Galaxy Fit3 สมาร์ทแบนด์รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Samsung พร้อมแล้วสำหรับการดูแลสุขภาพ และแนะนำการออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความฟิต ให้ชีวิตเฮลตี้ในทุกย่างก้าว ด้วยฟีเจอร์ติดตามการออกกำลังกายมากกว่า 100 โหมด พร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่าง Fall Detection (ตรวจจับการล้ม), Emergency SOS (ขอความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน) และ Find My Device (ค้นหาอุปกรณ์ได้ง่ายๆ) บนตัวเรือนที่บางลงกว่าเดิม 10% แต่จอใหญ่ขึ้นถึง 48% มาพร้อมสโลแกน “ใส่ความฟิตให้ชีวิตเฮลตี้”
สเปก Samsung Galaxy Fit3
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 1.6 นิ้ว
- วัสดุอะลูมิเนียม
- ความจำ RAM 16MB + ROM 256MB
- เซ็นเซอร์ Accelerometer, Gyro, Optical Heart Rate, Barometer, Light Sensor, SpO2
- ระบบปฏิบัติการ FreeRTOS
- การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3
- มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น 5 ATM + IP68
- แบตเตอรี่ 208mAh (ใช้งานได้ยาวนานถึง 13 วัน*)
- การชาร์จ POGO Pin + Magnetic
- ขนาดตัวเรือน 42.9 x 28.8 x 9.9 มิลลิเมตร (ไม่รวมสาย)
- น้ำหนัก 36.8 กรัม (รวมสาย)
ดีไซน์พรีเมียม ทนทานยิ่งขึ้น
Samsung Galaxy Fit3 ได้รับการออกแบบใหม่ ที่แตกต่างไปจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน โดย Galaxy Fit2 จะมีดีไซน์สมาร์ทแบนด์ ด้วยหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 1.1 นิ้ว แต่สำหรับ Galaxy Fit3 ถูกออกแบบให้มีขนาดจอแสดงผลกว้างและใหญ่ขึ้นถึง 48% ทำให้มีขนาดหน้าจอ 1.6 นิ้ว และบางลงกว่าเดิม 10%
วัสดุตัวเรือนของ Samsung Galaxy Fit3 ก็เปลี่ยนจากพลาสติกเป็นอะลูมิเนียม ให้ทั้งความพรีเมียมและทนทานมากขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนทำให้น้ำหนักเบาลง เพียง 18 กรัม เพิ่มความสบายให้กับข้อมือแม้สวมไว้ตลอดทั้งวัน และสวมใส่เพื่อติดตามสุขภาพการนอนได้โดยไม่รู้สึกเกะกะหรือรำคาญ
ด้านข้างตัวเรือนจะเผยให้เห็นกรอบอะลูมิเนียมที่สวยงาม มาพร้อมปุ่ม Home ส่วนรูที่อยู่ใกล้กันไม่ใช่ไมโครโฟน แต่เป็นเซ็นเซอร์ Barometer สำหรับวัดความกดอากาศ ซึ่งเกิดจากแรงดันของมวลอากาศที่อยู่รอบตัว
ด้านหลังมีพื้นผิวสีดำด้าน ตรงกึ่งกลางเป็นตำแหน่งเซ็นเซอร์ตรวจวัดสุขภาพ ขอบบนและขอบล่างมีปุ่มกดสำหรับปลดสายรัดข้อมือ จึงสามารถสลับเปลี่ยนสายได้อย่างง่ายดาย เพื่อเปลี่ยนสายให้เข้ากับสไตล์การแต่งตัวในแต่ละวัน
นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังไม่จำเป็นต้องถอด Galaxy Fit3 ออกจากข้อมือเมื่อต้องล้างมือหรือล้างหน้า รวมถึงว่ายน้ำ เนื่องจากได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ 5 ATM (ทนความดันน้ำระดับ 50 เมตร ในอุณหภูมิปกติได้เป็นเวลา 10 นาที) และ IP68 (กันฝุ่นละออง สิ่งสกปรก และทราย และสามารถทนน้ำลึกได้ถึง 1.5 เมตร ด้วยอุณหภูมิและความดันปกติเป็นเวลา 30 นาที )
จอแสดงผลใหญ่กว่าเดิม
Samsung Galaxy Fit3 ใช้กระจกหน้าจอโค้ง 2.5D มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED สีสันสดใส 16 ล้านสี ความละเอียด 256 x 402 พิกเซล ขนาด 1.6 นิ้ว (ขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนถึง 48%) ความหนาแน่นของพิกเซล 302 PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) จึงมีพื้นที่แสดงข้อมูลต่างๆ ได้มากกว่า และสัมผัสได้แม่นยำมากขึ้น
