Apple เว้นระยะห่างระหว่าง iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุดกับรุ่นก่อนหน้านานกว่า 1 ปี โดยไม่มีการเปิดตัว iPad รุ่นใหม่ออกมาแม้แต่รุ่นเดียวในปีที่แล้ว แต่ในที่สุด iPad Pro ก็ได้รับการรีเฟรชเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการรอคอยที่คุ้มค่า เนื่องจาก Apple เลือกที่จะติดตั้งชิปรุ่นใหม่ M4 มาให้แทนที่จะเป็น M3 นั่นทำให้ iPad Pro กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทรงพลังที่สุดของ Apple ณ ปัจจุบันนี้ก็ว่าได้ และตอนนี้ก็ได้เดินทางมาอยู่ในมือของทีมงาน @Flashfly เรียบร้อยแล้ว
สเปก iPad Pro รุ่น 13 นิ้ว ชิป M4
- จอภาพ Ultra Retina XDR พร้อมเทคโนโลยี ProMotion ขนาด 13 นิ้ว
- ชิปประมวลผล Apple M4
- ความจำ RAM 16GB สำหรับรุ่น 1TB หรือ 2TB และ RAM 8GB สำหรับรุ่น 256GB หรือ 512GB
- ความจุ 256GB, 512GB, 1TB และ 2TB
- การเชื่อมต่อ 5G (รุ่น Wi‑Fi + Cellular), Wi‑Fi 6E, Bluetooth 5.3, USB-C
- กล้องหน้า 12MP Ultra Wide Camera
- กล้องหลัง 12MP Wide Camera
- เซ็นเซอร์ Face ID, LiDAR Scanner, 3‐axis gyro, Accelerometer, Barometer, Ambient light sensor
- ระบบเสียง 4 ลำโพง, ชุดไมโครโฟน 4 ตัว
- ระบบปฏิบัติการ iPadOS 17
- ขนาดตัวเครื่อง 215.5 x 281.6 x 5.1 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 579 กรัม (รุ่น Wi‑Fi) หรือ 582 กรัม (รุ่น Wi‑Fi + Cellular)
- มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำสเปซแบล็ค และ สีเงิน
แกะกล่อง iPad Pro รุ่นชิป M4
กล่องของ iPad Pro รุ่นล่าสุดในปี 2024 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปจากกล่องของรุ่นก่อน แต่ที่ชัดเจนก็คือรูปภาพ iPad Pro ที่พิมพ์อยู่บนหน้ากล่องมาพร้อมรูปภาพวอลเปเปอร์ที่ Apple ใช้ในตอนเปิดตัว เป็นรูปภาพที่มีฉากหลังสีดำ และเส้นสีรุ้งที่โค้งเว้าเหมือนคลื่น แต่ถ้ามองในแนวตั้งจะสังเกตเห็นได้ว่าลายเส้นสีรุ้งเป็นตัวอักษร P R O วางเรียงในแนวตั้ง
ภายในกล่องจะพบกับ iPad Pro เป็นอย่างแรก เมื่อยกออกไปจะพบกับซองเอกสารสีขาว ภายในมีคู่มือ Quick Start Guide และไม่แถมสติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้อีกแล้ว แต่ยังแถมสายชาร์จ USB‑C แบบสายถัก และ อะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 20W มาให้เหมือนเดิม
ดีไซน์บางเฉียบ 5.1 มิลลิเมตร
iPad Pro รุ่นชิป M4 ยังคงมีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว ซึ่งทีมงาน @Flashfly ได้รับรุ่น 13 นิ้ว มารีวิว เป็นรุ่นที่ออกมาแทนที่ iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว ในปี 2022 นั่นทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ในปี 2024 มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น แต่ขนาดตัวเครื่องไม่ได้แตกต่างเท่าไร อีกทั้งยังมีความบางกว่าอย่างชัดเจน บางเพียง 5.1 มิลลิเมตร (รุ่น 11 นิ้ว บาง 5.3 มิลลิเมตร) แต่ยังให้ความแข็งแรงทนทานไม่ต่างจากรุ่นก่อน
เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า (iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว ชิป M2) จะพบว่า iPad Pro รุ่น 13 นิ้ว ชิป M4 มีความสูงเพิ่มขึ้นเพียง 1 มิลลิเมตร ความกว้างเพิ่มมาเพียง 0.6 มิลลิเมตร แต่ความหนาหายไป 1.3 มิลลิเมตร เท่านั้น ทำให้ iPad Pro รุ่น 13 นิ้ว กลายเป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา อีกทั้งยังมีน้ำหนักที่เบากว่า 100 กรัม ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Wi‑Fi หรือรุ่น Wi‑Fi + Cellular
ตัวเครื่องโดยรวมของ iPad Pro รุ่นชิป M4 ยังคงให้ความพรีเมียมด้วยวัสดุอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำสเปซแบล็ค ที่ทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิว อีกตัวเลือกเป็นสีเงิน และด้วยน้ำหนักที่เบากว่าเดิมมากกว่า 100 กรัม ยิ่งทำให้ iPad Pro รุ่นชิป M4 พกพาได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรวมกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ อย่าง Apple Pencil Pro หรือ Magic Keyboard ใหม่
มุมมองด้านหน้านอกจากจะมีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ยังเป็นครั้งแรกของ iPad ที่ได้รับจอแสดงผล OLED ทั้งรุ่น 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว อีกทั้งยังมาพร้อมตัวเลือกเพิ่มเติม “กระจกจอภาพผิวนาโน” แต่เป็นตัวเลือกพิเศษเฉพาะรุ่น 1TB และ 2TB เท่านั้น
อีกจุดที่ iPad Pro รุ่นชิป M4 แตกต่างจากรุ่นก่อน ก็คือ ตำแหน่งกล้องหน้า TrueDepth มีการย้ายตำแหน่งจากแนวตั้ง ไปเป็นแนวนอน หมายความว่า เมื่อใช้งาน iPad Pro กล้องหน้าจะอยู่ในตำแหน่งขอบบน เหมือนกับกล้องหน้าของ MacBook หรือแล็ปท็อป
ถึงแม้กล้องหน้าจะย้ายตำแหน่งเป็นแนวนอน แต่โลโก้ Apple ที่ด้านหลังของ iPad Pro รุ่นชิป M4 ยังเป็นแนวตั้ง ขณะที่กล้องหลังก็ไม่มีกล้อง Ultra Wide อีกต่อไปแล้ว เหลือแต่เพียงกล้อง Wide, LiDAR Scanner แต่ได้รับแฟลช True Tone ใหม่ ที่ปรับตามสภาวะ ช่วยให้ iPad Pro สแกนเอกสารได้ดียิ่งขึ้น และยังมี Smart Connector อยู่ในตำแหน่งเดิม สำหรับเชื่อมต่อกับ Magic Keyboard
ขอบด้านข้างของ iPad Pro รุ่น 13 นิ้ว มีความบางเพียง 5.1 มิลลิเมตร บางลงกว่าเดิม 1.3 มิลลิเมตรแต่ยังคงให้ความแข็งแรง ไม่ง่ายเลยถ้าจะดัดให้โค้งงอด้วยมือเปล่า
ปุ่มปรับระดับเสียง (เพิ่ม/ลด) และ ตำแหน่งตัวเชื่อมต่อแบบแม่เหล็ก ยังอยู่ฝั่งเดียวกัน โดยตัวเชื่อมต่อแบบแม่เหล็ก มีไว้สำหรับแนบ Apple Pencil Pro ที่เปิดตัวพร้อมกัน และใช้ได้กับ Apple Pencil (USB‑C) แต่ไม่รองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 2)
มุมมองด้านบนจะพบลำโพง 2 ตัว คั่นกลางด้วยไมโครโฟน และ ติดปุ่มด้านบนไว้ตรงมุม (เหนือกล้องหลัง)
ด้านล่างมีลำโพงอีก 2 ตัว และตรงกลางเป็นพอร์ต USB-C รองรับ Thunderbolt 3 / USB 4
