Xiaomi เริ่มต้นปี 2024 ด้วยการเปิดตัวสมาร์ตโฟน Redmi Note 13 Series ในไทยพร้อมกัน 3 รุ่น ได้แก่ Redmi Note 13 Pro+ 5G, Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 โดยมาพร้อมสโลแกน “Every shot iconic – โดดเด่นในทุกช็อต” ด้วยกล้อง 200 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS ที่พบใน Redmi Note 13 Pro+ 5G ขณะที่ Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 ได้รับกล้อง 108 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ Redmi Note 13 Series ยังมีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้าง? ทีมงาน @Flashfly พร้อมรีวิวให้ชมแล้ว
แกะกล่อง Redmi Note 13 Series
Redmi Note 13 Pro+ 5G, Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 ถูกบรรจุมาในกล่องสีขาว หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพสมาร์ตโฟนแต่ละรุ่นไว้อย่างชัดเจน เผยให้เห็นดีไซน์ด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมระบุชื่อรุ่นไว้ใต้ภาพ
หลังจากเปิดฝากล่องขึ้นมา จะพบกับซองเอกสารสีขาวที่มีข้อความ Redmi by Xiaomi เมื่อแกะซองออกจะพบเข็มช่วยถอดช่องใส่ซิมการ์ด, คู่มือ, ใบรับประกัน และ แถมเคสสีเทามาให้เหมือนกันทั้ง 3 รุ่น
ใต้ซองเอกสารเป็นชั้นวางสมาร์ตโฟน Redmi Note 13 Series ซึ่งถูกเก็บไว้ในซองใส่ พร้อมบอกจุดเด่นของแต่ละรุ่น
ชั้นล่างสุดเป็นช่องเก็บสายชาร์จ และ หัวชาร์จ โดยในกล่องของ Redmi Note 13 Pro+ 5G แถมหัวชาร์จ 120W ส่วนในกล่อง Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 ให้หัวชาร์จ 33W
Redmi Note 13 Pro+ 5G
Redmi Note 13 Pro+ 5G เป็นรุ่นไฮเอนด์ของ Redmi Note 13 Series โดดเด่นที่กล้องหลักความละเอียดสูง 200 ล้านพิกเซล มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS จอแสดงผลคมชัด AMOLED ขอบจอโค้ง ความละเอียด 1.5K ให้อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz ใช้ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7200-Ultra แบตเตอรี่ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 120W HyperCharge และได้รับการออกแบบมาให้ป้องกันฝุ่นและน้ำตามมาตรฐาน IP68
สเปก Redmi Note 13 Pro+ 5G
- จอแสดงผล CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว อัตรารีเฟรช 120Hz
- กล้องหลัง 200 + 8 + 2 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7200-Ultra
- ความจำ RAM 8GB / 12GB (LPDDR5) + ROM 256GB / 512GB (UFS 3.1)
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor)
- สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อค (AI Face Unlock)
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.3, IR Blaster, NFC, USB-C
- ลำโพงคู่ รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
- ระบบปฏิบัติการ MIUI 14 บนพื้นฐาน Android 13
- ได้รับมาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP68
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 120W HyperCharge
- ขนาดตัวเครื่อง 161.4 x 74.2 x 8.9 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 204.5 กรัม
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Moonlight White และ Aurora Purple
ดีไซน์พรีเมียม
Redmi Note 13 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนระดับกลาง แต่ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามพรีเมียมเทียบเท่าสมาร์ตโฟนเรือธง โดยมาพร้อมจอแสดงผลแบบขอบโค้ง ทำให้มีกรอบหน้าจอที่บางเฉียบ ให้มุมมองที่เต็มตาสำหรับการรับชมคอนเท้นต์ต่างๆ
