ทุกครั้งที่ Apple ปล่อยระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ออกมาให้อัปเดต มักส่งผลกระทบต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ iPhone ซึ่งคาดว่ามาจากการซิงค์ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงการทำงานที่เพิ่มขึ้นของระบบหลังจากได้รับฟีเจอร์ใหม่
และถ้าพบว่าระดับแบตเตอรี่ของ iPhone 15 ถูกระบายออกไปอย่างรวดเร็วจนผิดปกติ หลังจากอัปเดต iOS 17 ให้ลองทำตามวิธีด้านล่างนี้ เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น
1) ปิดฟีเจอร์ Live Activities
ฟีเจอร์ Live Activities จะคอยแจ้งเตือนบนหน้าจอ Lock Screen และ Dynamic Island ซึ่งทำให้แบตเตอรี่หมดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สามารถเข้าไปปิดการใช้งานได้ที่แอป Settings > Face ID & Passcode จากนั้นป้อนรหัสผ่านเพื่อปลดล็อค iPhone แล้วเลื่อนลงไปเพื่อปิดการทำงานของ Live Activities
2) ลบ Widget บนหน้าจอ Lock Screen และ Home Screen
Widget บนหน้าจอ Lock Screen และ Home Screen ช่วยให้การใช้งาน iPhone สะดวกขึ้น สามารถใช้งานแอปต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเปิดแอปหลัก แต่ถ้าไม่มีการใช้งาน Widget บ่อยนัก สามารถลบ Widget ออกเพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้
3) ปิดฟีเจอร์ Live Voicemail
ฟีเจอร์ Live Voicemail ช่วยให้ผู้ใช้ iPhone ได้ยินเสียงของผู้ที่โทรเข้ามาและกำลังฝากข้อความทิ้งไว้ โดยจะปรากฏบนหน้า Lock Screen ซึ่งสามารถปิดการใช้งานได้ที่แอป Settings > Phone > Live Voicemail
4) ปิดฟีเจอร์ Proximity AirDrop Sharing
ฟีเจอร์ Proximity AirDrop Sharing ช่วยให้ iPhone และ Apple Watch ที่ทำงานบน iOS 17 และ watchOS 10.1 ตามลำดับ สามารถแชร์ไฟล์ผ่าน AirDrop ได้ง่าย เมื่อพบว่าอุปกรณ์อยู่ใกล้กัน แต่นั่นก็ทำให้แบตเตอรี่ลดลงด้วยเช่นกัน ดังนั้น ควรปิดการใช้งานที่แอป Settings > General > AirDrop แล้วปิดการใช้งาน Bringing Devices Together
5) ใช้ Maps แบบออฟไลน์
Apple Maps ใน iOS 17 รองรับการนำทางแบบออฟไลน์ ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลดการนำทางก่อนออกเดินทางได้ ทำให้ไม่ต้องเปิดการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือระหว่างนำทาง ซึ่งช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อีกทางหนึ่ง
6) ปิดฟีเจอร์ Haptic Keyboard Feedback
ฟีเจอร์ Haptic Keyboard Feedback เป็นระบบตอบสนองเมื่อมีการสัมผัสแผงคีย์บอร์ดบนหน้าจอ ที่ปกติจะถูกปิดไว้ แต่ถ้ามีการเปิดสามารถเข้าไปปิดได้ที่แอป Settings > Sounds & Haptics > Keyboard Feedback แล้วปิดการใช้งาน Haptic
7) ปิดฟีเจอร์ Always-On Display
โหมดการแสดงผลแบบ Always-On Display ช่วยให้ผู้ใช้งานมองเห็นข้อมูลบนหน้าจอทันที โดยไม่ต้องปลุกหรือปลดล็อคหน้าจอ และถึงแม้จะเป็นโหมดที่ประหยัดแบตเตอรี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแบตเตอรี่จะไม่ลดลง ดังนั้น ถ้าคิดว่าไม่จำเป็น สามารถเปิดฟีเจอร์ Always-On Display ได้ที่แอป Settings > Display & Brightness > Always On Display
8) ใช้วอลเปเปอร์ที่เป็นภาพนิ่ง
iOS 17 รองรับรูปภาพวอลเปเปอร์ที่เคลื่อนไหวได้ เช่น วอลเปเปอร์ Weather, Photo Shuffle, Astronomy ซึ่งใช้พลังงานมากกว่าวอลเปเปอร์ที่เป็นภาพนิ่ง
9) ใช้โหมด Focus
โหมด Focus ช่วยจำกัดการแจ้งเตือนที่ไม่สำคัญได้ ทำให้ความถี่ในการแจ้งเตือนลดลง หน้าจอของ iPhone ก็ไม่ต้องถูกปลุกบ่อยจนเกินไป ส่วนการแจ้งเตือนทั้งหมดจะรวบรวมไว้ทีเดียวเมื่อระยะเวลาของโหมด Focus สิ้นสุดลง
ทั้งนี้ ในโหมด Focus ผู้ใช้งานสามารถกำหนดค่าได้ว่าแอปและบุคคลใดบ้างที่มีความสำคัญ เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่ออยู่ในโหมด Focus
10) ใช้ Scheduled Summary
