เรียกได้ว่าสิ้นสุดการรอคอยที่แสนยาวนานเสียทีเพราะในที่สุด Apple พร้อมทำตลาดลำโพงอัจฉริยะ HomePod ในประเทศไทยอย่างทางการแล้ว มีให้เลือกทั้ง HomePod (รุ่นที่ 2) และ HomePod mini ซึ่งทั้งคู่รองรับการฟังเพลงจาก Apple Music ที่มีแคตตาล็อกเพลงกว่าร้อยล้านเพลง รวมถึง Podcasts และสามารถใช้ Siri เพื่อเข้าถึงความรู้ด้านดนตรี หรือจะค้นหาเพลงได้เช่นกัน แต่นอกจากการฟังเพลง HomePod ยังมีความสามารถอีกหลากหลาย ซึ่งทีมงาน @Flashfly พร้อมรีวิวให้ชมแล้ว
HomePod (รุ่นที่ 2) เสียงอันล้ำลึก
HomePod (รุ่นที่ 2) เป็นลำโพงอัจฉริยะที่อันทรงพลัง มาพร้อมระบบเสียงสุดล้ำ ดีไซน์สวยงามไม่ซ้ำใคร HomePod อัดแน่นไปด้วยนวัตกรรมจาก Apple รองรับระบบเสียงตามตำแหน่ง Spatial Audio และ การรับรู้ตำแหน่งภายในห้องที่ไม่มีใน HomePod mini และด้วยความฉลาดของ Siri จึงสามารถควบคุมการทำงานอัตโนมัติของอุปกรณ์สมาร์ทโฮมได้อย่างง่ายดาย
สเปก HomePod (รุ่นที่ 2)
- วูฟเฟอร์แบบ High-excursion ขนาด 4 นิ้ว
- ชุดทวีตเตอร์แบบ Horn-loaded จำนวน 5 ตัว โดยที่แต่ละตัวมีแม่เหล็กนีโอไดเมียมของตัวเอง
- ไมโครโฟนภายในสำหรับปรับเทียบเสียงความถี่ต่ำ เพื่อการปรับแก้เสียงเบสโดยอัตโนมัติ
- ระบบเสียงเชิงคำนวณสุดล้ำที่รับรู้การทำงานในระบบ เพื่อการปรับจูนเสียงแบบเรียลไทม์
- การรับรู้ตำแหน่งภายในห้อง
- ระบบเสียงตามตำแหน่ง Spatial Audio พร้อม Dolby Atmos สำหรับเพลงและวิดีโอ
- ดีไซน์แบบไมโครโฟน 4 ตัว เพื่อการใช้งาน Siri จากระยะไกล
- คุณสมบัติการจำเสียงสำหรับเสียงสัญญาณเตือนควันไฟไหม้และคาร์บอนมอนอกไซด์
- เล่นเสียงแบบหลายห้องด้วย AirPlay
- รองรับการจับคู่กับ HomePod (รุ่นที่ 2) อีกตัว เพื่อให้เสียงสเตอริโอ
- เซ็นเซอร์ ตรวจจับการเคลื่อนไหว (Accelerometer), อุณหภูมิและความชื้น
- การเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 802.11n, Bluetooth 5.0
- รองรับการค้นพบอุปกรณ์แบบ Peer-to-peer เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าใช้ได้ง่าย
- รองรับเทคโนโลยีระบบเครือข่าย Thread
- มีชิป Ultra Wideband เพื่อบอกความใกล้กับอุปกรณ์
- ความสูง 168 มิลลิเมตร ความกว้าง 142 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 2.3 กิโลกรัม
- มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีมิดไนท์ และ สีขาว
ดีไซน์
HomePod (รุ่นที่ 2) อาจดูคล้ายกับ HomePod รุ่นแรก แต่ก็ไม่เหมือนกัน 100% โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 142 มิลลิเมตร เท่าเดิม แต่ความสูงลดลง 4 มิลลิเมตร และน้ำหนักหายไป 200 กรัม เหมาะที่จะนำไปวางได้ในทุกพื้นที่ของบ้าน
วัสดุภายนอกผลิตขึ้นจากผ้าตาข่ายรีไซเคิล 100% แบบไร้รอย เพื่อไม่ให้ขวางกั้นพลังเสียงที่ขับออกมาจากลำโพงภายใน มาพร้อมสายไฟที่สามารถถอดออกได้ และให้สายไฟสีเดียวกับลำโพง ซึ่งมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาว และ สีมิดไนท์