ผู้ใช้งาน Samsung Galaxy Fit3 ยังสามารถเปลี่ยนหน้าปัด หรือ Watch Face ได้ง่ายๆ เพียงแตะบน Watch Face ค้างไว้ จนหน้าปัดแสดงภาพในขนาดย่อ ก็สามารถปัดนิ้วเพื่อเปลี่ยน Watch Face ได้ทันที และสามารถเพิ่ม Watch Faceได้จากแอป Galaxy Wearable ในสมาร์ทโฟนที่จับคู่กัน อย่างไรก็ตาม Watch Face แบบ World Clock ไม่รองรับสมาร์ทโฟนที่ไม่ใช่ของ Samsung
ติดตามการออกกำลังกายได้มากกว่า 100 โหมด
Samsung Galaxy Fit3 พร้อมดูแลสุขภาพทันทีเพียงสวมไว้ที่ข้อมือ แล้วใช้ชีวิตตามปกติในแต่ละวัน โดยเซ็นเซอร์ด้านหลังตัวเรือนจะคอยตรวจจับและบันทึกข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้งานตรวจสอบได้ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นนับจำนวนก้าว, วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดระดับออกซิเจนในเลือด รวมถึง วัดระดับความเครียด และถ้าสวมใส่ตลอดทั้งคืน ก็สามารถวัดคุณภาพการนอนหลับได้อีกด้วย เรียกได้ว่า Galaxy Fit3 จะคอยติดตามสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมงที่สวมไว้
ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูลสุขภาพประจำวันได้ง่ายๆ เพียงปัดนิ้วขึ้น แตะเข้าไปที่ Samsung Health > Daily activity ซึ่งจะแสดงจำนวนก้าวเท้าในแต่ละวัน เวลาที่เคลื่อนไหวร่างกาย และ ปริมาณแคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญ โดยสามารถเลื่อนหน้าจอขึ้นเพื่อดูข้อมูลทั้งหมดแบบละเอียด
นอกจากบอกจำนวนก้าว เมื่อเข้าไปที่ Samsung Health > Steps จะบอกระยะทางที่เดินในแต่ละวัน และเมื่อเลื่อนหน้าจอลงมาอีก ก็จะพบกับปริมาณแคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญ และสถิติของวันที่ผ่านมา
ถึงแม้ผู้ใช้งานอาจจะไม่ใช่คนที่ใส่ใจสุขภาพเท่าไร แต่การที่ซื้อ Galaxy Fit3 มาสวมไว้ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว เพราะทุกครั้งที่มีการตรวจสอบข้อมูลสุขภาพต่างๆ จะเกิดแรงผลักดันให้ผู้ใช้งานหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น เพื่อทำให้สถิติต่างๆ ดีกว่าเดิม เช่นตั้งเป้าหมายการก้าวเดินให้มากกว่าเมื่อวานไปจนถึงการใช้ Galaxy Fit3 เพื่อติดตามการออกกำลังกาย
Samsung Galaxy Fit3 สามารถติดตามการออกกำลังกายได้มากถึง 101 โหมด (ครอบคลุมมากกว่า Galaxy Fit2 ที่รองรับประมาณ 90 โหมด) โดยเข้าไปที่ Samsung Health > Exercise หรือกดปุ่ม Home ติดตั้ง 2 ครั้ง ก็จะพบกับโหมดการออกกำลังกายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน, วิ่ง, ปั่นจักรยาน, แบดมินตัน, วิ่งแบบ Running coach, วิ่งแบบ Track run, เดินป่า, ว่ายน้ำ รวมถึงใช้เครื่องออกกำลังกายตามฟิตเนส และยังสามารถติดตามการเล่นกีฬาได้อีกมากมายหลายประเภท รับรองว่าครอบคลุมทุกชนิดกีฬาที่ได้รับความนิยมของคนส่วนใหญ่
และยังติดตามการออกกำลังกายได้อัตโนมัติถึง 6 โหมด ได้แก่ การเดิน, การวิ่ง, การออกกำลังกายด้วยเครื่องเดินวงรี (Elliptical), การออกกำลังกายด้วยเครื่องกรรเชียงบก (Rowing Machine), การว่ายน้ำ, และ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Dynamic Workout)
สุขภาพดีเริ่มต้นที่การนอน
ด้วยดีไซน์ที่บางเบากว่าเดิม ทำให้ผู้ใช้งาน Samsung Galaxy Fit3 สามารถสวมใส่ระหว่างนอนหลับได้อย่างสะดวกสบาย ส่งผลให้นอนหลับได้เต็มอิ่มมากขึ้น และผู้ใช้ Samsung Galaxy Fit3 สามารถติดตามการนอนหลับได้จาก Samsung Health > Sleep ซึ่งจะบอกระยะเวลาของการนอนหลับ รวมถึงช่วงเวลาตั้งแต่เริ่มเข้านอนจนถึงตื่นนอน