นอกจากลำโพง 4 ตัว iPad Pro รุ่นชิป M4 ยังมีไมโครโฟน 4 ตัวเช่นกัน โดยติดตั้งแยกไว้ที่ขอบด้านบน, บริเวณกล้องหน้า, บริเวณกล้องหลัง และ ขอบด้านข้าง (ฝั่งเดียวกับปุ่มปรับระดับเสียง) ความแตกต่างจากรุ่นก่อนอีกจุดหนึ่งก็คือ iPad Pro ชิป M4 รุ่น Wi‑Fi + Cellular ไม่มีช่องใส่ซิมการ์ดอีกต่อไปแล้ว แต่สามารถเปิดใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเครือข่ายมือถือได้จาก eSIM ขณะที่รุ่นก่อนรองรับทั้ง Nano-SIM และ eSIM
จอแสดงผลสุดล้ำ OLED แบบ 2 ชั้น
iPad Pro รุ่นชิป M4 เป็น iPad รุ่นแรกของ Apple ที่ได้รับการอัปเกรดมาใช้จอแสดงผล OLED และยังเป็นเทคโนโลยี OLED แบบ 2 ชั้น หรือใช้แผง OLED 2 แผงเข้าด้วยกัน จึงรองรับความสว่างเต็มหน้าจอสูงถึง 1,000 นิต (สำหรับคอนเทนต์ SDR) และมีความสว่างเฉพาะจุดสูงสุด 1,600 นิต (สำหรับคอนเทนต์ HDR) ทำให้ iPad Pro รุ่นล่าสุด มีจอแสดงผลที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก เรียกว่าจอภาพ Ultra Retina XDR
เทคโนโลยี OLED แบบ 2 ชั้น ข่วยให้จอภาพ Ultra Retina XDR ของ iPad Pro รุ่นชิป M4 มีช่วงไดนามิกที่กว้างถึงขีดสุด แบบไม่มีอุปกรณ์รุ่นไหนในปัจจุบันนี้ทำได้ ซึ่งสามารถควบคุมสีสันและความสว่างของแต่ละพิกเซลได้ลึกถึงระดับต่ำกว่ามิลลิวินาที ทำให้ส่วนไฮไลท์ที่มีแสงจัดจ้านในภาพถ่ายและวิดีโอดูสว่างขึ้น ขณะที่รายละเอียดในเงามืดและที่แสงน้อยก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
จอภาพ Ultra Retina XDR ของ iPad Pro รุ่น 13 นิ้ว ชิป M4 มีความละเอียด 2752 x 2064 พิกเซล ความหนาแน่นของพิกเซล 264 ppi (พิกเซลต่อนิ้ว) อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 ได้รับการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ เคลือบสารกันแสงสะท้อน สนับสนุนขอบเขตสีกว้าง (P3) และ True Tone อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี ProMotion ช่วยให้รองรับอัตรารีเฟรชแบบปรับได้ตั้งแต่ 10Hz ถึง 120Hz
นอกจากนี้ iPad Pro รุ่นชิป M4 ที่มีความจุ 1TB ขึ้นไป ยังสามารถเพิ่มกระจกจอภาพผิวนาโน ที่ผ่านการสลักพื้นผิวด้วยความแม่นยำระดับนาโนเมตร เพื่อรักษาคุณภาพของภาพ คอนทราสต์ และทำให้เกิดการกระเจิงของแสง จนสามารถลดแสงสะท้อนให้น้อยลง เหมาะสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพที่ต้องการจอภาพที่ดีที่สุดไว้ทำงานด้านสีโดยเฉพาะ
ผลิตภัณฑ์แรกของ Apple ที่ใช้ชิป M4
iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุดของปี 2024 ยังเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มแรกของ Apple ที่ได้รับชิป M4 แทนที่จะเป็น M3 อย่างที่คาดการณ์ไว้ เรียกได้ว่าคุ้มค่าสมการรอคอยที่ยาวนานกว่า 1 ปี โดยชิป M4 ถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยี 3 นาโนเมตร รุ่นที่ 2 บรรจุทรานซิสเตอร์มากกว่า 28,000 ล้านตัว มาพร้อม CPU สูงสุดแบบ 10-core ประกอบด้วยคอร์ด้านประสิทธิภาพ 4 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 6 คอร์ มีประสิทธิภาพเร็วกว่าชิป M2 ใน iPad Pro รุ่นก่อนถึง 1.5 เท่า