ด้านบนของลำโพง เป็นพื้นผิวสัมผัสวงกลม พร้อมแบ็คไลท์ที่ให้ความสว่างจนชิดขอบ ทำให้ดูสวยงามกว่ารุ่นแรก สามารถการแตะหนึ่งครั้งเพื่อเล่น/หยุดพัก, แตะสองครั้งเพื่อข้ามไปข้างหน้า, แตะสามครั้งเพื่อข้ามไปข้างหลัง, แตะค้างไว้เพื่อเรียก Siri, แตะหรือแตะค้างไว้ที่เครื่องหมาย + หรือ – เพื่อเพิ่มหรือลดระดับเสียง
คุณภาพเสียงที่เหนือระดับ
ภายใน HomePod (รุ่นที่ 2) ประกอบด้วย วูฟเฟอร์แบบ High Excursion ที่ผ่านการปรับแต่งด้านวิศวกรรมมาเป็นพิเศษ ไดอะแฟรมขนาดใหญ่ 20 มม. ให้เสียงเบสที่ทุ้มลึก ชุดทวีตเตอร์ 5 ตัว เรียงแบบบีมฟอร์มมิ่งอยู่รอบฐาน สามารถแยกและยิงแนวเสียงทั้งแบบตรงและแบบแวดล้อม เพื่อให้ผู้ฟังได้ดื่มด่ำสัมผัสเสียงร้องที่ชัดใสและเสียงเครื่องดนตรีแบบเต็มอิ่ม และมีไมโครโฟนในตัวแบบ Bass-EQ
HomePod (รุ่นที่ 2) มาพร้อมชิป Apple S7 ทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีระบบตรวจจับสภาพห้อง เพื่อให้ได้ระบบเสียงขั้นสูงกว่าเดิมที่ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ (เทคโนโลยีตรวจจับสภาพห้อง ช่วยให้ HomePod นำข้อมูลเสียงสะท้อนจากพื้นผิวใกล้เคียงมาประมวลผลว่าตอนนี้ลำโพงวางอยู่ชิดผนังห้องหรือตั้งอยู่กลางห้อง แล้วนำไปปรับเปลี่ยนลักษณะเสียงได้แบบเรียลไทม์)
จับคู่กับ HomePod อีกตัวเพื่อให้เสียงสเตอริโอ
HomePod (รุ่นที่ 2) รองรับการจับคู่กับ HomePod อีกตัว เพื่อให้เสียงสเตอริโอ เมื่อวางอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งให้มิติเสียงที่กว้างขึ้นและสมจริงมากกว่าลำโพงสเตอริโอทั่วไป โดยเล่นเพลงในช่องเสียงซ้ายและขวาแยกกัน และเล่นเพลงในแต่ละช่องเสียงได้สอดคล้องกันอย่างลงตัว
ขณะเดียวกัน ยังสามารถวาง HomePod (รุ่นที่ 2) แยกไว้แต่ละห้องได้ โดยที่ยังเล่นเพลงพร้อมกันด้วย AirPlay ผู้ใช้งานสามารถพูดว่า “หวัดดี Siri” หรือแตะค้างไว้ที่ด้านบนของ HomePod เพื่อสั่งให้เล่นเพลงเดียวกันผ่านลำโพง HomePod หลายตัว หรือใช้ลำโพงทำหน้าที่เป็นอินเตอร์คอม เพื่อประกาศข้อความไปยังห้องต่างๆ ที่มี HomePod วางอยู่
อย่างไรก็ตาม การจับคู่ HomePod เพื่อสร้างเสียงสเตอริโอ จำเป็นต้องใช้ลำโพง HomePod รุ่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น HomePod รุ่นที่ 2 ต้องจับคู่กับ HomePod รุ่นที่ 2 ไม่สามารถจับคู่กับ HomePod mini หรือ HomePod รุ่นที่ 1 ได้
HomePod (รุ่นที่ 2) ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
ลำโพง HomePod รองรับการฟังเพลงจาก Apple Music ที่มีแคตตาล็อกเพลงกว่า 100 ล้านเพลง เพลงที่ซื้อใน iTunes คลังเพลง iCloud พร้อมการสมัครสมาชิก Apple Music หรือ iTunes Match วิทยุ Apple Music และ Podcasts รวมถึงบริการสตรีมมิ่งเพลงจากแพลตฟอร์มต่างๆ นอกจากนี้ ยังรองรับการเล่นคอนเทนต์ต่างๆ ที่แชร์มาจาก iPhone, iPad, Apple TV หรือ Mac
