วันนี้ Apple ประกาศเปิดตัวอัปเดตใหม่ในแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพและทำให้ผู้ใช้ยังคงสามารถควบคุมข้อมูลของตัวเอง ด้วย Private Cloud Compute ที่ขยายขอบเขตการปกป้องระดับชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรมบน iPhone ไปยังระบบคลาวด์ ผู้ใช้จึงไม่ต้องเลือกระหว่างระบบอัจฉริยะที่คำนึงถึงบริบทเฉพาะตัวของผู้ใช้และการปกป้องความเป็นส่วนตัวที่แน่นหนา Apple ยังสร้างมาตรฐานด้านความเป็นส่วนตัวผ่านคุณสมบัติใหม่ๆ ด้วย เช่น แอปที่ล็อคและซ่อนไว้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยผู้ใช้ปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนในโทรศัพท์ นอกจากนี้ Apple ยังเปิดตัวคุณสมบัติใหม่ที่ออกแบบมาโดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการจัดหมวดหมู่ในแอปเมล ข้อความผ่านดาวเทียม และการแสดงตัวอย่างของผู้นำเสนอ
“Private Cloud Compute ทำให้ Apple Intelligence สามารถประมวลผลคำขอที่ซับซ้อนของผู้ใช้ด้วยความเป็นส่วนตัวในระดับปฏิวัติวงการ” Craig Federighi รองประธานอาวุโสฝ่าย Software Engineering ของ Apple กล่าว “เราได้ขยายขอบเขตความปลอดภัยชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรมบน iPhone ไปยังระบบคลาวด์ด้วยสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่ล้ำหน้าที่สุดที่เคยใช้มาสำหรับ AI บนระบบคลาวด์ในสเกลใหญ่ Private Cloud Compute จะใช้ข้อมูลของคุณเพื่อตอบสนองคำขอของคุณเท่านั้น และจะไม่มีการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ รวมถึง Apple และเรายังออกแบบระบบเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระสามารถตรวจสอบการป้องกันได้ด้วย”
ความเป็นส่วนตัวที่เหนือชั้นสำหรับความสามารถ AI
Apple Intelligence ระบบอัจฉริยะส่วนบุคคลที่นำโมเดลเจเรอเนทีฟอันทรงพลังมาใช้เป็นหัวใจสำคัญสำหรับ iPhone, iPad และ Mac ทำให้อุปกรณ์ที่ส่วนตัวที่สุดของผู้ใช้มีประโยชน์มากขึ้นและใช้งานได้เพลิดเพลินยิ่งขึ้น
หัวใจสำคัญของ Apple Intelligence คือการประมวลผลบนอุปกรณ์ ซึ่งส่งมอบข้อมูลข่าวสารเฉพาะตัวบุคคลโดยไม่เก็บข้อมูลของผู้ใช้ และในบางเวลาที่ผู้ใช้ต้องการโมเดลที่ใหญ่กว่าอุปกรณ์ขนาดพอดีกระเป๋าอย่างที่ใช้อยู่ในทุกวันนี้ Private Cloud Compute ก็ช่วยให้ Apple Intelligence สามารถรีดพลังและขยายขีดความสามารถในการประมวลผล รวมถึงใช้ประโยชน์จากโมเดลขนาดใหญ่ขึ้นบนเซิร์ฟเวอร์เพื่อจัดการกับคำขอที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นโดยที่ยังคงปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
เมื่อผู้ใช้สร้างคำขอ Apple Intelligence จะวิเคราะห์ว่าสามารถประมวลผลบนอุปกรณ์ได้หรือไม่ และหากต้องการขีดความสามารถในการประมวลผลมากขึ้น ก็จะอาศัยพลังของ Private Cloud Compute ซึ่งจะส่งเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานดังกล่าวเพื่อนำไปประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์ Apple Silicon และเมื่อมีการส่งคำขอไปยัง Private Cloud Server ก็จะไม่มีการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวหรือเปิดให้ Apple เข้าถึงแต่อย่างใด และจะนำไปใช้เพื่อทำตามคำขอของผู้ใช้เท่านั้น