ชิป M4 ใช้ GPU แบบ 10-core ซึ่งต่อยอดมาจากสถาปัตยกรรมกราฟิกของชิป M3 series มาพร้อม Dynamic Caching ช่วยจัดสรรการใช้หน่วยความจำในฮาร์ดแวร์ของเครื่องแบบเรียลไทม์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มระดับการใช้งาน GPU โดยเฉลี่ยให้สูงขึ้น จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับแอปและเกมระดับโปรที่ประมวลผลหนักๆ ให้แรงมากขึ้น
GPU ในชิป M4 ยังนำเทคโนโลยีเรย์เทรซซิ่งที่เร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์มาไว้ใน iPad เป็นครั้งแรก ทำให้การแสดงกราฟิกในเกมไม่ว่าจะเป็นแสงหรือเงามีความสวยงามสมจริงมากขึ้น และยังมีการให้แสงเงาแบบเมชที่เร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ จึงสามารถสร้างฉากที่มีรายละเอียดซับซ้อนได้ทั้งในเกมและแอปที่เน้นกราฟิกหนักๆ อย่างเช่นแอปด้านการเรนเดอร์ระดับโปรอย่าง Octane สามารถทำงานได้เร็วขึ้นสูงสุด 4 เท่า โดยใช้พลังงานเพียงแค่ครึ่งเดียว เมื่อเทียบกับชิป M2
อย่างไรก็ตาม iPad Pro ใหม่ที่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 256GB และ 512GB จะได้รับชิป M4 ที่มี CPU แบบ 9-core (คอร์ด้านประสิทธิภาพ 3 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 6 คอร์) อีกทั้งยังได้รับ RAM 8GB ขณะที่รุ่น 1TB และ 2TB จะได้รับ CPU แบบ 10-core พร้อมความจำ RAM 16GB โดยมี GPU แบบ 10-core, Neural Engine แบบ 16-core และ แบนด์วิดท์หน่วยความจำ 120GB/s เช่นเดียวกัน
ตอบโจทย์การทำงานด้าน AI
ชิป M4 ยังมาพร้อม Neural Engine สามารถประมวลผลได้ถึง 38 ล้านล้านรายการต่อวินาที หรือเร็วกว่า Neural Engine ตัวแรกของ Apple ในชิป A11 Bionic ถึง 60 เท่า ทำให้ iPad Pro รุ่นล่าสุด กลายเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ Apple เคยมีมา และมีประสิทธิภาพเหนือกว่าหน่วยประมวลผลแบบนิวรอลใน PC ที่รองรับ AI ทั้งหมดในตลาดปัจจุบันนี้ ช่วยให้ผู้ใช้ iPad Pro รุ่นชิป M4 สามารถทำงานที่รองรับ AI ได้เร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะงานแก้ไขวิดีโอ 4K ด้วยเครื่องมือ Scene Removal Mask ใน Final Cut Pro ก็สามารถแยกตัวแบบออกจากฉากหลังได้ง่ายๆ ด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว
ขณะเดียวกัน iPadOS เวอร์ชันล่าสุด ยังมีเฟรมเวิร์กขั้นสูง เช่น Core ML ช่วยให้นักพัฒนาใช้ประโยชน์จาก Neural Engine เพื่อขับเคลื่อนฟีเจอร์ AI บนอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย อย่างการรันโมเดล Diffusion และ Generative AI นอกจากนี้ iPad Pro รุ่นชิป M4 ยังรองรับโซลูชั่นแบบคลาวด์ ผู้ใช้จึงสามารถใช้งานแอปเพื่อการทำงานและการสร้างสรรค์ ที่อาศัยความสามารถของ AI ไม่ว่าจะเป็น Copilot สำหรับ Microsoft 365 และ Adobe Firefly
กล้องหลัง 12MP พร้อมแฟลช Adaptive True Tone
กล้องหลังของ iPad Pro รุ่นชิป M4 ตัดกล้อง Ultra Wide ทิ้งไป เหลือแต่กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสง f/1.8 ชุดเลนส์ 5 ชิ้น รองรับซูมดิจิทัลสูงสุด 5 เท่า และเป็นครั้งแรกที่มาพร้อมแฟลช True Tone แบบ Adaptive หรือ ปรับตามสภาวะ