Samsung Galaxy Fit3 ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการนอนหลับในทุกระยะ พร้อมบันทึกข้อมูลที่สำคัญระหว่างการนอน เช่น วัดระดับออกซิเจนในเลือดขณะนอนหลับ บันทึกเสียงการกรน เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์การนอนหลับ และประมวลผลออกมาเป็น Final Report เพื่อตรวจสอบรายละเอียดการนอนหลับในช่วงเวลาต่างๆ ได้อย่างละเอียด
ตรวจจับการล้ม และขอความช่วยเหลือด่วน
Fall Detection หรือ ตรวจจับการล้ม เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน Samsung Galaxy Fit3 ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีความสำคัญอย่างมาก สำหรับผู้สูงอายุ เมื่อ Galaxy Fit3 พบว่าผู้สวมใส่ล้มลง จะแจ้งเตือนเพื่อถามว่าต้องการบริการฉุกเฉินหรือไม่ โดยสามารถเลือกเงื่อนไขตรวจจับการล้มได้ดังนี้ Always (ตลอดเวลา), During physical activity (ระหว่างการทำกิจกรรมต่างๆ) และ Only during workouts (เฉพาะเวลาออกกำลังกายเท่านั้น)
Samsung Galaxy Fit3 ยังมีฟีเจอร์ขอความช่วยเหลือด่วน (Emergency SOS) เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ผู้ใช้งาน Galaxy Fit3 สามารถขอความช่วยเหลือได้ทันท่วงที เพียงกดปุ่ม Home ติดกัน 5 ครั้ง เพื่อส่งข้อความขอความช่วยเหลือ และที่อยู่จะถูกส่งไปยังรายชื่อผู้ติดต่อฉุกเฉินทันที สำหรับทีมฉุกเฉินสามารถตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์ที่ลงทะเบียนไว้ได้บนหน้าจอ
ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น
นอกจากการดูแลสุขภาพ Samsung Galaxy Fit3 ยังมีฟีเจอร์อีกมากมายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และช่วยให้การใช้ชีวิตได้รับความสะดวกสบายขึ้น โดยเฉพาะผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Galaxy ของ Samsung สามารถใช้ Galaxy Fit3 เป็นรีโมทถ่ายภาพ (Camera Remote) สั่งถ่ายภาพจากระยะไกลได้ภายใต้การเชื่อมต่อ Bluetooth และสามารถตั้งเวลาถ่ายภาพล่วงหน้าได้นานสุด 10 วินาที
Samsung Galaxy Fit3 สามารถใช้ควบคุมการเล่นเพลงบนสมาร์ทโฟน Galaxy ที่จับคู่กันได้ ไม่ว่าจะเล่น, หยุด, ย้อนกลับ, ถัดไป รวมถึงปรับระดับเสียง
Find My Device เป็นอีกฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาสมาร์ทโฟนที่จับคู่กันได้ และในทางกลับกัน ก็สามารถใช้สมาร์ทโฟนค้นหา Galaxy Fit3 ได้เช่นกัน เมื่อใช้ Galaxy Fit3 ค้นหาสมาร์ทโฟน สมาร์ทโฟนก็จะส่งเสียงดังและสั่น และถ้าใช้ค้นหา Galaxy Fit3 ผ่านสมาร์ทโฟน Galaxy Fit3 ก็จะสั่น
นอกจากนี้ Samsung Galaxy Fit3 ยังสามารถตรวจสอบการโทรเข้าและข้อความเข้าของสมาร์ทโฟนที่จับคู่ได้ เมื่อมีสายโทรเข้าแต่ไม่สะดวกรับสาย สามารถปัดขึ้นเพื่อวางสาย และตอบกลับด้วยข้อความอัตโนมัติหรือข้อความที่ตั้งค่าไว้ หรือกรณีที่ได้รับข้อความ ก็สามารถตอบกลับได้ทันที ด้วยข้อความอัตโนมัติหรือข้อความที่ตั้งค่าไว้ได้เช่นกัน
ใช้งานยาวนานถึง 13 วัน
Samsung Galaxy Fit3 ได้รับความจุแบตเตอรี่ 208mAh ซึ่งมีความจุใหญ่ขึ้นราว 30% เมื่อเทียบกับความจุแบตเตอรี่ของ Galaxy Fit2 ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 13 วัน** และมาพร้อมแท่นชาร์จแบบแม่เหล็ก เชื่อมต่อกันด้วย POGO Pin ชาร์จได้ถึง 65% ภายในเวลาแค่ 30 นาที โดยสายชาร์จที่แถมมาในกล่องเป็นแบบ USB-C สามารถนำมาเสียบสายชาร์จกับสมาร์ตโฟนที่ใช้งานด้วยได้เลย สะดวกอย่างมาก
สรุปราคาและการวางจำหน่าย
เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน จะพบว่า Samsung Galaxy Fit3 ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีดีไซน์ที่ลงตัวมากขึ้น ไม่เพียงแต่ขยายหน้าจอ แต่ยังมีดีไซน์ที่บางเบากว่าเดิม ทำให้การอ่านข้อมูลต่างๆ บนหน้าจอรวมถึงการสัมผัสได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น และยังสวมใส่ได้สบายมากขึ้น โดยใช้วัสดุอะลูมิเนียมที่ให้ความพรีเมียมและทนทานมากขึ้น อีกทั้งยังป้องกันน้ำได้ในระดับ 5ATM / IP68 และสามารถเปลี่ยนสายรัดข้อมือได้สะดวก โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือช่วย