เซิร์ฟเวอร์ Apple Silicon ที่เป็นรากฐานของ Private Cloud Compute มอบความปลอดภัยในระบบคลาวด์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เริ่มจาก Secure Enclave ซึ่งจะปกป้องคีย์เข้ารหัสที่สำคัญบนเซิร์ฟเวอร์เหมือนกับที่ทำบน iPhone ของผู้ใช้ ในขณะที่ Secure Boot จะตรวจสอบว่า OS ที่ทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ผ่านการเซ็นและยืนยันความถูกต้องแล้วเหมือนกับใน iOS ส่วน Trusted Execution Monitor จะช่วยตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเฉพาะโค้ดที่ผ่านการเซ็นและยืนยันความถูกต้องแล้วเท่านั้นที่ทำงานได้ ในขณะที่การรับรองหรือ Attestation จะทำให้อุปกรณ์ของผู้ใช้สามารถยืนยันตัวตนและคอนฟิเกอเรชั่นของคลัสเตอร์ Private Cloud Compute ได้อย่างปลอดภัยก่อนส่งคำขอ นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังสามารถตรวจสอบโค้ดที่ทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ Private Cloud Compute เพื่อยืนยันว่า Apple ทำตามคำมั่นสัญญาด้านความเป็นส่วนตัวหรือไม่
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Private Cloud Compute ได้ที่ security.apple.com/blog/private-cloud-compute
อีกหลายคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ออกแบบมาเพื่อเสริมศักยภาพให้ผู้ใช้
แอปที่ล็อคและซ่อนไว้ เพิ่มความอุ่นใจให้ผู้ใช้ว่าบุคคลอื่นจะไม่เห็นข้อมูลบางอย่างโดยไม่ตั้งใจเมื่อให้ผู้อื่นดูหน้าจอหรือยื่นอุปกรณ์ให้ โดยผู้ใช้สามารถล็อคแอปเพื่อปกป้องคอนเทนต์ไม่ให้ใครเห็น หรือซ่อนแอปเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเห็นแอปนั้นบนอุปกรณ์ และเมื่อผู้ใช้ล็อคแอปแล้ว หากมีผู้พยายามแตะที่แอปนั้น ก็จะมีการขอให้ยืนยันตัวตนโดยใช้ Face ID, Touch ID หรือรหัส หรือถ้าต้องการความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นไปอีก ผู้ใช้ยังสามารถซ่อนแอป ซึ่งจะเป็นการย้ายแอปนั้นไปยังโฟลเดอร์แอปที่ล็อคและซ่อนอยู่ ซึ่งต้องใช้ Face ID, Touch ID หรือรหัสเพื่อเปิด
“เราไม่เคยลดละความพยายามที่จะทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ด้วยวิธีที่แน่นหนาและล้ำหน้าที่สุด” Erik Neuenschwander ผู้อำนวยการฝ่าย User Privacy ของ Apple กล่าว “ซึ่งปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น และความสามารถในการล็อคและซ่อนแอปก็เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างของการที่ Apple ช่วยให้ผู้ใช้ยังคงควบคุมข้อมูลของตนเองได้ แม้ว่าจะแชร์อุปกรณ์กับคนอื่น”
Apple ทุ่มเทเต็มที่มาเป็นเวลาหลายปีเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้สามารถแชร์เฉพาะข้อมูลที่ต้องการแชร์กับผู้ที่ต้องการแชร์ด้วย และในปี 2020 Apple ได้เปิดตัว Photo Picker ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกรูปภาพและวิดีโอที่จะใช้ในแอปโดยไม่ต้องอนุญาตให้เข้าถึงคลังภาพทั้งหมด ส่วนปีนี้ Apple ก็มีคุณสมบัติ 2 อย่างที่จะขยายขอบเขตการปกป้องขึ้นไปอีก เริ่มจาก การปรับปรุงการอนุญาตให้เข้าถึงรายชื่อ ใน iOS 18 ซึ่ง Apple เปิดให้ผู้ใช้เป็นผู้ควบคุมด้วยตัวเองว่าจะเลือกแชร์ผู้ติดต่อคนใดบ้างกับแอป แทนที่จะอนุญาตให้แอปเข้าถึงรายชื่อผู้ติดต่อทั้งหมด ถัดมาคือ Accessory Setup Kit ที่อนุญาตให้นักพัฒนาเพิ่มวิธีใหม่ๆ ที่ใช้งานง่ายในการจับคู่อุปกรณ์เสริมของผู้ใช้โดยไม่ต้องให้แอปเห็นอุปกรณ์อื่นๆ ในเครือข่าย ทำให้อุปกรณ์ยังคงความเป็นส่วนตัวและจับคู่ได้อย่างราบรื่น
นอกจากนี้ ยังมีการอัปเดตใหม่อื่นๆ ในทุกแพลตฟอร์มของ Apple ที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้ประโยชน์จากคุณสมบัติด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยง่ายกว่าที่เคย
