal และ Night City
โหมด Video รองรับการซูมในช่วง 1x – 10x รองรับความละเอียดสูงสุด 2K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที หรือ Full HD 1080p ที่ 60 เฟรมต่อวินาที มีฟีเจอร์ Retouch ช่วยปรับความงามบนใบหน้าระหว่างบันทึกวิดีโอ สามารถเพิ่ม Filters คล้ายโหมด Photo และยังรองรับโหมด Dual-View Video สามารถถ่ายวิดีโอจากกล้องหลังและกล้องหน้าในเฟรมเดียวกัน
กล้องหน้า 16MP
กล้องเซลฟี่ของ realme 13 5G ถูกซ่อนไว้ในหลุมบนหน้าจอ และดูเหมือนว่าจะเป็นกล้องตัวเดียวกับที่พบใน realme 13+ 5G เนื่องจากมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซลเท่ากัน รวมถึงขนาดเซ็นเซอร์และรูรับแสง ดังนั้น กล้องหน้าของทั้งคู่จึงให้คุณภาพเท่าเทียมกัน
โหมด Photo มีฟีเจอร์ Retouch สามารถปรับแต่งความงามบนใบหน้าได้ละเอียดกว่ากล้องหลังไม่ว่าจะเป็นผิว, แก้ม, ขนาดดวงตา, ขนาดจมูก และมี Filters สำหรับเปลี่ยนโทนสีภาพถ่ายเซลฟี่ เช่น Vivid, Warm, Cool, Gray, Mono, Natural
โหมด Portrait ของกล้องหน้า มีฟีเจอร์ปรับระยะชัดลึกเหมือนกล้องหลัง รวมถึงฟีเจอร์ Filters และ Retouch แบบเดียวกับโหมด Photo โหมด Night ของกล้องหน้า ช่วยให้ภาพถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยสว่างขึ้น มาพร้อมฟีเจอร์ Retouch ที่สามารถปรับแต่งความงามบนใบหน้าได้ละเอียดแบบเดียวกับโหมด Photo ของกล้องหลัง
โหมด Video ของกล้องหน้า รองรับการถ่ายวิดีโอได้สูงสุด Full HD 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที พร้อมด้วยฟีเจอร์ Filters และ Retouch แบบเดียวกับโหมด Photo
ตัวอย่างภาพถ่าย
ชิป Dimensity 6300 5G
realme 13 5G ใช้ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 6300 5G ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยีการผลิต 6 นาโนเมตร ของ TSMC ประกอบด้วย CPU แบบ 64-bit Octa Core ที่มี Arm Cortex A76 จำนวน 2 คอร์ ทำงานที่ความเร็วสูงสุดถึง 2.4GHz พร้อม Arm Cortex-A55 จำนวน 6 คอร์ ทำงานที่ความเร็วสูงสุด 2.0GHz และตอบสนองกราฟิกด้วย GPU ARM G57 MC2 สามารถทำคะแนนจากการทดสอบประสิทธิภาพบนแอปพลิเคชัน AnTuTu ได้มากกว่า 460,000 คะแนน
ด้านความจำ realme 13 5G ได้รับ RAM สูงสุด 12GB จับคู่กับ ROM 512GBGB (UFS 2.2) พร้อมรองรับฟีเจอร์ Dynamic RAM Expansion สามารถยืมความจุ ROM มาใช้เป็นความจำ RAM ได้สูงสุด 14GB จึงเปรียบเสมือนมีความจำ RAM สูงสุด 26GB อย่างไรก็ตาม ทีมงาน @flashfly ได้รับรุ่น RAM 8GB จับคู่กับ ROM 256GB มารีวิว
GT Mode
realme 13 5G ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ตโฟนรุ่นแรกของ realme Number Series ที่ได้รับ GT Mode มาใช้งาน แบบเดียวกับที่พบในเรือธงของ realme ช่วยให้ผู้ใช้งานเล่นเกมได้อย่างราบรื่นด้วยเฟรมเรตสูง 60 เฟรมต่อวินาที ไม่ว่าจะเป็นเกม MLBB หรือ Free Fire ขณะที่จอแสดงผลก็ยังช่วยให้การควบคุมเกมลื่นไหลและแม่นยำด้วยอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz และอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส 240Hz
ระบบระบายความร้อน
นอกจากชิปประมวลผล realme 13 5G ยังมีระบบระบายความร้อนด้วยไอน้ำ Stainless Steel Vapor Cooling ครอบคลุมพื้นที่ภายใน 2249 ตารางมิลลิเมตร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อน ทำให้อุณหภูมิตัวเครื่องเย็นลง ส่งผลให้การเล่นเกมราบรื่นกว่าสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นในระดับเดียวกันที่ไม่มีระบบระบายความร้อน
ชาร์จเร็ว 45W SUPERVOOC
realme 13 5G ได้รับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh เมื่อถูกชาร์จจนเต็ม สามารถเล่นเกม FreeFire ได้ยาวนานถึง 7 ชั่วโมง และยังให้สามารถรักษาความจุแบตเตอรี่ในระดับ 80% แม้ผ่านการชาร์จไปแล้ว 1600 รอบ เทียบได้กับการใช้งานนานเกือบ 4 ปี กว่าที่แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพ ขณะที่แบตเตอรี่ทั่วไป จะเริ่มเสื่อมสภาพเมื่อผ่านการใช้งานไปนานประมาณ 2 ปี