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ Galaxy Fit3 เพียบพร้อมไปด้วยฟีเจอร์ติดตามสุขภาพ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานอย่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดระดับออกซิเจนในเลือด, วัดระดับความเครียด, ตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับ, ติดตามประจำเดือน, มีโหมดการออกกำลังกาย 101 โหมด (ตรวจจับการออกกำลังกายแบบอัตโนมัติ 6 โหมด) นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ใหม่ ตรวจจับการล้ม และ ขอความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน ซึ่งสามารถช่วยชีวิตผู้ใช้งานเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานกับ Android สมาร์ตโฟนอื่นๆ ได้ ยกเว้น Camera Remote โดยต้องโหลดแอป Samsung Health และ Galaxy Wearable ลงเครื่องจึงจะเชื่อมต่อโหมดต่างๆ ได้
สรุปแล้ว Samsung Galaxy Fit3 เป็นสมาร์ทแบนด์ที่มีดีไซน์ใหม่จนดูคล้ายสมาร์ทวอทช์ และยังมีฟีเจอร์ดูแลสุขภาพครบครัน บางฟีเจอร์ยังพบได้ในสมาร์ทวอทช์ราคาแพง แต่ Galaxy Fit3 มาในราคาเพียง 1,990 บาท จึงเป็นสมาร์ทแบนด์ที่คุ้มค่าสำหรับการอัปเกรดจากสมาร์ทแบนด์รุ่นเก่า รวมถึงผู้ใช้งานที่เริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ
Samsung Galaxy Fit3 เริ่มวางจำหน่ายในไทยแล้ว ราคา 1,990 บาท มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Gray, Silver, และ Pink Gold จับจองได้ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ samsung.com และ Samsung Official Store บน Shopee และ Lazada หรือหน้าร้านที่ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการ
*อายุการใช้งานแบตเตอรี่อิงตามการทดสอบในห้องปฏิบัติการภายในที่ดำเนินการโดย Samsung ภายใต้สถานการณ์ของรูปแบบการใช้งานทั่วไป โดยที่ Galaxy Fit3 เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน Galaxy ผ่าน Bluetooth รวมถึงการแจ้งเตือน 52 รายการ, การตรวจดูข้อความนาน 4 นาที, การตรวจดูเวลานาน 9 นาที และการออกกำลังกายนาน 30 นาทีในช่วงรอบระยะเวลา 24 ชั่วโมง
(ค่านี้เป็นค่าจำลองของการใช้แบตเตอรี่รวมทั้งสิ้นที่วัดโดยการวิเคราะห์รูปแบบการใช้งานปกติและที่จำเป็นในปัจจุบันสำหรับแต่ละฟังก์ชันในช่วงระยะเวลาของฟังก์ชันนั้นๆ ผ่านการทดสอบด้วยผลลัพธ์จากอุปกรณ์รุ่นที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ อายุการใช้งานจริงของแบตเตอรี่อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานะการเชื่อมต่อ Bluetooth, การกำหนดค่า, การตั้งค่า, ความแรงของสัญญาณ, เสียงดังรอบตัว, การใช้งานและสภาพของอุปกรณ์ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย)
**การทดสอบการชาร์จเป็นเวลา 30 นาทีที่ดำเนินการโดย Samsung โดยใช้ Galaxy Fit3 รุ่นก่อนเปิดตัว, อุปกรณ์ทั้งหมดผ่านการทดสอบแบตเตอรี่ที่คลายประจุออกจนหมดโดยใช้ซอฟต์แวร์รุ่นก่อนเปิดตัว, สายชาร์จแบบแม่เหล็ก Galaxy Fit3 USB C ในกล่อง และ Samsung 25W USB C Power Adapter (EP-TA800) ปริมาณการชาร์จแบตเตอรี่จะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค การตั้งค่า รูปแบบการใช้งาน และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมต่างๆ ผลลัพธ์จริงที่ได้อาจแตกต่างกันไป