หลังจากแกะกล่องให้ชมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ iPhone 15 Pro Max ให้มากขึ้น สำหรับ iPhone ระดับพรีเมียม ที่ได้ชื่อว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบหลายปี นับตั้งแต่ iPhone X ไม่ว่าจะเป็นวัสดุกรอบตัวเครื่อง ดีไซน์ภายนอก ระบบกล้อง โปรเซสเซอร์ และยังเป็นครั้งแรกที่ Apple นำพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C มาสู่ iPhone สำหรับใครที่สนใจ iPhone 15 Plus ชมรีวิวได้ที่นี่เลย
สเปก iPhone 15 Pro Max
- จอแสดงผล Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี ProMotion
- กล้องหลัง 3 ตัว 48MP Wide + 12MP Ultra Wide + 12MP Telephoto ซูมออปติคัล 5 เท่า
- กล้องหน้า 12MP TrueDepth Camera
- ชิป A17 Pro (CPU แบบ 6‑core, GPU แบบ 6-core, Neural Engine แบบ 16‑core)
- ความจุ 256GB, 512GB และ 1TB
- การเชื่อมต่อ 5G (sub‑6 GHz), Gigabit LTE, Wi‑Fi 6E, Bluetooth 5.3, Ultra Wideband รุ่นที่ 2, NFC, USB-C
- เซ็นเซอร์ Face ID, LiDAR Scanner, Barometer, High dynamic range gyro, High-g accelerometer, Proximity sensor, Dual ambient light sensors
- การหาตำแหน่ง GPS, GLONASS, Galileo, QZSS, BeiDou และ NavIC (รองรับ GPS แบบคลื่นความถี่คู่)
- ป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
- ขนาดตัวเครื่อง 159.9 x 76.7 x 8.25 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 221 กรัม
ดีไซน์ไทเทเนียม ทนทานขึ้น เบาลงกว่าเดิม
อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนต้น iPhone 15 Pro Max ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านดีไซน์สำหรับ iPhone ระดับพรีเมียม นับตั้งแต่ iPhone X ที่ออกมาในปี 2017 ถึงแม้ภาพรวมอาจไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน แต่ในแง่ของรายละเอียด มีการเปลี่ยนแปลงแบบใหม่หมด เริ่มตั้งแต่วัสดุ Apple เปลี่ยนจากสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม มาใช้ไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ
วัสดุไทเทเนียมมีอัตราส่วนความแข็งแรงต่อน้ำหนักที่สูงสุดยิ่งกว่าโลหะอื่น และยังมีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม ส่งผลให้น้ำหนักของ iPhone 15 Pro Max หายไปถึง 19 กรัม จนกลายเป็น iPhone รุ่น Pro ที่เบาที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขณะที่ขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงกับรุ่นก่อน โดยมีขนาด 159.9 x 76.7 x 8.25 มิลลิเมตร ส่วน iPhone 14 Pro Max มีขนาด 160.7 x 77.6 x 7.85 มิลลิเมตร และหนัก 240 กรัม
ส่วนขอบด้านข้างของ iPhone 15 Pro Max มีความบาง 8.25 มิลลิเมตร ผ่านกระบวนการปัดจนสวยเงางาม และยังมีขอบมุมที่โค้งบนกว่าเดิม ประกอบกับน้ำหนักที่เบาลง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถจับถือ iPhone 15 Pro Max ไว้ในมือได้สบายขึ้น
เมื่อกล่าวถึงส่วนขอบ iPhone 15 Pro Max ยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกจุดที่มีความสำคัญ นั่นก็คือปุ่ม Action ที่นำมาติดตั้งแทนที่ปุ่มสวิตช์ปิด/เปิดเสียงอันเป็นเอกลักษณ์มาตั้งแต่ iPhone รุ่นแรก ซึ่งค่าเริ่มต้นของปุ่ม Action ถูกกำหนดไว้ให้ปิด/เปิดเสียงได้เหมือนเดิม แต่สามารถตั้งค่าให้ทำงานอย่างอื่นได้จากทั้งหมด 9 ฟังก์ชัน
พื้นที่ขอบด้านล่างของ iPhone 15 Pro Max ก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกัน โดยผู้ใช้งานจะพบกับพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C แทนที่ Lightning นับเป็นจุดสิ้นสุดของพอร์ต Lightning นับตั้งแต่ Apple เริ่มนำมาใช้งานครั้งแรกกับ iPhone 5 ที่ออกมาในปี 2012