HomePod (รุ่นที่ 2) ได้รับเทคโนโลยี Ultra Wideband ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน สามารถย้ายสิ่งที่กำลังเล่นอยู่บน iPhone ไม่ว่าจะเป็น เพลงโปรด Podcasts หรือสายที่โทรค้างอยู่ มาเปิดเล่นเสียงต่อที่ HomePod ได้โดยตรง เพียงนำ iPhone มาอยู่ใกล้กับ HomePod แล้วคำแนะนำจะปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ
ผู้ใช้งาน HomePod ยังสามารถใช้ Siri เพื่อเข้าถึงความรู้ด้านดนตรี หรือค้นหาเพลงตามศิลปิน ชื่อเพลง เนื้อร้อง แนวเพลง อารมณ์ หรือกิจกรรมก็ทำได้ ไปจนถึงการควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม โดยสามารถจดจำเสียงสมาชิกแต่ละคนในบ้านได้มากถึง 6 เสียง จึงสามารถวางไว้ในห้องนั่งเล่น เป็นลำโพงที่ทุกคนในบ้านสามารถใช้งานร่วมกันได้
HomePod ยังสามารถสร้างประสบการณ์โฮมเธียร์เตอร์แบบสมจริงได้อย่างง่ายดาย เมื่อเชื่อมต่อกับ Apple TV 4K (รุ่นที่ 2) หรือใหม่กว่า พร้อมรองรับ eARC (Enhanced Audio Return Channel) เพื่อใช้เป็นระบบเสียงสำหรับอุปกรณ์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่กับทีวี และด้วย Siri ผู้ใช้งานจึงสามารถควบคุมสิ่งที่กำลังเล่นอยู่บน Apple TV ได้แบบไม่ต้องสัมผัสหรือกดปุ่มใดๆ เลย
ควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม
HomePod (รุ่นที่ 2) มาพร้อมเซ็นเซอร์การจำเสียง ทำให้ HomePod สามารถรับรู้เสียงของเซ็นเซอร์ตรวจจับควันไฟหรือก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ เพื่อส่งการแจ้งเตือนไปที่ iPhone ของผู้ใช้งานโดยตรง
รวมถึงเซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้น ที่ไม่มีในรุ่นแรก ช่วยตรวจวัดข้อมูลภายในบ้านได้ ผู้ใช้งานจึงสามารถสร้างการทำงานอัตโนมัติให้ปิดม่านหรือพัดลมโดยอัตโนมัติ เมื่ออุณหภูมิในห้องอยู่ถึงจุดที่กำหนดไว้
ผู้ใช้งานสามารถขอให้ Siri ใน HomePod ควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมหลายเครื่องให้ทำงานพร้อมกัน หรือสร้างการทำงานอัตโนมัติที่เกิดซ้ำได้โดยไม่ต้องสัมผัสหรือกดปุ่มใดๆ เลย เช่นพูดว่า “หวัดดี Siri เปิดม่านทุกวันตอนพระอาทิตย์ขึ้น” โดยสามารถจัดการอุปกรณ์สมาร์ทโฮมต่างๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านแอป Home
นอกจากนี้ HomePod (รุ่นที่ 2) ยังรองรับมาตรฐาน Matter ที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ด้านสมาร์ทโฮมสามารถทำงานข้ามระบบนิเวศได้ โดยยังคงรักษาความปลอดภัยระดับสูงสุด HomePod สามารถเชื่อมต่อ และควบคุมอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานตามมาตรฐาน Matter รวมถึงทำหน้าที่เป็นฮับที่จำเป็นต้องมีไว้ภายในบ้าน เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงสิ่งต่างๆ ในบ้านได้จากนอกบ้าน
HomePod mini สีสันใหม่ของการฟัง