นอกเหนือจากดีไซน์ที่พรีเมียมระดับเรือธง Redmi Note 13 Pro+ 5G ยังมีความทนทานด้วยการปรับปรุงโครงสร้างตัวเครื่องให้ป้องกันฝุ่นและน้ำตามมาตรฐานระดับ IP68 และปกป้องจอแสดงผลด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus
Redmi Note 13 Pro+ 5G ผลิตออกมาให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Moonlight White และ Aurora Purple โดยทีมงาน @Flashfly ได้รับสี Aurora Purple มารีวิว ซึ่งเป็นเฉดสีม่วงอ่อนแบบพาสเทล
ด้านหน้ามาพร้อมจอแสดงผล CrystalRes AMOLED ขอบจอโค้ง ความละเอียด 1.5K ขนาด 6.67 นิ้ว ตรงกึ่งกลางส่วนบนถูกเจาะหลุมสำหรับติดตั้งกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล และซ่อนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอ
ด้านหลังมีกล้อง 3 ตัว พร้อมแฟลช LED แบบคู่ วางอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมที่มีลวดลายสไตล์ Color Block ใช้สีสันแตกต่างกันบนพื้นผิว
ขอบด้านข้างมีความบาง 8.9 มิลลิเมตร วางปุ่มปรับระดับเสียงไว้เหนือปุ่มเพาเวอร์
มุมมองด้านพบรูไมโครโฟน, ลำโพง และ เซ็นเซอร์ IR Blaster
ด้านล่างมีลำโพง, พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C, ไมโครโฟน และ ถาดใส่ซิมการ์ด
จัดเต็มทั้งภาพและเสียง
Redmi Note 13 Pro+ 5G ได้รับจอแสดงผล CrystalRes AMOLED แบบเดียวกับที่เคยใช้กับเรือธง Xiaomi 13T Pro โดยมีความละเอียด 1.5K (2712 x 1220 พิกเซล) ขนาด 6.67 นิ้ว ให้สีสันคมชัดสมจริงด้วยความลึกสี 12-bit อัตราส่วนคอนทราสต์: 5,000,000:1 ขอบเขตสีกว้าง DCI-P3 ความสว่างสูงสุด 1800 นิต
จอแสดงผลของ Redmi Note 13 Pro+ 5G สามารถตอบสนองการสัมผัสได้อย่างแม่นยำและลื่นไหลด้วยอัตรารีเฟรช AdaptiveSync 120Hz ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอัตราการตอบสนองการสัมผัสทันทีที่ 2160Hz และเทคโนโลยีสัมผัสความละเอียดสูงพิเศษ 16 เท่า ในโหมด Game Turbo ที่ให้การตอบสนองได้อย่างแม่นยำ
ไม่เพียงแต่ให้สีสันที่คมชัด จอแสดงผลของ Redmi Note 13 Pro+ 5G ยังช่วยถนอมสายตาด้วยเทคโนโลยีปรับลดแสง PWM (Pulse Width Modulation) ที่ความถี่สูงสุด 1920Hz สามารถปรับความสว่างได้ถึง 16,000 ระดับ อีกทั้งยังผ่านการรับรองจาก TÜV Rheinland ในด้านปราศจากการกระพริบ (Flicker Free), แสงสีฟ้าต่ำ (Low Blue Light) และการเป็นมิตรทางชีวภาพตลอดทั้งวันกับผู้ใช้งาน (Circadian Friendly)
นอกจากนี้ Redmi Note 13 Pro+ 5G ยังมาพร้อมลำโพงคู่ และเทคโนโลยีเสียง Dolby Atmos ให้ประสบการณ์เสียงรอบทิศทาง รวมถึงสนับสนุน Dolby Vision ทำให้ Redmi Note 13 Pro+ 5G ตอบสนองความบันเทิงได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งภาพและเสียง
กล้องหลัก 200MP + OIS
สมาร์ตโฟน Redmi Note 13 Series ชูสโลแกน “Every shot iconic – โดดเด่นในทุกช็อต” ทำให้การถ่ายภาพเป็นอีกจุดเด่นของ Redmi Note 13 Pro+ 5G โดยเฉพาะกล้องหลักความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization) และยกระดับการถ่ายภาพให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้นด้วยตัวเลือกการปรับแต่งภาพที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ฟิลเตอร์ filmCamera ใหม่ล่าสุด เฟรมภาพแบบ Art และเอฟเฟกต์ AI bokeh
- กล้องหลัก 200 ล้านพิกเซล ขนาดเซนเซอร์ 1/1.4″ รูรับแสง f/1.65 เลนส์ 7P
- กล้อง Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- กล้อง Macro 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
กล้องหลัก 200 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HP3 ที่มีเทคโนโลยี Pixel-binning ขั้นสูง Tetra2pixel ช่วยทำให้ภาพถ่ายในที่แสงน้อยสว่างและคมชัด อีกทั้งยังใช้เลนส์ 7P พร้อม Atomic Layer Deposition (ALD) ช่วยลดแสงแฟลร์และภาพซ้อนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถซูมได้อย่างคมชัด 2 และ 4 เท่า แบบ In-sensor
