Galaxy S23 Series ถือเป็นสมาร์ทโฟนแฟลกชิปที่ดีที่สุดของ Samsung ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้และสื่อหลายสำนัก แต่ก่อนที่ปี 2023 จะผ่านพ้นไป ทีมงาน @Flashfly จึงคัดเลือกสมาร์ทโฟน 2 รุ่น ที่น่าสนใจที่สุดของตระกูล Galaxy S23 Series ที่เรียกได้ว่า กินกันไม่ลง (แต่มีแววว่าน้องจะล้มพี่) ได้แก่ Galaxy S23+ และ Galaxy S23 FE มาแนะนำ สำหรับใครก็ตามที่กำลังมองหาของขวัญเป็นรางวัลให้กับตัวเอง หรือมอบให้กับคนพิเศษในช่วงเวลาแห่งความสุขส่งท้ายปี
Galaxy S Series ตอบโจทย์คนรักการถ่ายภาพ
Samsung Galaxy S23 Series เป็นสมาร์ทโฟนแฟลกชิปที่มีความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพ โดยเฉพาะประสิทธิภาพการซูม ซึ่งชุดกล้องเหล่านี้ ถูกใส่มาในกล้อง Telephoto ของ Galaxy S23 FE ที่มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4 รองรับการซูมออปติคอล 3 เท่า และซูมดิจิตอล 30 เท่า ซึ่งเป็นระยะที่ให้ผลลัพธ์ได้ดีที่สุด
Galaxy S23 FE ยังมีกล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.8 สามารถเก็บรายละเอียดได้อย่างคมชัดไม่ว่าจะถ่ายภาพในตอนกลางวันที่มีสภาพแสงปกติ หรือในเวลากลางคืนที่มีสภาวะแสงน้อย และยังมีกล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2 สำหรับเก็บภาพในมุมมองกว้างพิเศษอีกด้วย
กล้องหลังของ Galaxy S23 FE ยังมาพร้อมเทคโนโลยี Adaptive Pixel รวม 4 พิกเซลเล็กเป็น 1 พิกเซลใหญ่ เพื่อให้พิกเซลมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้มีพื้นที่รับแสงมากขึ้น และยังมีอัลกอริทึม ISP (Image Signal Processing) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยปรับปรุงรายละเอียดของวัตถุ และโทนสี รวมถึงลด Noise ที่มักทำลายภาพในสภาสะแสงน้อย มั่นใจได้ว่าทั้งภาพนิ่งและวิดีโอที่บันทึกในยามค่ำคืนจะออกมาสว่างสวยงามและให้รายละเอียดที่ชัดเจน
การถ่ายวิดีโอ ก็ถือเป็นอีกจุดเด่นของ Galaxy S23 FE เพราะสามารถถ่ายวิดีโอในความละเอียดสูงถึง 8K ด้วยอัตรา 24 เฟรมต่อวินาที หรือ 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที และยังสามารถซูมได้ตั้งแต่ระยะ 0.6 เท่า ถึง 12 เท่า นอกจากนี้ ยังมีระบบลดการสั่นไหวแบบดิจิตอลขั้นสูงสำหรับการถ่ายวีดีโอ (VDIS) และระบบช่วยลดการสั่นไหวแบบออปติคอล (OIS) ช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวของวีดีโอออกมาราบรื่น แม้จะเดินถือสมาร์ทโฟนระหว่างถ่ายวิดีโอ
ในขณะที่ Galaxy S23+ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่มีจุดเด่นในการถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอเช่นกัน ด้วยกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.8, กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2 และกล้อง Telephoto ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4 รองรับการซูมออปติคอล 3 เท่า และซูมดิจิตอล 30 เท่า