HomePod mini ถูกสร้างมาให้มีขนาดเล็กกว่า HomePod ประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ให้ประสบการณ์ในการฟังเพลงอย่างสุดยอด รองรับการทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของ Apple และมีความอัจฉริยะจาก Siri ในการควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม พร้อมด้วยฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
สเปก HomePod mini
- ไดรเวอร์ที่ให้เสียงครบทุกช่วงและพาสซีฟเรดิเอเตอร์คู่
- อะคูสติกเวฟไกด์แบบเฉพาะ เพื่อสนามเสียงแบบ 360 องศา
- เนื้อผ้าโปร่งที่ไม่ส่งผลต่อเสียงในทางอะคูสติก
- ระบบเสียงเชิงคำนวณเพื่อการปรับจูนเสียงแบบเรียลไทม์
- ดีไซน์แบบไมโครโฟน 4 ตัว เพื่อการใช้งาน Siri จากระยะไกล
- คุณสมบัติการจำเสียงสำหรับเสียงสัญญาณเตือนควันไฟไหม้และคาร์บอนมอนอกไซด์
- เล่นเสียงแบบหลายห้องด้วย AirPlay
- รองรับการจับคู่กับ HomePod mini อีกตัว เพื่อให้เสียงสเตอริโอ
- เซ็นเซอร์ อุณหภูมิและความชื้น
- การเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 802.11n, Bluetooth 5.0
- รองรับการค้นพบอุปกรณ์แบบ Peer-to-peer เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าใช้ได้ง่าย
- รองรับเทคโนโลยีระบบเครือข่าย Thread
- มีชิป Ultra Wideband เพื่อบอกความใกล้กับอุปกรณ์
- ความสูง 84.3 มิลลิเมตร ความกว้าง 97.9 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 345 กรัม
- มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีขาว, สีเหลือง, สีส้ม, สีน้ำเงิน และ สีเทาสเปซเกรย์
ดีไซน์
HomePod mini มีขนาดเล็กกว่า HomePod (รุ่นที่ 2) เกือบครึ่ง จึงสามารถพกพาและเคลื่อนย้ายได้สะดวกกว่า โดยมีความสูงเพียง 84.3 มิลลิเมตร วัสดุด้านนอกใช้ผ้าตาข่ายไร้รอยต่อ ผลิตจากพลาสติกที่ผ่านการรีไซเคิล 90% มีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีขาว, สีเหลือง, สีส้ม, สีน้ำเงิน และ สีเทาสเปซเกรย์ แต่มาพร้อมสายไฟในตัวที่ไม่สามารถถอดออกได้
ด้านบนมาพร้อมพื้นผิวสัมผัสวงกลมแบบเดียวกับ HomePod เครื่องใหญ่ รองรับการแตะหนึ่งครั้งเพื่อเล่น/หยุดพัก, แตะสองครั้งเพื่อข้ามไปข้างหน้า, แตะสามครั้งเพื่อข้ามไปข้างหลัง, แตะค้างไว้เพื่อเรียก Siri, แตะหรือแตะค้างไว้ที่เครื่องหมาย + หรือ – เพื่อเพิ่มหรือลดระดับเสียง
คุณภาพเสียงเกินตัว
ถึงแม้จะมีขนาดกะทัดรัดแต่ HomePod mini สามารถส่งมอบประสบการณ์ในการฟังเพลงแบบเต็มอิ่มชัดเจนทุกรายละเอียด ด้วยระบบเสียงที่ประมวลผลจากชิป Apple S5 ทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ขั้นสูงในการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของเพลง และถูกปรับจูนอย่างซับซ้อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ความดัง ปรับช่วงไดนามิก และควบคุมการเคลื่อนไหวของไดรเวอร์และลำโพง
ภายใน HomePod mini สามารถสร้างเสียงเบสแบบหนักแน่นและเสียงถี่สูงที่คมชัด ด้วยไดรเวอร์แบบ Full-range แม่เหล็กนีโอไดเนียมสุดพรีเมี่ยม และระบบ Passive Radiator คู่แบบตัดแรงสั่น อีกทั้งยังมีไกด์เวฟอะคูสติกที่ออกแบบโดย Apple ช่วยพาเสียงให้ไหลลงไปออกจากด้านล่างของลำโพง เพื่อสร้างประสบการณ์ด้านเสียงเสมือนจริงรอบด้านครบ 360 องศา