มุมมองด้านหน้าอาจดูคล้ายเดิม ด้วยจอแสดงผล Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว มาพร้อม Dynamic Island แบบเดียวกับที่พบใน iPhone 14 Pro Max แต่ความจริงแล้ว iPhone 15 Pro Max มีการออกแบบใหม่ให้ขอบหน้าจอบางลงกว่าเดิม นั่นทำให้มิติตัวเครื่อวด้านความยาวและความกว้างของ iPhone 15 Pro Max ลดลงกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย นอกจากนี้ ตัวเครื่องด้านหน้ายังได้รับการป้องกันด้วย Ceramic Shield ที่แข็งแกร่งเหมือนเดิม
ด้านหลังของ iPhone 15 Pro Max มาพร้อมกระจกด้านหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในสมาร์ทโฟน และยังออกแบบใหม่เพื่อให้กระจกด้านหลังสามารถเปลี่ยนได้ง่ายเมื่อเกิดความเสียหาย ทำให้ค่าบริการเปลี่ยนกระจกด้านหลังของ iPhone 15 Pro Max ถูกลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ iPhone 14 Pro Max
มุมมองด้านหลังของ iPhone 15 Pro Max ยังมีไฮไลท์ที่ระบบกล้องหลัง ที่ดูคล้ายเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม เพราะได้รับการปรับปรุงกล้อง Telephoto ให้รองรับการซูมออปติคัล 5 เท่า จากเดิมที่ถูกจำกัดไว้ 3 เท่า ขณะที่กล้อง Telephoto ของ iPhone 15 Pro ยังไม่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นอกจากวัสดุที่ทนทาน ทั้งกรอบไทเทเนียม ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield และ กระจกด้านหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในสมาร์ทโฟน iPhone 15 Pro Max ยังได้รับมาตรฐานป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) ตามมาตรฐาน IEC 60529 มั่นใจได้ว่า iPhone 15 Pro Max มีความทนทานต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน
จอแสดงผล Super Retina XDR พร้อม ProMotion
iPhone 15 Pro Max มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR ซึ่งเป็นจอ OLED ความละเอียด 2796 x 1290 พิกเซล ขนาด 6.7 นิ้ว ความหนาแน่นของ 460 PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) ให้ความสว่างสูงสุด 1,600 นิต (สำหรับการรับชมคอนเท้นต์ HDR) แต่ยังเพิ่มความสว่างได้ถึง 2,000 นิต สู้แสงแดดได้ดีเมื่อใช้งานกลางแจ้ง
จอแสดงผลของ iPhone 15 Pro Max ให้ขอบเขตสีกว้าง (P3) รองรับ HDR การแสดงผลแบบ True Tone และมีอัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 จึงแสดงภาพจากคอนเท้นต์ต่างๆ ได้อย่างสวยงามคมชัด เหมาะสำหรับการรับชมภาพยนตร์และเล่นเกม อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยี ProMotion ที่มีอัตรารีเฟรชแบบปรับได้สูงสุดที่ 120Hz และได้รับการปรับปรุงให้สามารถปรับอัตรารีเฟรชได้ต่ำสุดที่ 1Hz ส่งผลให้ iPhone 15 Pro Max สนับสนุนการแสดงผลแบบ Always-On Display (จอภาพแบบติดตลอด)
การแสดงผลแบบ Always-On Display เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ Apple เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ iPhone 14 Pro ในปีที่แล้ว โดยอาศัยประโยชน์จากเทคโนโลยี ProMotion ที่ให้อัตรารีเฟรชแบบปรับได้ตั้งแต่ 1Hz ทำให้จอแสดงผลของ iPhone 15 Pro Max เปิดอยู่ตลอดเวลา โดยยังคงมองเห็นรูปภาพวอลเปเปอร์ แต่ถูกทำให้มืดลง และยังคงมองเห็น วันที่ เวลา วิดเจ็ต และ การแจ้งเตือนต่างๆ อยู่ตลอดเวลา และเมื่อกดปุ่มด้านข้าง เพื่อปลุกจอ หน้าจอก็จะสว่างขึ้น เรียกได้ว่าการแสดงผลแบบ Always-On Display ของ Apple ยังดูเหมือนหน้าจอล็อค เพียงแต่หรี่ความสว่างลง เพื่อให้ประหยัดแบตเตอรี่ ที่สำคัญใครที่ใช้วอลเปเปอร์เป็นรูปคน ก็ยังคงมองเห็นภาพที่สวยงามอยู่