แฟลช True Tone ใหม่แบบ Adaptive ช่วยให้ iPad Pro รุ่นชิป M4 สามารถสแกนเอกสารได้ดีมากขึ้น โดยทำงานร่วมกับ AI เพื่อระบุประเภทเอกสารโดยอัตโนมัติตั้งแต่ในแอปกล้อง และถ้าเจอเงาก็จะถ่ายภาพหลายภาพด้วยแฟลชใหม่ที่ปรับตามสภาวะ แล้วนำมาต่อเข้าด้วยกันเป็นภาพสแกนที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน
นอกเหนือจากการสแกนเอกสาร กล้องหลังของ iPad Pro รุ่นชิป M4 ยังรองรับ Smart HDR 4 มีโหมดถ่ายภาพพาโนรามา (สูงสุด 63 ล้านพิกเซล), โหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง, โหมด Live Photo ด้วยขอบเขตสีกว้าง และมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ
สำหรับการถ่ายวิดีโอ รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที หรือบันทึกวิดีโอ ProRes สูงสุด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที (เฉพาะรุ่นพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 512GB ขึ้นไป) โดยมีไมโครโฟน 4 ตัว ช่วยให้เสียงในวิดีโอถูกบันทึกในรูปแบบสเตอริโอ ด้วยคุณภาพระดับสตูดิโอ
กล้องหน้าวางใหม่ในแนวนอน
iPad Pro รุ่นชิป M4 ย้ายระบบกล้อง TrueDepth ด้านหน้า มาอยู่ในตำแหน่งแนวนอน ซึ่งให้มุมมองที่ดีขึ้น เมื่อใช้งาน iPad ในรูปแบบแล็ปท็อป หรือ MacBook โดยเฉพาะเวลาที่ติด iPad เข้ากับ Magic Keyboard หรือ Smart Folio และยิ่งมีฟีเจอร์จัดให้อยู่ตรงกลาง หรือ Center Stage ยิ่งทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ มอบประสบการณ์การประชุมแบบวิดีโอในแนวนอนที่ดียิ่งขึ้น
กล้องหน้าของ iPad Pro รุ่นชิป M4 มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/2.4 รองรับโหมด Portrait พร้อมเอฟเฟ็กต์โบเก้และควบคุมระยะชัดลึก โหมด Portrait Lighting พร้อมเอฟเฟ็กต์ Natural, Studio, Contour, Stage, Stage Mono และ High‑Key Mono โหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง และ Live Photo ด้วยขอบเขตสีกว้าง อีกทั้งยังรองรับ Smart HDR 4 ส่วนโหมด Video สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด Full HD 1080p ที่ 60 เฟรมต่อวินาที
พอร์ตเชื่อมต่อรองรับ Thunderbolt 3 และ USB 4
iPad Pro รุ่นชิป M4 ใช้พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C ที่สนับสนุน Thunderbolt 3 และ USB 4 จึงสามารถถ่ายโอนข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด 40Gb/s อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมได้มากมาย ตัวอย่างเช่น จอภาพ Pro Display XDR แบบเต็มความละเอียด 6K รวมถึงอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอก
ด้านการเชื่อมต่อไร้สาย สนับสนุน Wi-Fi 6E ซึ่งสนับสนุนย่านความถี่ไร้สาย 6GHz (รวมถึงความถี่เดิม 2.4GHz / 5GHz) สามารถทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้สูงถึง 2.4Gbps ซึ่งเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า ขณะที่รุ่น Wi-Fi + Cellular ก็รองรับ 5G ทำให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเร็วสูงไม่ว่าจะใช้งานอยู่ที่ใด แต่ต้องเชื่อมต่อ 5G / 4G ด้วย eSIM เท่านั้น ไม่มีช่องใส่ซิมการ์ดแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการเครือข่ายฯ รายใหญ่ในไทย พร้อมให้บริการ eSIM มานานแล้ว และยังผู้ให้บริการรายอื่นอีกกว่า 190 ประเทศทั่วโลก
Apple Pencil Pro
iPad Pro รุ่นชิป M4 สนับสนุนการทำงานร่วมกับ Apple Pencil (USB‑C) ที่เปิดตัวในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ดังนั้น ถ้าใครมีอยู่แล้วสามารถนำมาใช้งานกับ iPad Pro รุ่นใหม่ได้ทันที ไม่ต้องซื้อเพิ่ม แต่ถ้าต้องการยกระดับความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น iPad Pro รุ่นชิป M4 ก็รองรับ Apple Pencil Pro รุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวพร้อมกัน
Apple Pencil Pro ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เปิดตัว Apple Pencil รุ่นที่ 2 ในปี 2018 มาพร้อมเซ็นเซอร์ใหม่ที่รับรู้ได้เมื่อถูกบีบด้าม และจะแสดงแผงเครื่องมือแบบใหม่ขึ้นมา เพื่อให้ผู้ใช้งานสลับเครื่องมือ น้ำหนักเส้น และสีได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังรองรับ Haptic Feedback ตอบสนองแบบสั่น ที่มีความอย่างแม่นยำสูงจนรู้สึกได้ เมื่อบีบ แตะสองครั้ง หรือคลิกไปที่ Smart Shape ก็จะสัมผัสถึงการสั่นเบาๆ เพื่อยืนยันสิ่งที่ต้องการทำ
Apple Pencil Pro ยังมี Gyroscope ในตัว ทำให้ผู้ใช้งานสามารถหมุน Apple Pencil รุ่นใหม่ เพื่อควบคุมเครื่องมือประเภทปากกา และแปรงรูปทรงต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ให้ความรู้สึกเหมือนใช้ปากกาและกระดาษจริงๆ
นอกจากนี้ Apple Pencil Pro เป็น Apple Pencil รุ่นแรกที่รองรับแอป Find My ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหา Apple Pencil Pro ได้หากทำหาย หรือวางไว้ผิดที่ผิดทาง ไม่ว่าข้างนอกหรือภายในบ้าน ก็สามารถขอให้แอป Find My ช่วยตามหาได้ทันที
นอกจากนี้ ฟีเจอร์ที่มีอยู่แล้วใน Apple Pencil รุ่นที่ 2 ก็ถูกยกมาใส่ใน Apple Pencil Pro ทั้งหมด ตั้งแต่การจับคู่และชาร์จด้วยแม่เหล็ก เมื่อแนบติดกับขอบด้านข้าง iPad รวมถึงการยกปลาย Apple Pencil และ การแตะสองครั้ง
Magic Keyboard
Magic Keyboard สำหรับ iPad Pro รุ่นชิป M4 ก็ได้รับการออกแบบและปรับปรุงใหม่ โดยเฉพาะดีไซน์มาในสีดำและสีขาวเข้ากับสีตัวเครื่อง iPad Pro รุ่นใหม่ มาพร้อมบานพับอะลูมิเนียม ที่สามารถปรับความเอียงได้หลายมุม และยังมีที่พักมือซึ่งทำมาจากวัสดุอะลูมิเนียม ให้อารมณ์เหมือนใช้งาน MacBook ที่สำคัญก็คือ Magic Keyboard ใหม่ มีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิมหลายกรัม เมื่อประกบเข้ากับ iPad Pro ที่เบาลงกว่ารุ่นก่อน ทำให้พกพาอุปกรณ์ทั้งหมดได้สบายยิ่งขึ้น