เช่นเดียวกับ HomePod ขนาดใหญ่ HomePod mini ก็สามารถจับคู่กับ HomePod mini อีกตัว เพื่อสร้างเสียงสเตอริโอได้เช่นกัน ช่วยให้การฟังเพลงเต็มอิ่มสมจริงขึ้นไปอีกขั้น และถ้าวาง HomePod mini ไว้หลายห้อง ก็สามารถเล่นเพลงเดียวกันที่ซิงค์ตรงกัน หรือจะเล่นเพลงแยกกันในแต่ละห้องได้
HomePod mini ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
HomePod mini มีความสามารถใกล้เคียงกับ HomePod (รุ่นที่ 2) รองรับการทำงานร่วมกับ Apple Music, Apple Podcasts, สถานีวิทยุหลายพันแห่ง รวมถึง Apple Music 1 และบริการสตรีมมิ่งเพลงอื่นๆ ที่ได้รับความนิยม เช่น Pandora, Deezer รวมถึงยังรองรับการเล่นคอนเทนต์ต่างๆ ที่แชร์มาจาก iPhone, iPad, iPod touch, Apple TV หรือ Mac ไปยัง HomePod mini ผ่าน AirPlay
Siri ใน HomePod mini สามารถจดจำเสียงสมาชิกในบ้านได้มากถึง 6 เสียง HomePod จึงเลือกเพลง และ Podcasts ให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละคนได้โดยอัตโนมัติ รวมไปถึงการช่วยเหลือตามคำขอต่างๆ ไม่ว่าจะอ่านข้อความ การแจ้งเตือน โน้ต และการนัดหมายในปฏิทิน รวมถึงต่อสายโทรศัพท์หรือรับสาย
ผู้ใช้งานยังสามารถถามว่า “หวัดดี Siri ฉันมีอัปเดตอะไรบ้าง” เพื่อรับฟังข่าวสารล่าสุด สภาพอากาศ การจราจร การแจ้งเตือน และนัดหมายในปฏิทิน จากคำขอเดียว
ผู้ใช้งานยังขอให้ Siri ใน HomePod mini เล่นเสียงเครื่องดนตรี สัตว์ หรือยานพาหนะต่างๆ ได้ และมีฟีเจอร์ Find My จึงสามารถขอให้ Siri ช่วยสั่งให้ iPhone, iPad, iPod touch, Mac, Apple Watch หรือ AirTag ส่งเสียงออกมา เพื่อทราบตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ ที่อาจหลงลืมไปว่าวางไว้ที่ไหน นอกจากนี้ HomePod mini ยังสามารถจับคู่กับ Apple TV 4K ได้เช่นเดียวกับ HomePod เครื่องใหญ่ เพื่อรับประสบการณ์แบบเต็มอิ่มไม่ผิดเพี้ยนทุกช่วงเสียง
ควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม
ผู้ใช้งาน HomePod mini สามารถควบคุมอุปกรณ์เสริมต่างๆ ด้านสมาร์ทโฮมได้ง่ายๆ แบบแฮนด์ฟรี เพียงขอความช่วยเหลือจาก Siri ไม่ว่าปิดไฟ เปลี่ยนอุณหภูมิ ล็อกประตู สร้างบรรยากาศ หรือควบคุมอุปกรณ์ตามเวลาแบบเจาะจง
HomePod mini ยังสามารถทำงานเป็นอินเตอร์คอม ช่วยให้ทุกคนในบ้านพูดคุยกันได้ง่ายและรวดเร็ว โดยสามารถส่งข้อความผ่านฟีเจอร์อินเตอร์คอมจาก HomePod mini เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องได้ แม้ว่าลำโพงอยู่คนละห้อง เพียงเชื่อมต่ออยู่ในเครือข่ายเดียวกัน
ฟีเจอร์อินเตอร์คอมยังสามารถทำงานได้บน iPhone, iPad, Apple Watch, AirPods และ CarPlay อีกด้วย เพื่อให้ทุกคนในบ้านได้รับการแจ้งเตือนของอินเตอร์คอม และส่งข้อความผ่านอินเตอร์คอมจากสนามหลังบ้าน ระหว่างทางกลับบ้าน หรือตอนอยู่นอกบ้านได้
HomePod ที่ดีที่สุดสำหรับ iPhone