ด้วยอัตรารีเฟรชหน้าจอที่ต่ำสุดเพียง 1Hz ทำให้การแสดงผลแบบ Always-On Display ใช้พลังงานแบตเตอรี่ได้น้อยที่สุด และเพื่อให้ประหยัดแบตเตอรี่มากยิ่งขึ้น หน้าจอของ iPhone ก็จะดับสนิท หรือ ปิดโหมด Always-On Display เมื่อพกพา iPhone ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้า หรือ คว่ำด้านหน้าจอลงบนโต๊ะ แต่เมื่อยกขึ้นมาดูโหมด Always-On Display ก็จะแสดงผลขึ้นมาทันที (สามารถเปิดหรือปิดโหมด Always-On Display ได้จากแอป Settings > Display & Brightness)
Dynamic Island และ Face ID
หลังจาก Apple นำ Dynamic Island มาแทนที่รอยบากใน iPhone 14 Pro เมื่อปีที่แล้ว iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ก็ได้รับ Dynamic Island ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max
Dynamic Island เป็นการผสมผสานระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้พื้นที่ Dynamic Island สามารถปรับเปลี่ยนการทำงาน และการแสดงผลในรูปแบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนโทรเข้ามา Dynamic Island จะขยายใหญ่ขึ้น เพื่อแสดงข้อมูลสายเรียกเข้า พร้อมปุ่มให้กดรับหรือปฏิเสธสายได้ทันที นอกจากนี้ Dynamic Island ยังสนับสนุนการใช้งานในรูปแบบ Multitasking รวมถึงแสดงการแจ้งเตือนจากฟีเจอร์ Live Activities
Face ID เป็นวิธีการปลดล็อคและยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า ซึ่งมีความปลอดภัยกว่า Touch ID สามารถสแกนใบหน้าได้อย่างแม่นยำในทุกสภาพแสง ไม่ว่าจะมีความสว่างหรืออยู่ในห้องมืด โดยใช้เซ็นเซอร์ที่ซับซ้อนของระบบกล้อง TrueDepth ช่วยให้ iPhone 15 Pro Max สามารถจดจำใบหน้าของผู้ใช้งานเป็นรูปแบบ 3D ที่มีความแม่นยำและปลอดภัยกว่าระบบจดจำใบหน้าของสมาร์ทโฟนทั่วไป
ปุ่ม Action
iPhone 15 Pro Max ไม่มีปุ่มสวิตช์ปิด/เปิดเสียงอีกต่อไปแล้ว แต่ถูกแทนที่ด้วยปุ่ม Action ซึ่งถูกใช้เป็นปุ่มทางลัดสำหรับเปิดฟังก์ชันที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า โดยค่าเริ่มต้นถูกกำหนดไว้ให้เป็น Silent Mode แต่ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนเป็นฟังก์ชันอื่นได้ จากทั้งหมด 9 ฟังก์ชันต่อไปนี้
- Silent Mode ใช้สลับเปิด/ปิดโหมดเงียบ คล้ายกับปุ่มเปิด/ปิดเสียงในปัจจุบัน
- Focus เปิดใช้งานโหมดโฟกัส
- Camera เปิดแอปกล้อง หรือถ่ายภาพ/วิดีโอ ด้วยการกดปุ่ม Action เพียงครั้งเดียว
- Flashlight เปิดหรือปิดไฟฉาย
- Voice Memo เริ่มหรือหยุดการบันทึกเสียงด้วยแอป Voice Memos
- Translate เปิดแอปแปลภาษา
- Magnifier เปิดแอป Magnifier ซึ่งใช้กล้องของ iPhone เป็นแว่นขยาย เพื่อซูมข้อความหรือวัตถุขนาดเล็ก
- Shortcuts ดำเนินการตามคำสั่งที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้าในแอป Shortcuts เช่น การส่งข้อความ, การเล่นเพลงในเพลย์ลิสต์, การควบคุมอุปกรณ์ Smart Home
- Accessibility สำหรับเปิดใช้งานฟีเจอร์เกี่ยวกับการช่วยการเข้าถึง เช่น VoiceOver, Zoom, AssistiveTouch, Live Speech
ปุ่ม Action ยังทำงานร่วมกับ Dynamic Island เมื่อมีการกดปุ่ม Action จะแสดงฟังก์ชันของปุ่มบน Dynamic Island ด้วย และสำหรับผู้ใช้งานที่ตั้งค่าปุ่ม Action ให้เปิดฟังก์ชันอื่นที่ไม่ใช่ Silent Mode ยังสามารถใช้ศูนย์ควบคุมเพื่อปิดเสียงได้เช่นกัน หรือจะใช้ฟิลเตอร์สำหรับโหมดโฟกัสเพื่อตั้ง iPhone ให้ปิดเสียงโดยอัตโนมัติก็ได้
