GoPro เปิดตัวกล้อง Action Camera รุ่นใหม่ GoPro HERO 13 Black ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจาก GoPro HERO 12 Black ของปีที่แล้ว แต่ในปีนี้มาพร้อม GoPro HERO ซึ่งเป็นกล้อง Action Camera ที่มีขนาดเล็ก และราคาก็เล็กลงตามไปด้วย
GoPro HERO 13 Black
GoPro HERO 13 Black มาพร้อมเลนส์เสริมที่สามารถติดตั้งเพิ่มได้ แต่วางจำหน่ายแยกต่างหาก (หรือซื้อแบบ Bundle) ประกอบด้วย Macro Lens Mod ช่วยถ่ายภาพระยะใกล้ได้ดีกว่าเลนส์เดิม 4 เท่า, Ultra Wide Lens Mod ให้มุมมองกว้างกว่าเลนส์เดิม 36% ยาวกว่าเดิม 48%, ND Filter 4-Pack – Smart Motion Blur ช่วยปรับการตั้งค่าวิดีโอของกล้องโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ภาพเคลื่อนไหวมีคุณภาพระดับมืออาชีพ และ Anamorphic Lens Mod ให้ภาพออกมาในอัตราส่วนภาพ 21:9 แบบภาพยนตร์ พร้อมเอฟเฟกต์แสงแฟลร์
GoPro HERO 13 Black ได้รับแบตเตอรี่ใหม่ เรียกว่า Enduro Battery มีความจุ 1900mAh มีขั้วต่อที่ออกแบบมาสำหรับ HERO13 Black โดยเฉพาะ ไม่สามารถใช้กับ GoPro รุ่นเก่าได้ โดยให้อายุการใช้งานนานถึง 2.5 ชั่วโมง สำหรับการบันทึกต่อเนื่อง และยังถูกออกแบบมาให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ได้สะดวกรวดเร็วขึ้นผ่านระบบแม่เหล็ก ไม่ว่าจะเป็นสายชาร์จ USB-C หรือขาตั้งต่างๆ
GoPro HERO 13 Black รองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุด 5.3K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที (16:9) หรือ 30 เฟรมต่อวินาที (8:7 มุมมองภาพ 156 องศา) แต่ถ้าบันทึกวิดีโอในรูปแบบ HDR (16:9) จะทำได้สูงสุด 5.3K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที และเป็นกล้องตัวแรกของ GoPro ที่มีโหมด Burst Slo-Mo ให้ภาพ 720p ที่ 40 เฟรมต่อวินาที เป็นเวลา 15 วินาที หรือ 900p ที่ 360 เฟรมต่อวินาที เป็นเวลา 15 วินาที หรือ 5.3K ที่ 120 เฟรมต่อวินาที เป็นเวลา 5 วินาที ขณะที่การถ่ายภาพนิ่ง ให้ความละเอียดสูงสุด 27.13 ล้านพิกเซล (5568 x 4872 พิกเซล)
GoPro HERO
GoPro HERO เป็นกล้อง Action Camera ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบาเพียง 86 กรัม สามารถป้องกันน้ำได้ลึกถึง 16 ฟุต หรือประมาณ 4.9 เมตร พร้อมกระจกครอบเลนส์ Hydrophobic สำหรับเก็บภาพใต้น้ำ
GoPro HERO รองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที มีโหมด Slo-Mo ให้ภาพ 2.7K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที และถ่ายภาพนิ่ง 12 ล้านพิกเซล
ทั้งนี้ GoPro HERO 13 Black วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 13,490 บาท ขณะที่ GoPro HERO มีราคาเริ่มต้นเพียง 200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6,790 บาท