นอกจากฮาร์ดแวร์ของกล้องมีคุณภาพสูง ระบบกล้องหลังของ Redmi Note 13 Pro+ 5G ยังนี้ทำงานร่วมกับระบบการประมวลภาพใหม่ Xiaomi Imaging Engine และจอแสดงผลที่รองรับขอบเขตสี P3 แบบ end-to-end ที่มีพื้นที่สีที่กว้างกว่ามาตรฐาน sRGB ทำให้ผู้ใช้งานสามารถดูรายละเอียดภาพถ่ายบนจอแสดงผลได้อย่างคมชัดสมจริง
เมื่อเข้ามาในแอปกล้องของ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะพบกับโหมดถ่ายภาพ Documents, 200MP, Video, Photo, Portrait, Night, Pro, Panorama, Short film, Slow motion, Time-lapse และ Long exposure
โหมด Photo สำหรับถ่ายภาพทั่วไป สามารถซูมได้ตั้งแต่ระยะ 0.6x ซึ่งเป็นการเปิดใช้งานกล้อง Ultra Wide และสามารถขยายได้สูงสุด 10x ส่วนการถ่ายภาพในโหมด 200MP จะซูมได้ 2x
โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคลให้โดดเด่น สามารถปรับค่า F เพื่อละลายหรือเบลอพื้นหลังได้ตามความต้องการ โหมด Night สำหรับถ่ายภาพในเวลากลางคืนหรือในที่แสงน้อย สามารถซูมได้ที่ระยะ 0.6x, 1x ถึง 2x
โหมด Video รองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที โดยมีจุดเด่นที่ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS ทำให้ภาพเคลื่อนไหวนุ่มนวลมากขึ้น เมื่อถ่ายวิดีโอขณะเดิน
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์การถ่ายภาพเพิ่มเติม เมื่อแตะที่ปุ่มลูกศรชี้ลงบนแถบเครื่องมือด้านบน อย่างโหมด Macro ก็ถูกซ่อนไว้ในนี้ รวมถึงฟีเจอร์สำคัญต่างๆดังนี้ HDR, AI camera, Timer, Tilt-shift, Timed burst, Assist cam, Watermark, Voice shutter, Gridlines, Aspect ratio และ Flash
กล้องหน้า 16MP Selfie Camera
Redmi Note 13 Pro+ 5G ได้รับกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล ซ่อนไว้ในหลุมบนหน้าจอ รองรับโหมดถ่ายภาพ Photo มีฟีเจอร์ Beautify ได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นความเนียนของผิว แก้มหรือโครงหน้า ขนาดดวงตา เป็นต้น โหมดถ่ายภาพ Portrait สามารถเบลอพื้นหลังได้ ปรับ Beautify เพิ่ม Filters ได้ ขณะที่โหมด Night ของกล้องหน้า ก็สามารถปรับ Beautify ได้อย่างละเอียดเช่นกัน สำหรับการถ่ายวิดีโอ มีความละเอียดสูงสุด FHD 1080p ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที
ตัวอย่างภาพถ่าย
ปชิป Dimensity 7200-Ultra
Redmi Note 13 Pro+ 5G ใช้ชิปประมวลผล Dimensity 7200-Ultra ของ MediaTek ถูกสร้างขึ้นบนกระบวนการผลิตขนาด 4 นาโนเมตร ประกอบด้วย CPU ความเร็วสูงสุด 2.8GHz และ GPU เป็น Mali-G610 ด้านความจำมี 2 ตัวเลือก ได้แก่ RAM 8GB + ROM 256GB และ RAM 12GB + ROM 512GB โดยใช้มาตรฐาน RAM แบบ LPDDR5 และ ROM แบบ UFS 3.1 โดยตัวเครื่องยังรองรับ Memory extension เพิ่มแรมได้สูงสุดอีก 8GB
ผลทดสอบประสิทธิภาพของ Redmi Note 13 Pro+ 5G ผ่านแอปพลิเคชัน AnTuTu ทำได้ 721,398 คะแนน ในส่วนของ CPU ได้รับ 223,139 คะแนน, GPU ได้รับ 181,053 คะแนน, Memory ได้รับ 150,261 คะแนน และ UX ได้รับ 166,945 คะแนน
120W HyperCharge
อีกจุดเด่นของ Redmi Note 13 Pro+ 5G คือสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 120W HyperCharge สามารถชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% ภายในเวลาเพียง 19 นาที ผ่านสาย USB-C และแถมอุปกรณ์ชาร์จเร็ว 120W Power Adapter มาให้แล้วในกล่อง
Redmi Note 13 Pro+ 5G ยังมีความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh สามารถสแตนด์บายได้ยาวนานถึง 21 วัน / สนทนาได้นานต่อเนื่อง 33 ชั่วโมง / ดูวิดีโอนานสูงสุด 19 ชั่วโมง / เล่นเพลงผ่านชุดหูฟังยาวนาน 2.5 วัน