ฟีเจอร์ Scheduled Summary มีประโยชน์อย่างมากหากต้องการประหยัดพลังงานของแบตเตอรี่ โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าไปเปิดใช้งานได้ที่แอป Settings ในส่วนของ Notifications
เมื่อเปิดใช้งาน Scheduled Summary จะช่วยให้ iPhone ลดการแจ้งเตือนได้ โดยจะสรุปการแจ้งเตือนให้วันละครั้งหรือสองครั้ง และเมื่อมีการแจ้งเตือนน้อยลง แบตเตอรี่ของ iPhone ก็หมดช้าลงตามไปด้วย
11) จำกัดเวลาและความถี่แอปในการเข้าถึงตำแหน่ง
การจำกัดเวลาและความถี่ของแอปพลิเคชั่นต่างๆ ในการเข้าถึงตำแหน่ง iPhone เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น โดยเข้าไปตั้งค่าได้ที่แอป Settings > Privacy & Security > Location Services จากนั้นเข้าไปตรวจสอบการตั้งค่าของแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงตำแหน่ง iPhone
12) จำกัดแอปที่ใช้ Bluetooth
เช่นเดียวกับการการจำกัดแอปในการเข้าถึงตำแหน่ง iPhone การปิดใช้งาน Bluetooth ก็เป็นทางเลือกหนึ่งเช่นกัน หากต้องการประหยัดแบตเตอรี่ และยังสามารถจำกัดแอปที่ใช้ Bluetooth ได้อีกด้วย โดยเข้าไปที่แอป Settings > Privacy & Security > Bluetooth จากนั้นให้ปิดแอปที่ไม่ต้องการการเชื่อมต่อ Bluetooth
13) ใช้ Low Power Mode
หากต้องการประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ โดยไม่ต้องยุ่งยากกับการตั้งค่าต่างๆ สามารถเปิดใช้ Low Power Mode ได้จาก Control Center หรือแอป Settings รวมถึงเปิดใช้งานผ่าน Siri อีกทั้งยังสามารถเปิดใช้ Low Power Mode โดยอัตโนมัติ ผ่านแอป Shortcuts แล้วกำหนดให้เปิด Low Power Mode เมื่อระดับแบตเตอรี่ลดเหลือระดับตามที่ตั้งค่าไว้
14) ใช้ Wi-Fi และ Airplane Mode
เมื่ออยู่ในพื้นที่ของสัญญาณ Wi-Fi ที่เชื่อมต่อได้ การเปิดใช้ Wi-Fi แทน Cellular หรือสัญญาณมือถือ (3G/4G/5G) เป็นอีกวิธีที่ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้นานที่สุด แต่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มั่นใจว่าจะไม่มีบุคคลสำคัญโทรเข้ามา และถ้าอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มี Wi-Fi รวมไปถึงสัญญาณมือถือก็อยู่ในระดับต่ำ การเปิดใช้ Airplane Mode ก็จะช่วยลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ได้ดีเช่นกัน
15) จัดการแอปที่เปลืองพลังงานแบตเตอรี่
iPhone สามารถบอกได้ว่าแต่ละแอปพลิเคชัน ใช้พลังงานมากที่สุด สามารถตรวจสอบได้ที่แอป Settings > Battery หากพบว่ามีแอปพลิเคชันใดที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ มากที่สุด และไม่จำเป็นต้องใช้แอปนั้นแล้ว แนะนำให้ลบออกเพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรี่
16) จำกัดการทำงานในเบื้องหลัง
iPhone มีการอัปเดตหรือรีเฟรชแอปพลิเคชั่นต่างๆ ในเบื้องหลัง ซึ่งหมายความว่ามีการใช้พลังงานของแบตเตอรี่โดยที่ผู้ใช้งานไม่ทันสังเกต แตาสามารถเข้าไปจำกัดการทำงานในเบื้องหลังได้ที่แอป Settings > General > Background App Refresh
17) ตั้งค่าแอป Mail
การตั้งค่า Fetch New Data ในแอป Mail เป็นอีกวิธีในการช่วยประหยัดแบตเตอรี่ นอกเหนือจากการจำกัด Background App Refresh ตามขั้นตอนที่แล้ว
เมื่อเข้าไปที่แอป Settings > Mail > Accounts แล้วแตะ Fetch New Data ผู้ใช้งานสามารถกำหนดระยะเวลาในการ Push หรือดึงข้อมูลอีเมลใหม่ ซึ่งสามารถตั้งค่าได้ตามตัวเลือกต่อไปนี้ Automatically, Manually, Hourly, Every 30 Minutes และ Every 15 Minutes
18) ลดความสว่างหน้าจอ
ยิ่งจอแสดงผลมีความสว่างมาก ก็ใช้พลังงานของแบตเตอรี่มากขึ้นไปด้วย ดังนั้น การลดความสว่างหน้าจอ จึงช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อใช้งานภายในอาคารที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความสว่างหน้าจอมากนัก หรือบางทีควรงดการดูหน้าจอ iPhone เมื่ออยู่กลางแจ้ง จะได้ไม่ต้องปรับความสว่างสูงสุด และถ้าเป็นไปได้ อย่าลืมตั้งเวลาล็อคหน้าจออัตโนมัติ หรือ Auto-Lock ในการตั้งค่า Display & Brightness โดยเลือกระยะเวลาที่สั้นที่สุด
ที่มา – MacRumors