แอปรหัสผ่านใหม่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Keychain ซึ่ง Apple เปิดตัวครั้งแรกเมื่อกว่า 25 ปีที่แล้ว โดยแอป รหัสผ่าน ใหม่นี้ ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงรหัสผ่านของบัญชี, พาสคีย์, รหัสผ่าน Wi-Fi และรหัสยืนยันสองปัจจัยที่จัดเก็บไว้ใน Keychain ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งกว่านั้นแอปนี้ยังเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับจุดอ่อนที่พบได้โดยทั่วไป เช่น รหัสผ่านที่เดาง่าย หรือใช้ซ้ำๆ กันหลายที่ รวมถึงรหัสผ่านที่ปรากฏในข้อมูลที่ทราบว่ามีการรั่วไหล
นอกจากนี้ ส่วน ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ที่ปรับปรุงใหม่ในการตั้งค่าจะแสดงข้อมูลให้เหลือบมองได้ง่ายๆ ผู้ใช้จึงเข้าใจระดับการเข้าถึงแต่ละแอปได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม
คุณสมบัติอื่นๆ ที่ออกแบบโดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวตั้งแต่เริ่มต้น
Apple ได้สร้างระบบปกป้องความเป็นส่วนตัวและรักษาความปลอดภัยในแอปและบริการต่างๆ มาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งรวมถึงใน iOS 18 iPadOS 18 และ macOS Sequoia ด้วยเช่นกัน
อย่างใน iOS 18, การจัดหมวดหมู่ในแอปเมล ทั้งหมดจะอยู่เฉพาะบน iPhone ของผู้ใช้ และจำแนกหมวดหมู่อีเมลโดยอัตโนมัติออกเป็น อีเมลหลัก โปรโมชั่น ธุรกรรม และอัปเดต เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถโฟกัสไปที่ข้อความที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา
ข้อความผ่านดาวเทียม ใน iOS 18 ทำให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความหาเพื่อนและครอบครัวได้โดยตรงจากการสนทนา iMessage และ SMS ที่มีอยู่เดิม เมื่อไม่มีการเชื่อมต่อระบบเซลลูลาร์หรือ Wi-FI1 และเมื่ออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ ผู้ใช้สามารถส่งข้อความผ่านดาวเทียมจากแอปข้อความโดยที่ยังคงมีการเข้ารหัสข้อความ iMessage ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางเช่นเดิม
การแสดงตัวอย่างสำหรับผู้นำเสนอ ใน macOS ช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าจะไม่แชร์ข้อมูลมากเกินไปเมื่อกำลังวิดีโอคอล ใช้ AirPlay หรือเสียบสายเคเบิล ผู้ใช้สามารถแชร์ทั้งหน้าจอหรือแค่แอปเดียว และการแสดงตัวอย่างสำหรับผู้นำเสนอจะปรากฏโดยอัตโนมัติเมื่อแชร์เนื้อหากับแอปอย่าง FaceTime และ Zoom
การแสดงตัวอย่างสำหรับผู้นำเสนอใน macOS Sequoia ทำให้ผู้ใช้สามารถแชร์ทั้งหน้าจอหรือแค่แอปเดียว และการแสดงตัวอย่างสำหรับผู้นำเสนอจะปรากฏโดยอัตโนมัติเมื่อแชร์คอนเทนต์กับแอปอย่าง FaceTime และ Zoom
ความพร้อมใช้งาน
สมาชิกโปรแกรมนักพัฒนา Apple สามารถใช้งาน iOS 18, iPadOS 18 และ macOS Sequoia รุ่นเบต้าสำหรับนักพัฒนาได้ที่ developer.apple.com ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และสามารถใช้งานรุ่นเบต้าสำหรับบุคคลทั่วไปในเดือนหน้าที่ beta.apple.com คุณสมบัติซอฟต์แวร์ใหม่จะพร้อมใช้งานภายในปีนี้ในรูปแบบของการอัปเดตซอฟต์แวร์ฟรี คุณสมบัติอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ คุณสมบัติบางประเภทอาจใช้ไม่ได้ในบางภูมิภาค บางภาษา หรือบางอุปกรณ์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพร้อมใช้งานได้ที่ apple.com/th
Apple Intelligence จะพร้อมให้ใช้งานในรุ่นเบต้าบน iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max และ iPad และ Mac ที่มีชิป M1 และใหม่กว่า ซึ่งตั้งค่า Siri และภาษาของอุปกรณ์เป็นภาษาอังกฤษแบบสหรัฐอเมริกา โดยเป็นส่วนหนึ่งของ iOS 18, iPadOS 18 และ macOS Sequoia ภายในปีนี้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ apple.com/apple-intelligence