Redmi Note 13 5G
Redmi Note 13 5G เป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางที่น่าสนใจอีกหนึ่งรุ่น ที่ได้รับกล้องหลัง 3 ตัว นำโดยกล้องหลักความละเอียดสูง 108 ล้านพิกเซล มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ให้สีสันสวยงาม รองรับอัตรารีเฟรช 120Hz ดีไซน์กรอบจอบางแบบฉบับเรือธง อีกทั้งยังรองรับ 5G ให้การเชื่อมต่อไร้สายมีประสิทธิภาพในทุกๆ ที่ สนับสนุนชาร์จเร็ว 33W และตอบโจทย์ด้านความบันเทิงด้วยลำโพงทรงพลัง
สเปก Redmi Note 13 5G
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว อัตรารีเฟรช 120Hz
- กล้องหลัง 108 + 8 + 2 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 6080
- ความจำ RAM 8GB / 12GB (LPDDR4X) + ROM 256GB / 512GB (UFS 2.2)
- สนับสนุนการ์ด microSD สูงสุด 1TB
- สแกนนิ้วด้านข้าง (Side-Mounted Fingerprint Scanner)
- สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อค (AI Face Unlock)
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi, Bluetooth 5.3, IR Blaster, NFC, USB-C, 3.5mm headphone jack
- รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
- ระบบปฏิบัติการ MIUI 14 บนพื้นฐาน Android 13
- ได้รับมาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP54
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 33W
- ขนาดตัวเครื่อง 161.11 x 74.95 x 7.6 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 174.5 กรัม
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Graphite Black, Ocean Teal และ Arctic White
ดีไซน์สวยงามเป็นเอกลักษณ์
ดีไซน์ของ Redmi Note 13 5G ยังไม่ฉีกไปจาก Redmi Note 13 Pro+ 5G มากนัก โดยเฉพาะมุมมองด้านหน้าที่มีกรอบหน้าจอบางเฉียบ และยังเจาะหลุมไว้ตรงกึ่งกลางสำหรับซ่อนกล้องหน้า ซึ่งให้ความรู้สึกพรีเมียม มอบประสบการณ์การรับชมที่เต็มอิ่ม และยังมีได้รับมาตรฐานการป้องกันฝุ่นและน้ำกระเซ็นที่ระดับ IP54 ตัวเครื่องผลิตออกมาทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Graphite Black, Arctic White และสีที่ทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิว เรียกว่าสี Ocean Teal คล้ายกับสีเขียวมรกตในมหาสมุทร
มุมมองด้านหน้า มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ความละเอียด Full HD+ ขนาด 6.67 นิ้ว ตรงกึ่งกลางส่วนบนถูกเจาะหลุมสำหรับติดตั้งกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล และได้รับการป้องกันด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5 ที่มีความทนทานต่อการตกหล่นและรอยขีดข่วน
ด้านหลังวางกล้อง 3 ตัว พร้อมแฟลช LED ไว้บนกรอบสี่เหลี่ยมที่ถูกยกระดับขึ้นมาจากพื้นผิวของฝาหลัง
ส่วนขอบด้านข้างมีความบาง 7.6 มิลลิเมตร ติดตั้งปุ่มปรับระดับเสียง ไว้เหนือปุ่มเพาเวอร์ พร้อมฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ในปุ่มเพาเวอร์ด้วย แตกต่างจาก Redmi Note 13 Pro+ 5G ที่ซ่อนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้จอแสดงผล
อีกข้างมีถาดใส่ซิมการ์ด 2 ช่อง แบบไฮบริด หมายความว่า ช่องที่ 2 ต้องเลือกใส่ระหว่างซิมการ์ดหรือการ์ด microSD
ด้านบนมีรูไมโครโฟนตัวที่ 2, เซ็นเซอร์ IR Blaster และ ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ด้านล่างมีลำโพง, พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C และ ไมโครโฟนตัวหลัก
จอแสดงผล 120Hz AMOLED
Redmi Note 13 5G มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล ขนาด 6.67 นิ้ว ให้ความสว่างสูงสุด 1,000 นิต อัตราส่วนคอนทราสต์ 5,000,000:1 ขอบเขตสีกว้าง DCI-P3 และรองรับอัตรารีเฟรช AdaptiveSync 120Hz