เมื่อเทียบสเปกกล้องหลังระหว่าง Galaxy S23+ กับ Galaxy S23 FE จะเห็นว่าทั้งคู่มีรายละเอียดที่ใกล้เคียงกันมาก ยกเว้นกล้อง Telephoto ที่ Galaxy S23+ มีความละเอียดสูงกว่าเล็กน้อย แต่แทบจะไม่มีผลในการใช้งานจริง เพราะทั้ง 2 รุ่น สามารถซูมออปติคอล 3 เท่า และซูมดิจิตอล 30 เท่า ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในราคาที่ต่างกันถึงหลักหมื่น รุ่นน้อง GagaxySS 23 FE ทำได้ดีเทียบรุ่นพี่ Galaxy S23+ แบบที่ไม่เห็นข้อแตกต่าง
การถ่ายภาพในเวลากลางคืนด้วย Galaxy S23 FE ก็มีฟีเจอร์ Nightography เช่นเดียวกับ Galaxy S23 + ซึ่งอาศัยเทคโนโลยี Adaptive Pixel เพื่อให้มีพื้นที่รับแสงมากขึ้น และยังมีอัลกอริทึม AI ช่วยปรับปรุงรายละเอียดของวัตถุ และโทนสี รวมถึงลด Noise ที่มักทำลายภาพในสภาวะแสงน้อยอีกด้วย
ขุมพลังระดับแฟลกชิป
Galaxy S23 FE ตอบสนองการใช้งานและเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลด้วยชิปประมวลผล Exynos 2200 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับเรือธงของ Samsung ที่ออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ถูกสร้างขึ้นบนกระบวนการผลิตระดับ 4 นาโนเมตร ที่มี CPU แบบ Octa Core บนสถาปัตยกรรมแบบ 3 คลัสเตอร์ 1+3+4 คอร์ ประกอบด้วย Arm Cortex-X2, Cortex-A710 และ Cortex-A510
ชิปประมวลผล Exynos 2200 ใน Galaxy S23 FE ยังมาพร้อม GPU ใหม่ Xclipse 920 ที่สร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรม AMD RDNA 2 รองรับ Ray Tracing ทำให้กราฟิกในเกมมีความสมจริงมากขึ้น และสนับสนุนเทคโนโลยี Variable Rate Shading (VRS) ช่วยปรับการทำงานของ GPU ให้เหมาะสม โดยใช้อัตราการแรเงาที่ต่ำลงในพื้นที่ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของภาพ จึงให้อัตราเฟรมที่เสถียร ช่วยให้การเล่นเกมราบรื่นไม่สะดุด
นอกจากใช้ชิปที่สร้างมาเพื่อการเล่นเกมโดยตรง Galaxy S23 FE ยังได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย ระบบระบายความร้อน Vapor chamber ที่ครอบคลุมพื้นที่ใหญ่กว่า Galaxy S23+ ถึง 1.5 เท่า จึงเล่นเกมได้นานต่อเนื่องหมดห่วงเรื่องความร้อน เนื่องจากมีแผ่นระบายความร้อน Graphite ขนาดใหญ่
ชิปประมวลผล Snapdragon 8 Gen 2 for Galaxy ยังเพิ่มความสมจริงในการเล่นเกมด้วยเทคโนโลยี Ray Tracing หรือการจำลองแสงเงาของวัตถุแบบเรียลไทม์ ช่วยให้กราฟิกเกมแสดงภาพได้สวยงามสมจริงยิ่งขึ้น โดยอาศัยการทำงานของเทคโนโลยีที่สามารถจำลองและติดตามลักษณะของแสงในเกมได้ทุกจุด
ชิปประมวลผล Snapdragon 8 Gen 2 for Galaxy ยังเพิ่มความสมจริงในการเล่นเกมด้วยเทคโนโลยี Ray Tracing หรือการจำลองแสงเงาของวัตถุแบบเรียลไทม์ ช่วยให้กราฟิกเกมแสดงภาพได้สวยงามสมจริงยิ่งขึ้น โดยอาศัยการทำงานของเทคโนโลยีที่สามารถจำลองและติดตามลักษณะของแสงในเกมได้ทุกจุด
ดีไซน์พรีเมียมสไตล์ Galaxy S Series
ถึงแม้ Galaxy S23 FE และ Galaxy S23+ จะมีสเปกที่แตกต่างกันบ้าง แต่ในด้านดีไซน์ภายนอก ทั้งคู่แทบจะแยกไม่ออก เนื่องจากGalaxy S23 Series ใช้ดีไซน์แบบเดียวกันทั้งหมด รวมถึงวัสดุที่มีคุณภาพ และให้ความแข็งแรงทนทานไม่ต่างกัน โดยได้รับมาตรฐานป้องกันน้ำและฝุ่นในระดับ IP68 ทั้ง 2 รุ่น สามารถกันน้ำได้ที่ความลึกไม่เกิน 1.5 เมตร นานสูงสุด 30 นาที ในน้ำจืด รวมถึงป้องกันฝุ่น สิ่งสกปรก และทราย จึงสามารถทำความสะอาดได้อย่างสบายใจเมื่อตัวเครื่องเปรอะเปื้อน แต่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้พกพาลงไปใช้งานใต้น้ำ