กล้องระดับโปร ซูมออปติคัล 5 เท่า
กล้องหลังของ iPhone 15 Pro Max ได้รับการปรับปรุงทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ซึ่งทำงานผสานกันจนเทียบเท่าเลนส์ระดับโปร 7 ตัว และด้วยชิป A17 Pro ยังทำให้กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล สามารถ่ายภาพความละเอียดสูง 24 ล้านพิกเซล จากรุ่นก่อนที่จำกัดความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลงกว่าเดิม ส่งผลให้แชร์ภาพถ่ายความละเอียดสูงได้ง่ายและเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บอีกด้วย
- กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.78 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ รุ่นที่ 2
- กล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 ให้มุมมองภาพ 120 องศา
- กล้อง Telephoto 12 ล้านพิกเซล มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลและออโต้โฟกัสที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์แบบ 3D
กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสลับไปมาระหว่างทางยาวโฟกัส 3 ระยะ ได้แก่ 24 มม., 28 มม. และ 35 มม. หรือจะเลือกทางยาวโฟกัสระยะที่ต้องการ เพื่อกำหนดให้เป็นค่าเริ่มต้นก็ได้เช่นกัน และยังรองรับ HEIF ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ที่มีความละเอียดมากขึ้น 4 เท่า
กล้อง Telephoto ของ iPhone 15 Pro Max สามารถซูมแบบออปติคัลได้ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone ถึง 5 เท่า ที่ 120 มม. และซูมดิจิทัลได้สูงสุด 25 เท่า ด้วยกล้อง Telephoto ใหม่ที่มีดีไซน์แบบ Tetraprism ผสานรวมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลและโมดูลการปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์แบบ 3D ที่รองรับการโฟกัสอัตโนมัติ เรียกว่าเป็นระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่ล้ำหน้าที่สุดของ Apple เท่าที่เคยมีมา จึงทำให้ถ่ายภาพระยะใกล้ ภาพสัตว์ป่า และภาพแอ็คชั่นจากระยะไกลได้อย่างสวยงาม
iPhone 15 Pro Max ถูกยกระดับโหมดภาพถ่ายบุคคล (Portrait Mode) เป็น “ภาพถ่ายบุคคลเจเนอเรชั่นใหม่ พร้อมการควบคุมโฟกัส และระยะชัดลึก” ที่ให้รายละเอียดคมชัดมากขึ้น สีสันสดใสกว่าเดิม และให้ประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้น
ผู้ใช้ iPhone 15 Pro Max สามารถถ่ายภาพในโหมด Portrait ได้ทันทีแม้อยู่ในโหมด Photo โดยกล้องจะเก็บข้อมูลชัดลึกโดยอัตโนมัติเมื่อมีบุคคล สุนัข หรือแมวอยู่ในเฟรมภาพ และสามารถเข้าไปแก้ไขภายในภายหลังจากแอป Photos เพื่อเปลี่ยนจุดที่ต้องการโฟกัส ทำให้ได้ภาพถ่าย Portrait ที่สวยงาม
โหมดกลางคืนยังคงขับเคลื่อนด้วย Photonic Engine ที่เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่รุ่นก่อน ช่วยให้ภาพถ่ายในสภาวะแสงน้อยมีรายละเอียดที่คมชัด สีสันสดใสมากขึ้น และยังทำงานร่วมกับ LiDAR Scanner เพื่อรองรับการถ่ายภาพ Portrait ในโหมดกลางคืน iPhone 15 Pro Max ยังมี Smart HDR 5 รองรับการถ่ายภาพบุคคลและฉากหลังด้วยการเรนเดอร์โทนสีผิวที่สมจริงยิ่งขึ้น ให้รูปภาพที่มีส่วนไฮไลท์สว่างขึ้น ส่วนมิดโทนที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น และส่วนเงามืดที่ดำสนิทกว่าเดิมเมื่อดูในแอป Photos
โหมด Video ของ iPhone 15 Pro Max ให้คุณภาพวิดีโอดีขึ้นกว่าเดิมด้วยชิป A17 Pro พร้อมปรับปรุงวิดีโอในสภาวะแสงน้อย และโหมด Action ให้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถถ่ายวิดีโอในความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายปกติ, การบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision และ บันทึกวิดีโอ ProRes