จอแสดงผลของ Redmi Note 13 5G ยังมีเทคโนโลยีปรับลดแสง PWM (Pulse Width Modulation) ที่ความถี่สูงสุด 1920Hz ช่วยถนอมดวงตาเพื่อให้สามารถรับชมได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น และผ่านการรับรองจาก TÜV Rheinland ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ปราศจากการกระพริบ (Flicker Free), แสงสีฟ้าต่ำ (Low Blue Light) และการเป็นมิตรทางชีวภาพตลอดทั้งวันกับผู้ใช้งาน (Circadian Friendly)
กล้องหลัง 108MP Triple Camera
Redmi Note 13 5G วางกล้องหลัง 3 ตัว คล้ายกับที่พบใน Redmi Note 13 Pro+ 5G แต่มีกล้องหลักที่ต่างออกไป โดยได้รับกล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล พร้อมระบบซูม 3 เท่า แบบ In-sensor อย่างไรก็ตาม Redmi Note 13 5G ยังคงมีระบบการประมวลภาพ Xiaomi Imaging Engine รวมถึงความสามารถในการปรับแต่งภาพด้วยฟิลเตอร์กล้องฟิล์ม (filmCamera filters) ที่มีให้เลือกมากมายหลายแบบ
- กล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7
- กล้องหลัก Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- กล้องหลัก Macro 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
เปิดเข้ามาในแอปกล้องของ Redmi Note 13 5G จะพบกับโหมดถ่ายภาพ Documents, 108MP, Video, Photo, Portrait, Night, Pro, Short video, Panorama, Slow motion และ Time-lapse
โหมด Photo สามารถซูมได้ตั้งแต่ระยะ 0.6x ซึ่งเป็นการเปิดใช้งานกล้อง Ultra Wide และสามารถขยายได้สูงสุด 10x สำหรับฟีเจอร์ Beautify (ปรับแต่งใบหน้าให้ดูดีขึ้น) และ Filters (เพิ่มโทนสีหรือเปลี่ยนอารมณ์ภาพถ่าย) เปิดใช้งานได้ที่ไอคอนมุมล่างขวา ส่วนการถ่ายภาพในโหมด 108MP จะซูมได้ 2x
โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคลให้โดดเด่น สามารถปรับค่า F เพื่อละลายหรือเบลอพื้นหลังได้ตามความต้องการ และใส่ Filters เพิ่มได้ โหมด Night สำหรับถ่ายภาพในเวลากลางคืนหรือในที่แสงน้อย สามารถซูมได้ในช่วง 1x ถึง 10x
โหมด Video สามารถซูมได้ในช่วง 0.6x ถึง 6x รองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุด Full HD 1080p ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที
กล้องหน้า 16MP Selfie Camera
Redmi Note 13 5G มาพร้อมกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล รองรับโหมดถ่ายภาพ Photo ที่สามารถปรับ Beautify เพิ่ม Filters ได้เหมือนกล้องหลัง รองรับโหมดถ่ายภาพ Portrait ปรับความเบลอพื้นหลังและใส่ Filters เพิ่มได้ สำหรับการถ่ายวิดีโอ มีความละเอียดสูงสุด Full HD 1080p ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที
ตัวอย่างภาพถ่าย
ชิป Dimensity 6080
Redmi Note 13 5G ตอบสนองการใช้งานและเล่นเกมด้วย Dimensity 6080 ชิปเซ็ต 5G เกมมิ่งจาก MediaTek ผลิตด้วยที่เทคโนโลยี N6 (6 นาโนเมตร) ของ TSMC ประกอบด้วย CPU แบบ 64-bit Octa Core (Arm Cortex-A76 ความเร็วสูงสุด 2.4GHz 2-core + Arm Cortex-A55 ความเร็วสูงสุด 2GHz 6-Core) และ GPU เป็น Mali-G57
ด้านความจำ Redmi Note 13 5G มี 2 ตัวเลือก ได้แก่ RAM 8GB + ROM 256GB และ RAM 12GB + ROM 512GB โดยใช้มาตรฐาน RAM แบบ LPDDR4X และ ROM แบบ UFS 2.2
ผลทดสอบประสิทธิภาพของ Redmi Note 13 5G ผ่านแอปพลิเคชัน AnTuTu ทำได้ 437,818 คะแนน ในส่วนของ CPU ได้รับ 139,778 คะแนน, GPU ได้รับ 70,656 คะแนน, Memory ได้รับ 110,263 คะแนน และ UX ได้รับ 117,121 คะแนน
ชาร์จเร็ว 33W