Galaxy S23 FE และ Galaxy S23+ ยังมาพร้อมจอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X ที่มีความละเอียดเท่ากัน ให้อัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz และใช้ดีไซน์หน้าจอแบบ Infinity-O Display ดังนั้น ในด้านประสบการณ์การรับชมจึงไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
ด้านซอฟต์แวร์ก็เช่นกัน Galaxy S23 FE และ Galaxy S23+ ทำงานบน One UI 6.0 พร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย Samsung Knox, Samsung Knox Vault และใช้ระบบยืนยันตัวตนด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
ทั้งนี้ Galaxy S23 FE มาพร้อมจอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด Full HD+ ขนาด 6.4 นิ้ว รองรับอัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ในช่วง 60~120Hz ซ่อนกล้องหน้า 10 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F2.4) ไว้ในหลุมบนหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ 4,500mAh สนับสนุนชาร์จเร็ว 25W สามารถชาร์จถึง 50% ภายในเวลา 30 นาที
ในขณะที่ Galaxy S23+ มาพร้อมจอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด Full HD+ ขนาด เพิ่มขึ้นเป็น 6.6 นิ้ว รองรับอัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ในช่วง 48~120Hz ซ่อนกล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F2.2) ไว้ในหลุมบนหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ 4,700mAh สนับสนุนชาร์จเร็ว 45W สามารถชาร์จถึง 65% ภายในเวลา 30 นาที
สรุปรุ่นไหนเหมาะกับใคร
Galaxy S23 FE ถือเป็นเรือธงอีกร่นที่ โดดเด่นด้านการถ่ายภาพ ได้สเปกระดับแฟลกชิป ดีไซน์พรีเมียมสไตล์เดียวกับ Galaxy S23 Series ในราคาที่ถูกกว่าถึงหลักหมื่นเลยทีเดียวเหมาะสำหรับเจ้าของสมาร์ทโฟน Galaxy รุ่นเก่าที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ประสิทธิภาพสูงได้ฟีเจอร์เทียบเท่าระดับแฟลกชิป ในราคาที่จับต้องและเข้าถึงได้ง่ายกว่า ขณะที่ Galaxy S23+ เหมาะสำหรับใครก็ตามที่เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปที่ต้องการอัปเกรดเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดนั่นเอง
- ราคา Galaxy S23 FE รุ่น 8+128GB ราคา 22,900 บาท
- ราคา Galaxy S23 FE รุ่น 8+256GB ราคา 25,900 บาท
- ราคา Galaxy S23+ รุ่น 8+128GB ราคา 37,900 บาท
- ราคา Galaxy S23+ รุ่น 8+512GB ราคา 41,900 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่ไม่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ และต้องการสมาร์ทโฟนแฟลกชิปที่ดีที่สุดของ Galaxy S23 Series ยังมี Galaxy S23 Ultra เป็นทางเลือก ซึ่งมีจุดเด่นที่จอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียด QHD+ ให้อัตราการรีเฟรชหน้าจอแบบปรับได้ในช่วง 1~120Hz แถม S Pen มาให้ในตัว ตอบสนองการทำงานด้านวาดเขียนและจดบันทึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีระบบกล้องหลังที่ล้ำที่สุดในบรรดา Galaxy S23 Series