Magic Keyboard รุ่นใหม่ ยังคงใช้ดีไซน์แบบยกลอยเหมือนรุ่นก่อน โดยด้านหลังมีแม่เหล็กสำหรับแนบติดกับ iPad เพื่อจ่ายไฟและรับส่งข้อมูลในทันทีผ่าน Smart Connector (ไม่ต้องใช้ Bluetooth) และสามารถพับเก็บเป็นเคส เพื่อปกป้องตัวเครื่องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ระหว่างพกพา iPad Pro ติดตัวไปด้วย
จุดเด่นของ Magic Keyboard รุ่นใหม่ คือมาพร้อมแถวปุ่มฟังก์ชั่น 14 ปุ่ม คล้ายกับแถวฟังก์ชั่นบน Mac ช่วยให้เข้าถึงฟีเจอร์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น ความสว่างหน้าจอ, ควบคุมระดับเสียง, ควบคุมการเล่นมีเดีย, ล็อคหน้าจอ, เริ่มค้นหา, เปิดโหมดห้ามรบกวน, เริ่มเขียนตามคำบอก และ อื่นๆ อีกมากมาย
แต่ละปุ่มบน Magic Keyboard รุ่นใหม่ ใช้กลไกแบบกรรไกรที่มีการขยับขึ้นลงของปุ่มที่ระยะ 1 มิลลิเมตร ทำให้การพิมพ์เงียบและตอบสนองได้รวดเร็ว และยังมีแบ็คไลท์ จึงสามารถพิมพ์ได้อย่างสะดวกสบายในที่แสงน้อย
นอกจากนี้ แทร็คแพดของ Magic Keyboard รุ่นใหม่ ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น รองรับการตอบสนองแบบสั่น ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น การแก้ไขสเปรดชีต และ การเลือกข้อความ หรือเพียงแค่เลื่อนไปมาบน iPad ด้วยคำสั่งนิ้ว Multi-Touch ที่ใช้งานง่ายและคุ้นเคย
สรุปราคาและการจำหน่าย
iPad Pro รุ่นชิป M4 ไม่ได้เป็นเพียง iPad ที่ทรงพลังที่สุด แต่ดูเหมือนว่าจะทรงพลังกว่า MacBook หลายรุ่นด้วยซ้ำ ด้วยชิปรุ่นใหม่ล่าสุดที่ Apple เลือกนำมาใช้กับ iPad Pro เป็นครั้งแรก ทำให้ iPad Pro ในปี 2024 ถูกยกระดับขึ้นจากรุ่นก่อนแบบก้าวกระโดด กลายเป็นอุปกรณ์สำหรับมืออาชีพอย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้ใช้งานที่เน้นงานสร้างสรรค์ไม่ว่าจะตัดต่อวิดีโอความละเอียดสูง 4K ไปจนถึงผู้ที่ทำงานด้านภาพ iPad Pro รุ่นชิป M4 ก็มาพร้อมจอแสดงผล Ultra Retina XDR ที่ให้สีสันแม่นยำเที่ยงตรง
ราคา iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว ชิป M4
- 256GB Wi-Fi: 39,900 บาท
- 512GB Wi-Fi: 47,900 บาท
- 1TB Wi-Fi: 63,900 บาท
- 2TB Wi-Fi: 79,900 บาท
- 256GB Wi-Fi + Cellular: 47,900 บาท
- 512GB Wi-Fi + Cellular: 55,900 บาท
- 1TB Wi-Fi + Cellular: 71,900 บาท
- 2TB Wi-Fi + Cellular: 87,900 บาท
ราคา iPad Pro รุ่น 13 นิ้ว ชิป M4
- 256GB Wi-Fi: 52,900 บาท
- 512GB Wi-Fi: 60,900 บาท
- 1TB Wi-Fi: 76,900 บาท
- 2TB Wi-Fi: 92,900 บาท
- 256GB Wi-Fi + Cellular: 60,900 บาท
- 512GB Wi-Fi + Cellular: 68,900 บาท
- 1TB Wi-Fi + Cellular: 84,900 บาท
- 2TB Wi-Fi + Cellular: 100,900 บาท
iPad Pro รุ่นชิป M4 มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีเงิน และ สีดำสเปซแบล็ค ขณะที่ตัวเลือก 1TB และ 2TB ยังสามารถเพิ่มกระจกผิวนาโน ที่ช่วยลดแสงสะท้อนได้ดีกว่า แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทั้งนี้ Apple Pencil Pro วางจำหน่ายในราคา 4,990 บาท และ Magic Keyboard ใหม่ จำหน่ายในราคา 11,990 บาท สำหรับรุ่น 11 นิ้ว และราคา 13,990 บาท สำหรับรุ่น 13 นิ้ว