iPhone 15 Pro Max ยังรองรับการบันทึกวิดีโอในรูปแบบไฟล์ Log นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกในโลกที่รองรับ ACES หรือ Academy Colour Encoding System ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกในด้านเวิร์กโฟลว์สี นอกจากนี้ iPhone 15 Pro Max ยังสามารถบันทึกวิดีโอ ProRes ไปที่อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอกได้โดยตรงผ่านพอร์ต USB-C
กล้องหน้า 12MP TrueDepth Camera
iPhone 15 Pro Max ติดตั้งกล้องหน้าไว้ในพื้นที่ของ Dynamic Island โดยมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/1.9 มาพร้อมเทคโนโลยี Photonic Engine เพิ่มคุณภาพในการถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อย รองรับ Smart HDR 5 และโหมด Portrait ของกล้องหน้า ก็ได้รับการปรับปรุงเหมือนกล้องหลัง สามารถปรับจุดโฟกัสได้ในภายหลัง
โหมด Video ของกล้องหน้า สนับสนุนความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที ทั้งการบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision และ บันทึกวิดีโอ ProRes พร้อมด้วยโหมด Cinematic ความละเอียด 4K HDR ที่อัตรา 30 เฟรมวินาที
ตัวอย่างภาพถ่าย
ชิป A17 Pro ชิป 3 นาโนเมตร
iPhone 15 Pro Max ใช้ชิปใหม่ล่าสุด A17 Pro ซึ่งเป็นชิป 3 นาโนเมตร ตัวแรกในอุตสาหกรรม ประกอบด้วย CPU แบบ 6-core (คอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์) ได้รับการปรับปรุงด้านสถาปัตยกรรมระดับไมโคร และการออกแบบสามารถทำงานเร็วขึ้นสูงสุด 10% สามารถทำคะแนนจาก Antutu ได้ทะลุ 1,500,000 คะแนน เลยทีเดียว
ชิป A17 Pro ยังมี GPU แบบ 6-core ทำงานเร็วขึ้นสูงสุด 20% อีกทั้งยังรองรับ Ray Tracing ที่เร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ ซึ่งเร็วกว่า Ray Tracing แบบซอฟต์แวร์ของ A16 Bionic ถึง 4 เท่า ช่วยให้ iPhone 15 Pro Max รองรับเกมระดับคอนโซล อย่าง Resident Evil Village, Resident Evil 4, Death Stranding และ Assassin’s Creed Mirage ได้ประสบการณ์เทียบเท่าบนเครื่องคอนโซล หรือเกมมิ่งคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว ซึ่งส่วนนี้ทางทีมงานจะขอรีวิวแบบเจาะลึกตามมาภายหลังตัวเกมออกมาวางจำหน่าย
นอกจากนี้ ชิป A17 Pro ยังมีตัวถอดรหัส AV1 สำหรับวิดีโอที่มีคุณภาพสูงและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นสำหรับบริการสตรีมมิ่ง พร้อมด้วย Neural Engine แบบ 16-core ทำงานเร็วขึ้นสูงสุด 2 เท่า
USB-C
ชิป A17 Pro มีตัวควบคุม USB ใหม่ ช่วยให้ iPhone 15 Pro Max รองรับความเร็วระดับ USB 3.0 เป็นครั้งแรกบน iPhone ซึ่งสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงขึ้น และรองรับการส่งสัญญาณวิดีโอ HDR ระดับ 4K ที่ 60 fps ด้วย
พอร์ต USB-C ของ iPhone 15 Pro Max รองรับมาตรฐาน USB 3 ให้ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุด 10Gbps (กิกะบิตต่อวินาที) เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 20 เท่า อีกทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการพกพา iPhone ร่วมกับ Mac หรือ iPad รุ่นใหม่ๆ เพราะสามารถใช้สาย USB-C เส้นเดียวกันได้
มาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อไร้สาย
