Redmi เปิดตัวสมาร์ทโฟน Redmi K70 Extreme Edition อย่างทางการแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่า Redmi K70 Ultra แต่คำว่า Extreme Edition ที่พ่วงท้ายนั้นแปลมาจากภาษาจีน จึงไม่มีความชัดเจนว่าจะส่งไปทำตลาดนอกจีนหรือไม่ และจะใช้ชื่อว่าอะไรถ้าหากเปิดตัวในตลาดโลก
Redmi K70 Extreme Edition มาพร้อมกับจอแสดงผล OLED ความละเอียด 2712 x 1220 พิกเซล ขนาด 6.67 นิ้ว รองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 144Hz มีเทคโนโลยีปรับลดแสง PWM (Pulse Width Modulation) ที่ความถี่สูง 3840Hz ให้ความสว่างสูงสุด 4,000 นิต (ความสว่างทั่วไป 1,600 นิต)
แผนกกล้องประกอบด้วย กล้องตัวหลัก Sony IMX906 ที่มีขนาด 1/1.56” ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล มีระบบป้องกันภาพสั่วไหวแบบ OIS, กล้อง Ultrawide 8 ล้านพิกเซล, กล้อง Macro 2 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องเซลฟี่ 20 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ Redmi K70 Extreme Edition ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของ Redmi ที่มีอัลกอริทึมการถ่ายภาพ Xiaomi AISP สามารถปรับแต่งภาพถ่ายให้เหมาะสมจากหลายมุมมอง รวมถึงเลนส์ การแรเงา สี และ ภาพถ่ายพอร์ตเทรต
ด้านประสิทธิภาพ Redmi K70 Extreme Edition ใช้ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9300+ พร้อมชิปกราฟิก D1 มีระบบระบายความร้อน 3D ที่สามารถลดอุณหภูมิของชิปเซ็ตได้สูงสุดถึง 3 องศาเซลเซียส โดยมีความจุแบตเตอรี่ 5500mAh และรองรับชาร์จเร็ว 120W
Redmi K70 Extreme Edition มีตัวเลือกความจำ 4 เวอร์ชัน ได้แก่ RAM 12GB + ROM 256GB, RAM 12GB + ROM 512GB, RAM 16GB + ROM 512GB และ RAM 16GBGB + ROM 1TB ราคาเริ่มต้น 2,599 หยวน หรือราว 12,990 บาท
นอกจากนี้ Redmi K70 Extreme Edition ยังมีรุ่นพิเศษ Championship Edition ที่ออกแบบร่วมกับ Squadra Corse แผนกมอเตอร์สปอร์ตของ Lamborghini โดยนำเอกลักษณ์ของรถแข่ง Huracán Super Trofeo EVO2 มาสู่สมาร์ทโฟน โดดเด่นด้วยเส้นสายตัว Y ที่คมชัดบนฝาหลัง พร้อมด้วยโลโก้ Lamborghini แบบคลาสสิก วางจำหน่ายในราคา 3,999 หยวน หรือราว 20,090 บาท มีตัวเลือกเดียว RAM 24GBGB + ROM 1TB
เมื่อพูดถึงรถแข่ง Xiaomi แบรนด์แม่ของ Redmi ยังได้เปิดตัวต้นแบบรถไฟฟ้าสปอร์ต Xiaomi SU7 Ultra ในวันเดียวกันด้วย ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ HyperEngine V8s พร้อมแบตเตอรี่ 1,330kW สามารถสร้างขุมพลังได้ถึง 1,548 แรงม้า ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 1.97 วินาที และสามารถชะลอรถจาก 100 – 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะ 25 เมตร โดยคาดว่าจะสามารถเข้าสู่กระบวนการผลิตได้ภายในปี 2025