Redmi Note 13 5G รองรับการใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน ด้วยความจุแบตเตอรี่ 5000mAh สามารถสแตนด์บายได้ยาวนานถึง 26.5 วัน / สนทนาได้นานต่อเนื่อง 29 ชั่วโมง (4G LTE) / ดูวิดีโอนานสูงสุด 19 ชั่วโมง / เล่นเพลงผ่านชุดหูฟังยาวนาน 138 ชั่วโมง อีกทั้งยังรองรับชาร์จเร็ว 33W ผ่านพอร์ต USB-C (แถมอุปกรณ์ชาร์จเร็ว 33W Power Adapter มาให้แล้วในกล่อง)
Redmi Note 13
Redmi Note 13 ชูจุดเด่นที่กล้องหลัง 108MP Triple Camera จอแสดงผล 120Hz AMOLED พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบเรือธง ดีไซน์กรอบหน้าจอบางเป็นพิเศษ ใช้ชิปที่มีประสิทธิภาพจาก Snapdragon แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh และรองรับชาร์จเร็ว 33W
สเปก Redmi Note 13
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว อัตรารีเฟรช 120Hz
- กล้องหลัง 108 + 8 + 2 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 685
- ความจำ RAM 8GB (LPDDR4X) + ROM 256GB (UFS 2.2)
- สนับสนุนการ์ด microSD สูงสุด 1TB
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor)
- สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อค (AI Face Unlock)
- การเชื่อมต่อ 4G, Wi-Fi, Bluetooth 5.1, IR Blaster, NFC, USB-C, 3.5mm headphone jack
- ลำโพงคู่ รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
- ระบบปฏิบัติการ MIUI 14 บนพื้นฐาน Android 13
- ได้รับมาตรฐานป้องกันฝุ่นและน้ำ IP54
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 33W
- ขนาดตัวเครื่อง 162.24 x 75.55 x 7.97 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 188.5 กรัม
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Mint Green และ Ocean Sunset
ดีไซน์เทียบเท่าเรือธง
เมื่อเทียบกับ Redmi Note 13 5G ในแง่ของงานออกแบบ Redmi Note 13 เวอร์ชัน 4G มีความใกล้เคียงกับ Redmi Note 13 Pro+ 5G มากกว่า ถึงแม้มุมมองด้านหน้าจะเหมือนกับ Redmi Note 13 5G แต่เวอร์ชัน 4G ได้รับการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอแบบเดียวกับ Redmi Note 13 Pro+ 5G รวมถึงมีลำโพงตัวที่ 2 อยู่ด้านบน นอกจากนี้ Redmi Note 13 เวอร์ชัน 4G ยังมีให้เลือกถึง 4 สี ได้แก่ Midnight Black, Mint Green, Ice Blue และสีที่ทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิว เรียกว่าสี Ocean Sunset
มุมมองด้านหน้าของ Redmi Note 13 เวอร์ชัน 4G ดูไม่ต่างจาก Redmi Note 13 5G ทั้งดีไซน์และสเปกหน้าจอ ด้วยจอแสดงผล AMOLED ขนาดเท่ากัน 6.67 นิ้ว มีการเจาะหลุมไว้ตรงกึ่งกลางเพื่อวางกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล และยังมีกรอบหน้าจอรอบด้านที่บางเฉียบ
และซ่อนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอต่างจากในรุ่น Redmi Note 13 5G ที่ใช้เช็นเซอร์สแกนนิ้วด้านข้างตัวเครื่อง
ด้านหลังจะเห็นว่า Redmi Note 13 เวอร์ชัน 4G จัดวางกล้องหลัง 3 ตัว พร้อมแฟลช LED เหมือนกับ Redmi Note 13 5G แต่ที่ต่างออกไปก็คือ ไม่มีการกรอบสี่เหลี่ยมวางซ้อนอีกชั้น
ขอบด้านข้างมีความบาง 7.97 มิลลิเมตร และวางถาดใส่ซิมการ์ดไว้ที่ด้านล่างแบบเดียงกับ Redmi Note 13 Pro+ 5G
อีกข้างติดตั้งปุ่มปรับระดับเสียง ไว้บนปุ่มเพาเวอร์
ด้านบนมีรูไมโครโฟนตัวที่ 2, เซ็นเซอร์ IR Blaster, ลำโพงตัวที่ 2 และ ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ด้านล่างมีลำโพง, ไมโครโฟน, พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C และ ถาดใส่ซิมการ์ด นอกจากนี้ Redmi Note 13 ยังถูกออกแบบมาให้สามารถป้องกันฝุ่นและน้ำกระเซ็นที่ระดับ IP54 และปกป้องด้านหน้าด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 3
จอแสดงผล 120Hz AMOLED