นอกจากนี้ realme 13 5G ยังสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 45W SUPERVOOC ใช้เวลาชาร์จเพียง 5 นาที ก็เพียงพอสำหรับการเล่นเกม Free Fire ได้นาน 30 นาที หรือใช้เวลาชาร์จ 10 นาที สามารถเล่นเกมได้นาน 1 ชั่วโมง และสามารถชาร์จแบตเตอรี่จนถึง 50% ภายในเวลา 30 นาที
สรุปราคาและการจำหน่าย
realme 13 5G และ realme 13+ 5G ได้รับการออกแบบมาอย่างหรูหรา แต่ให้ความทนทานเป็นพิเศษ จึงใช้งานได้อย่างไร้กังวล ทั้งคู่มีจุดเด่นที่ประสิทธิภาพ รองรับการเล่นเกมได้อย่างราบรื่น จอแสดงผลขนาดใหญ่ ตอบสนองการสัมผัสได้อย่างลื่นไหล กล้องหลักคุณภาพสูง แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ชาร์จเต็ม 100% ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ AI ที่ทันสมัย ช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม realme 13+ 5G ยังมีบางสิ่งที่ทำให้โดดเด่นกว่า ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล ที่ให้ประสบการณ์การเล่นเกมที่ราบรื่นกว่า ระดับ 90FPS จอแสดงผล AMOLED ที่คมชัดกว่า ชาร์จเร็วกว่า และเซ็นเซอร์กล้องหลักรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ทำให้ realme 13+ 5G ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขณะที่ realme 13 5G สามารถประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากกว่า โดยที่ยังได้รับประสบการณ์แบบเรือธงเช่นเดียวกัน
ราคาและการจำหน่าย
realme 13+ 5G นำเสนอสเปกความจุ 512/12GB ในราคา 13,999 บาท และ 256/12GB ในราคา 11,999 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Victory Gold และ Dark Purple สามารถเป็นเจ้าของได้ผ่านช่องทาง
- ช่องทางโอเปอเรเตอร์ True และ Dtac ในรุ่นความจุ 256/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 6,699 บาท และรุ่นความจุ 512/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 8,499 บาท และช่องทาง AIS รุ่นความจุ 256/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 7,799 บาท และรุ่นความจุ 512/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 8,499 บาท รับฟรี realme Buds T01, realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 10,497 บาท
- ช่องทางตัวแทนจำหน่าย Banana, BKK, Kingkong, IT City, CSC, TG, Jaymart, Maxlink, Stamp และ Advice รับฟรี realme Buds T01, realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 10,497 บาท
- ช่องทางอีคอมเมิร์ซ Shopee, Lazada และ Tiktok Shop รับฟรีคูปองส่วนลด 1,000 บาท, realme Buds T01, realme Gift Box พร้อมประกันจอแตก 1 ปี และ PUBG VIP Item Code Card (พิเศษ! ในช่วงพรีออเดอร์สำหรับความจุ 12+512GB Exclusive เฉพาะ Shopee เท่านั้น)
โดยสามารถพรีออเดอร์ได้ทุกช่องทางตั้งเเต่วันที่ 17 – 24 ตุลาคมและจำหน่ายวันแรกวันที่ 25 ตุลาคมเป็นต้นไป
realme 13 5G นำเสนอสเปกความจุ 256/12GB ในราคา 8,999 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Speed Green และ Dark Purple สามารถเป็นเจ้าของได้ผ่านช่องทาง
- ช่องทางโอเปอเรเตอร์ True และ Dtac ในราคาเริ่มต้นเพียง 5,499 บาท และ AIS ในราคาเริ่มต้นเพียง 6,049 บาท พร้อมรับฟรี realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 7,898 บาทในทุกช่องทาง
- ช่องทางตัวแทนจำหน่าย Banana, BKK, Kingkong, IT City, CSC, TG, Jaymart, Maxlink, Stamp และ Advice พร้อมรับฟรี realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 7,898 บาทในทุกช่องทาง
- ช่องทางอีคอมเมิร์ซ Shopee, Lazada และ Tiktok Shop รับฟรีคูปองส่วนลด 1,000 บาท, realme Buds T01, realme Gift Box พร้อมประกันจอแตก 1 ปี และ PUBG VIP Item Code Card
โดยสามารถพรีออเดอร์ได้ทุกช่องทางตั้งเเต่วันที่ 17 – 24 ตุลาคมและจำหน่ายวันแรกวันที่ 25 ตุลาคมเป็นต้นไป