ด้วยขนาดกะทัดรัด ทำให้ HomePod mini สามารถพกพาไปพร้อมกับ iPhone ได้อย่างสะดวกและคล่องตัว โดยเฉพาะ iPhone ที่มีชิป U1 (Ultra Wideband) จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่พิเศษขึ้นไปอีกขั้น เมื่อส่งผ่านเสียงจากอุปกรณ์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่อง เพราะจะมีเอฟเฟกต์ภาพ เสียง และการสั่น ที่ให้ความรู้สึกว่าอุปกรณ์ได้เชื่อมต่อกันจริงๆ
และถ้านำ iPhone มาไว้ใกล้ๆ ลำโพง HomePod mini ที่อยู่ในโหมดสแตนด์บายไม่ได้เล่นสิ่งใดอยู่ หน้าจอ iPhone จะปรากฏคำแนะนำแบบเฉพาะตัวบน iPhone พร้อมแสดงตัวควบคุมต่างๆ ที่ใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องปลดล็อก iPhone
สรุปราคาและการจำหน่าย
นี่คือ 5 ปีที่แฟน Apple ในไทยจะได้เป็นเจ้าของ HomePod หลังจากเปิดตัวและวางจำหน่ายนานหลายปีโดยจนมาถึง HomePod (รุ่นที่ 2) และ HomePod mini ซึ่งเป็นลำโพงไร้สายให้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, iPod touch, Mac, Apple TV ซึ่งให้เสียงที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจับคู่กับ HomePod อีกเครื่อง ก็สามารถสร้างเสียงที่เต็มอิ่มเหมือนระบบโฮมเธียเตอร์ แต่นอกเหนือจากนั้น HomePod ยังมีความฉลาดด้วยการติดตั้ง Siri มาให้ในตัว จึงสามารถให้ความช่วยเหลือจากคำสั่งเสียง รวมถึงขอให้ Siri ควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมได้อย่างสะดวกและง่ายดาย เรียกได้ว่าเป็นลำโพงอัจฉริยะที่เข้ากับระบบนิเวศของ Apple ได้อย่างยอดเยี่ยม และรองรับภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบ
ด้วยขนาดที่แตกต่างกัน ทำให้ HomePod (รุ่นที่ 2) สามารถติดตั้งลำโพงที่มีขนาดใหญ่กว่า ช่วยให้เสียงมีคุณภาพสูงกว่า และยังรองรับระบบเสียงตามตำแหน่ง Spatial Audio มีเซ็นเซอร์ที่สามารถรับรู้ตำแหน่งภายในห้อง จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการ HomePod ที่ดีที่สุด ขณะเดียวกัน HomePod mini ก็ให้คุณภาพเสียงที่ดีเกินตัว และยังพกพาได้อย่างสะดวก สามารถขอให้ Siri ควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมได้เช่นกัน รวมถึงมีเซ็นเซอร์อุณหภูมิและความชื้นแบบเดียวกับเครื่องใหญ่ การใช้งานโดยรวมจึงไม่เป็นรองมากนัก เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาลำโพงอัจฉริยะราคาไม่แพง และเข้ากันได้ดีกับ iPhone และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Apple
ทั้งนี้ HomePod จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างทางการในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป ในราคา 3,890 บาท สำหรับ HomePod mini และ ราคา 11,490 บาท สำหรับ HomePod (รุ่นที่ 2) พิเศษ!! สำหรับผู้ที่ซื้อ HomePod (รุ่นที่ 2) และ HomePod mini และยังไม่เคยเป็นสมาชิก Apple Music มาก่อน จะได้รับสิทธิ์ใช้บริการ Apple Music ฟรี!! 6 เดือน