Redmi Note 13 มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล ขนาด 6.67 นิ้ว ให้ความสว่างสูงสุด 1,800 นิต อัตราส่วนคอนทราสต์ 5,000,000:1 ขอบเขตสีกว้าง DCI-P3 และรองรับอัตรารีเฟรช AdaptiveSync 120Hz
จอแสดงผลของ Redmi Note 13 ยังมีเทคโนโลยีปรับลดแสง PWM (Pulse Width Modulation) ที่ความถี่ 960Hz ช่วยถนอมดวงตาเพื่อให้สามารถรับชมได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น และผ่านการรับรองจาก TÜV Rheinland ทั้ง 3 รายการ ประกอบด้วย ปราศจากการกระพริบ (Flicker Free), แสงสีฟ้าต่ำ (Low Blue Light) และการเป็นมิตรทางชีวภาพตลอดทั้งวันกับผู้ใช้งาน (Circadian Friendly)
กล้องหลัง 108MP Triple Camera
Redmi Note 13 ได้รับกล้องหลัง 3 ตัว แบบเดียวกับเวอร์ชัน 5G โดยมีจุดเด่นที่กล้องหลักความละเอียดสูง 108 ล้านพิกเซล รองรับการซูม 3 เท่า แบบ In-sensor และมีระบบการประมวลภาพ Xiaomi Imaging Engine รวมถึงความสามารถในการปรับแต่งภาพมากมายด้วยฟิลเตอร์กล้องฟิล์ม (filmCamera filters)
- กล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.75
- กล้องหลัก Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- กล้องหลัก Macro 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
แอปกล้องของ Redmi Note 13 มาพร้อมโหมดถ่ายภาพ Documents, 108MP, Video, Photo, Portrait, Night, Pro, Short video, Panorama, Slow motion และ Time-lapse
โหมด Photo สามารถซูมได้ตั้งแต่ระยะ 0.6x ซึ่งเป็นการเปิดใช้งานกล้อง Ultra Wide และสามารถขยายได้สูงสุด 10x สำหรับฟีเจอร์ Beautify และ Filters เปิดใช้งานได้ที่ไอคอนมุมล่างขวา ส่วนการถ่ายภาพในโหมด 108MP จะซูมได้ 2x
โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคลให้โดดเด่น สามารถปรับค่า F เพื่อละลายหรือเบลอพื้นหลังได้ตามความต้องการ โหมด Night สำหรับถ่ายภาพในเวลากลางคืนหรือในที่แสงน้อย สามารถซูมได้ในช่วง 1x ถึง 10x
โหมด Video รองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุด Full HD 1080p ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที สามารถเปิดใช้งานกล้อง Ultra Wide ได้เมื่อซูมที่ระยะ 0.6x เมื่อแตะที่ปุ่มลูกศรชี้ลงบนแถบเครื่องมือด้านบนจะพบกับฟีเจอร์การถ่ายภาพเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น Macro, HDR, AI camera, Timer, Tilt-shift, Timed burst, Watermark, Voice shutter, Gridlines, Aspect ratio และ Flash
กล้องหน้า 16MP Selfie Camera
กล้องหน้าของ Redmi Note 13 ติดตั้งไว้ในหลุมบนหน้าจอ โดยมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รองรับโหมดถ่ายภาพ Photo ที่สามารถปรับ Beautify เพิ่ม Filters ได้เหมือนกล้องหลัง รองรับโหมดถ่ายภาพ Portrait ปรับความเบลอพื้นหลังได้ และสามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด Full HD 1080p ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที
ตัวอย่างภาพถ่าย
ชิป Snapdragon 685
Redmi Note 13 ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 685 ซึ่งเป็นชิป 4G ที่ถูกสร้างขึ้นบนกระบวนการ 6 นาโนเมตร ประกอบด้วย CPU แบบ 64-bit Octa Core ความเร็วสูงสุด 2.8GHz พร้อมด้วย GPU – Adreno ที่รองรับ API ทั้ง OpenCL 2.0, OpenGL ES 3.2 และ Vulkan 1.1 ด้านความจำมากับ RAM 8GB (LPDDR4X) จับคู่กับ ROM 256GB (UFS 2.2) และสนับสนุนการ์ด microSD สูงสุด 1TB
ผลทดสอบประสิทธิภาพของ Redmi Note 13 ผ่านแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่าทำได้ 367,362 คะแนน โดยในส่วนของ CPU ได้รับ 110,983 คะแนน, GPU ได้รับ 43,043 คะแนน, Memory ได้รับ 129,328 คะแนน และ UX ได้รับ 84,008 คะแนน
