Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Stolen Device Protection ใน iOS 17.3 เวอร์ชัน Beta ซึ่งช่วยจำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเมื่ออุปกรณ์ถูกขโมยหรือทำหาย ถือเป็นการยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน และตอบสนองต่อรายงานก่อนหน้านี้จาก The Wall Street Journal
ย้อนกลับไปในเดือนเมษายนที่ผ่านมา The Wall Street Journal เคยรายงานว่า คนร้ายใช้วิธีสะกดรอยผู้ใช้ iPhone เพื่อคอยแอบดูรหัสผ่าน เมื่อได้รหัสผ่านมาแล้ว จึงเริ่มหาช่องทางที่จะขโมย iPhone โดยที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัว
เมื่อคนร้ายขโมย iPhone ไปแล้ว จะสามารถใช้รหัสผ่านของเหยื่อเพื่อเข้าถึงข้อมูลในอุปกรณ์ได้ทั้งหมด ถึงแม้เจ้าของ iPhone จะเปิดระบบยืนยันตัวตนด้วย Face ID หรือ Touch ID อยู่ก็ตาม อีกทั้งยังสามารถปิด Find My iPhone เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าของสามารถติดตามตำแหน่งได้
ฟีเจอร์ Stolen Device Protection ใน iOS 17.3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ใช้งานทำ iPhone สูญหายหรือถูกขโมยไป โดยเข้าไปเปิดการใช้งานตามขั้นตอนด้านล่าง (ปัจจุบัน ฟีเจอร์ Stolen Device Protection มีใช้งานเฉพาะ iOS 17.3 เวอร์ชัน Beta เท่านั้น)
- เปิดแอป Settings
- เข้าไปที่ Face ID & Passcode (หรือ Touch ID & Passcode)
- แตะ Stolen Device Protection
เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์ Stolen Device Protection เจ้าของ iPhone จะต้องยืนยันตัวตนด้วย Face ID หรือ Touch ID จึงจะสามารถเข้าไปกำหนดค่าต่างๆ ในฟีเจอร์เหล่านี้ได้
- ดูรหัสผ่านหรือพาสคีย์ที่จัดเก็บไว้ใน iCloud Keychain
- สมัครใช้ Apple Card ใหม่
- ดูบัตรดิจิทัลของ Apple Card
- ทำธุรกรรมบางอย่างในแอป Wallet
- ปิดการใช้งาน Lost Mode
- ลบคอนเท้นต์และการตั้งค่าทั้งหมด
- ดูวิธีการชำระเงินผ่านที่เคยทำผ่านแอป Safari
- การใช้ iPhone เพื่อตั้งค่าอุปกรณ์ใหม่
นอกจากนี้ Stolen Device Protection ยังมีฟีเจอร์ ที่ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องและล่าช้าหนึ่งชั่วโมงในการเข้าถึง ได้แก่…
- เปลี่ยนรหัสผ่าน Apple ID
- เปลี่ยนรหัสผ่าน iPhone
- เพิ่มหรือลบ Face ID หรือ Touch ID
- อัปเดตการตั้งค่าความปลอดภัยของบัญชี Apple ID รวมถึงการเพิ่มหรือลบอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ หมายเลขโทรศัพท์ที่เชื่อถือได้ รหัสการกู้คืน (Recovery Key หรือ Recovery Contact)
ที่มา – 9to5Mac