iPhone 15 Pro Max สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สายแบบเดียวกับรุ่นก่อน แต่ได้รับการปรับปรุงที่สำคัญ 3 อย่าง ได้แก่ Wi‑Fi 6E, เทคโนโลยีระบบเครือข่าย Thread และ ชิป Ultra Wideband รุ่นที่ 2 โดย iPhone 15 Pro Max รองรับ Wi-Fi 6E ให้ประสิทธิภาพการทำงานไร้สายที่ดีขึ้น โดยให้ความเร็วมากขึ้นสูงสุด 2 เท่า และยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่รองรับ เทคโนโลยีระบบเครือข่าย Thread ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการเชื่อมต่อกับแอป Home ในอนาคต
สำหรับชิป Ultra Wideband รุ่นที่ 2 ทำให้ iPhone 15 เชื่อมต่อถึงกันได้ในระยะที่มากกว่าเดิมถึง 3 เท่า ช่วยในการค้นหาตำแหน่งในแอป Find My แม่นยำมากขึ้น แม้อยู่ในสถานที่พลุกพล่านหรือหนาแน่น
แบตเตอรี่
iPhone 15 Pro Max รองรับการเล่นวิดีโอได้นานสูงสุด 29 ชั่วโมง หรือ การเล่นวิดีโอผ่านการสตรีมนานสูงสุด 25 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นการฟังเพลง สามารถให้อายุการใช้งานนานถึง 95 ชั่วโมง ดังนั้น การใช้งานทั่วไปจึงอยู่ได้นานตลอดทั้งวัน ด้านการชาร์จ รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว สามารถชาร์จได้สูงสุด 50% ในเวลาประมาณ 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20W หรือสูงกว่า (อะแดปเตอร์และแท่นชาร์จไร้สาย ต้องหาซื้อแยกต่างหาก)
iPhone 15 Pro Max ยังรองรับฟีเจอร์ Reverse Charging หรือ ใช้งานเป็น Power Bank ชาร์จแบตเตอรี่ให้อุปกรณ์อื่นได้ ผ่านสาย USB-C เหมาะสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ AirPods หรือ Apple Watch ที่มีพอร์ต USB-C
สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย iPhone 15 Pro Max สนับสนุนการชาร์จไร้สายแบบ MagSafe (สูงสุด 15W)รวมถึงแท่นชาร์จไร้สายที่ได้รับมาตรฐาน Qi (สูงสุด 7.5W) และในอนาคต Apple จะอัปเดตให้รองรับการชาร์จแบบไร้สาย Qi2
สรุปราคาและการจำหน่าย
เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า iPhone 15 Pro Max ถือว่าได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุกรอบไทเทเนียม ที่ทนทานขึ้น แต่เบาลง ดีไซน์ขอบมุมโค้งมน ถือจับสบายมือขึ้น จอแสดงผลที่มีขอบหน้าจอบางลง ทำให้มิติตัวเครื่องเล็กลง อีกทั้งยังนำปุ่ม Action มาแทนที่ปุ่มปิดเสียงเป็นครั้งแรกของ iPhone รวมถึงพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C ที่ช่วยให้ถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่าเดิมถึง 20 เท่า
นอกเหนือจากดีไซน์ iPhone 15 Pro Max ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแผนกกล้อง ด้วยกล้อง Telephoto แบบ Tetraprism ทำให้ซูมออปติคัลได้สูงสุด 5 เท่า และมาพร้อมชิปรุ่นใหม่ A17 Pro ที่ไม่เพียงแต่แรงขึ้น แต่ยังเปลี่ยน iPhone 15 Pro Max ให้กลายเป็นคอนโซลพกพาได้อีกด้วย
iPhone 15 Pro Max พร้อมวางจำหน่ายแล้ว มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีไทเทเนียมดำ, สีไทเทเนียมขาว, สีไทเทเนียมน้ำเงิน และ สีไทเทเนียมธรรมชาติ ราคาเริ่มต้น 48,900 บาท สำหรับรุ่น 256GB, ราคา 57,900 บาท สำหรับรุ่น 512GB และ ราคา 66,900 บาท สำหรับรุ่น 1TB
สำหรับ iPhone 15 Pro มีสเปกแบบเดียวกับ iPhone 15 Pro Max เกือบทุกประการ ยกเว้นขนาดตัวเครื่องที่เล็กกว่า ตามขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว แบตเตอรี่ก็เล็กลงตามขนาดตัวเครื่อง และกล้อง Telephoto ที่สามารถซูมออปติคัลได้สูงสุด 3 เท่า โดยมีให้เลือก 4 สี เช่นกัน วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 41,900 บาท สำหรับรุ่น 128GB, ราคา 45,900 บาท สำหรับรุ่น 256GB, ราคา 54,900 บาท สำหรับรุ่น 512GB และ ราคา 63,900 บาท สำหรับรุ่น 1TB