นอกจากนี้ Redmi Note 13 ยังมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh และรองรับชาร์จเร็ว 33W ผ่านพอร์ต USB-C เช่นเดียวกับเวอร์ชัน 5G ซึ่งรวมถึงการแถมอุปกรณ์ชาร์จเร็ว 33W Power Adapter มาให้ในกล่อง
สรุปราคาและการจำหน่าย
ถึงแม้ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มสมาร์ตโฟนระดับกลาง แต่ก็มีความสามารถรอบด้านที่สามารถยกระดับขึ้นไปเทียบชั้นเรือธงได้ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่พรีเมียม กล้องหลักความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซล จอแสดงผล AMOLED ความลึกสี 12-bit รองรับชาร์จเร็ว 120W และยังต้านทานน้ำในระดับ IP68 ทำให้ Redmi Note 13 Pro+ 5G เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่ แต่มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า
Redmi Note 13 5G มีจุดเด่นในการถ่ายภาพ ด้วยกล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ให้อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz รองรับชาร์จเร็ว 33W เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟน 5G ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้รอบด้าน โดยเฉพาะด้านความบันเทิงด้วยลำโพงที่เสียงดังกังวาน
Redmi Note 13 เป็นอีกเวอร์ชันของ Redmi Note 13 5G แต่รองรับมาตรฐานสูงสุด 4G เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่พอใจกับสัญญาณ 4G ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งความจริงก็ถือว่ามีความเร็วสูงพอสมควรและยังครอบคลุมหลายพื้นที่มากกว่า 5G อีกทั้งยังมีจุดเด่นที่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ซ่อนไว้ใต้หน้าจอแบบเดียวกับ Redmi Note 13 Pro+ 5G
Redmi Note 13 Series พร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ววันนี้ทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ Redmi Note 13 Pro+ 5G, Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13
Redmi Note 13 Pro+ 5G มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Moonlight White และ Aurora Purple พร้อมให้ลูกค้าสั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 16 – 26 มกราคม 2567 โดยจะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์แพลตฟอร์ม
- Redmi Note 13 Pro+ 5G รุ่นความจุ 8GB+256GB วางจำหน่ายในราคา 13,990 บาท
พิเศษสำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 16 – 26 มกราคม 2567 รับฟรี! ประกันหน้าจอ 6 เดือน พร้อมอัปเกรดความจุเป็น 12GB+512GB และ Redmi Note 13 Series Giftbox รวมมูลค่าของสมนาคุณทั้งสิ้น 9,280 บาท16
- Redmi Note 13 Pro+ 5G รุ่นความจุ 12GB+512GB วางจำหน่ายในราคา 15,990 บาท
Redmi Note 13 5G มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Graphite Black, Ocean Teal และ Arctic White โดยจะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์แพลตฟอร์ม พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ซื้อ Redmi Note 13 5G ในระหว่างวันที่ 16 มกราคม – 29 กุมภาพันธ์ 2567 รับฟรี Portable Bluetooth Speaker มูลค่า 690 บาท16
- Redmi Note 13 5G รุ่นความจุ 8GB+256GB วางจำหน่ายในราคา 7,999 บาท
- Redmi Note 13 5G รุ่นความจุ 12GB+512GB วางจำหน่ายในราคา 9,999 บาท
Redmi Note 13 มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Mint Green และ Ocean Sunset โดยจะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์แพลตฟอร์ม พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ซื้อ Redmi Note 13 ในระหว่างวันที่ 16 มกราคม – 29 กุมภาพันธ์ 2567 รับฟรี Portable Bluetooth Speaker มูลค่า 690 บาท16
- Redmi Note 13 รุ่นความจุ 8GB+256GB วางจำหน่ายในราคา 6,999 บาท