ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มแรกที่ Apple ให้ความสำคัญในการวางจำหน่าย iPhone 15 Series พร้อมกับสหรัฐอเมริกาและอีกกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ก่อนจะเริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 22 กันยายนนี้ ซึ่งทีมงาน @Flashfly ได้รับ iPhone 15 Plus และ iPhone 15 Pro Max มารีวิวแล้ว แต่เพื่อไม่ให้ทุกคนรอนานเกินไป เราจึงรีบแกะกล่องพร้อมพรีวิวให้ชมทันที ก่อนที่จะนำเสนอรีวิวอย่างเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้
สำหรับ iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ Apple ยังมีให้เลือก 4 รุ่นเหมือนเดิม แต่มีการปรับปรุงครั้งใหญ่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพื้นฐาน iPhone 15 และ iPhone 15 Plus หรือรุ่นพรีเมี่ยม iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ส่วนจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างตามทีมงาน @Flashfly ไปสำรวจพร้อมกัน
แกะกล่อง iPhone 15 Plus และ iPhone 15 Pro Max
iPhone 15 Plus และ iPhone 15 Pro Max ถูกเก็บไว้ในกล่องสีขาว หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพด้านหน้าของ iPhone รุ่นใหม่ พร้อมวอลเปเปอร์ใหม่ที่ Apple ใช้บ่อยในสื่อประชาสัมพันธ์
หลังกล่องระบุชื่อผลิตภัณฑ์ และบอกรายละเอียดอุปกรณ์ภายในกล่อง โดยมีแถบสติกเกอร์ติดอยู่ที่ขอบกล่อง เป็นการปิดผนึกแทนการซีลด้วยแผ่นพลาสติก ซึ่ง Apple เปลี่ยนวิธีการซีลตั้งแต่ iPhone 13 ที่ออกมาในปี 2021
เมื่อยกฝากล่องขึ้นมาจะพบกับ iPhone นอนคว่ำหน้าอยู่ และสามารถดึง iPhone ขึ้นมาจากกล่องได้ง่ายๆ จากลิ้นกระดาษที่ยื่นมาจากแผ่นป้องกันรอยหน้าจอ
หลังจากหยิบ iPhone ขึ้นมาจากกล่อง จะพบกับซองเอกสาร ซึ่งภายในยังแถมสติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้เหมือนเคย พร้อมด้วยเข็มช่วยถอดถาดใส่ซิมการ์ด ส่วนเอกสารต่างๆ ประกอบด้วย คู่มือแนะนำการใช้งานเบื้องต้น การรับประกัน และ เอกสารยืนยันว่าผ่านการรับรองจาก กสทช.
ของแถมอย่างเดียวภายในกล่อง มีเพียงสายชาร์จ แต่ไม่เหมือนกับปีที่แล้ว เพราะ iPhone 15 Series ทุกรุ่นได้รับสายชาร์จแบบใหม่ เป็นสายถักที่มีความทนทานกว่าเดิม ส่วนขั้วต่อของปลายสายทั้ง 2 ด้าน เป็น USB-C อย่างที่หลายคนคงทราบกันแล้วว่า iPhone 15 รุ่นใหม่ในปีนี้ เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C แทนที่ Lightning
ดีไซน์ iPhone 15 Pro Max
iPhone 15 Pro Max มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านดีไซน์ เริ่มจากวัสดุกรอบตัวเครื่อง เปลี่ยนจากสแตนเลสสตีล มาใช้ไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ให้ความแข็งแกร่งมากขึ้น มาพร้อมพื้นผิวแบบใหม่ที่ผ่านการปัดจนสวยเงางาม และมีขอบโค้งมน จับถือได้สบายขึ้น
หลังจากเปลี่ยนมาใช้วัสดุไทเทเนียม iPhone 15 Pro Max ก็มีน้ำหนักหายไป 19 กรัม ชั่งได้ 221 กรัม ขณะที่ iPhone 14 Pro Max มีน้ำหนัก 240 กรัม โดยมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีไทเทเนียมดำ, สีไทเทเนียมขาว, สีไทเทเนียมน้ำเงิน และ สีไทเทเนียมธรรมชาติ
ด้านหน้า iPhone 15 Pro Max มีขนาดจอภาพ 6.7 นิ้ว ได้รับการป้องกันด้วย Ceramic Shield ซึ่งมีขอบจอที่บางที่สุดเมื่อเทียบกับ iPhone รุ่น Pro และยังมี Dynamic Island ที่นำมาใช้ครั้งแรกใน iPhone 14 Pro
ด้านหลังใช้วัสดุกระจกที่แข็งแกร่งที่สุดในสมาร์ทโฟน และมีพื้นผิวด้าน มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว ที่เกือบจะเหมือนเดิม แต่ได้รับการปรับปรุงกล้อง Telephoto ซูมได้ไกลขึ้น
ขอบด้านข้างมีความบาง 8.25 มิลลิเมตร ไม่มีปุ่มสวิตช์ปิด/เปิดเสียงอีกต่อไปแล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้ปุ่ม Action ที่สามารถตั้งค่าให้เปิดแอปหรือฟังก์ชันที่ต้องการได้ (จากทั้งหมด 9 ฟังก์ชัน) ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่มระดับเสียง ปุ่มลดระดับเสียง และช่องใส่ซิมการ์ด รองรับ Nano-SIM หรือเปิดใช้งานเครือข่ายมือถือผ่าน eSIM ก็ได้เช่นกัน
อีกข้างมีปุ่มเพาเวอร์
มุมมองบนถูกปล่อยให้เรียบเนียน
ด้านล่างจะพบกับไมโครโฟน และ ลำโพงสเตอริโอในตัว แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือพอร์ตเชื่อมต่อ เปลี่ยนจาก Lightning มาใช้ USB-C รองรับ USB 3 ถ่ายโอนได้เร็วขึ้นสูงสุด 20 เท่า แต่ต้องใช้กับสาย USB 3 ที่มีความเร็ว 10Gb/s นอกจากนี้ iPhone 15 Pro Max ยังได้รับมาตรฐานป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) ตามมาตรฐาน IEC 60529
ดีไซน์ iPhone 15 Plus
ตัวเครื่อง iPhone 15 Plus ใช้วัสดุอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีเหลือง, สีเขียว, สีฟ้า, สีดำ และ สีชมพู ซึ่งเป็นสีที่ทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิว
ด้านหน้ามาพร้อมจอแสดงผล 6.7 นิ้ว ได้รับการป้องกันด้วย Ceramic Shield ที่มีความแข็งแรง และที่หลายคนรอคอยก็คือ Dynamic Island มาอยู่ใน iPhone 15 Plus แล้ว รวมถึง iPhone 15 ซึ่งทำให้ iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ไม่มีรอยบากอีกต่อไปแล้ว
ด้านหลังใช้วัสดุกระจกแต่งสี ทำให้มีเฉดสีอ่อนลง เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน มาพร้อมกล้องหลัง 2 ตัว ที่ไม่เหมือนเดิม เพราะกล้องหลักมีความละเอียดสูง 48 ล้านพิกเซล (จากเดิมที่มี 12 ล้านพิกเซล)
ขอบด้านข้างมีความบาง 7.8 มิลลิเมตร โดยยังคงมีปุ่มสวิตช์ปิด/เปิดเสียงเหมือนรุ่นก่อน ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่มระดับเสียง ปุ่มลดระดับเสียง และช่องใส่ซิมการ์ด รองรับ Nano-SIM หรือเปิดใช้งานเครือข่ายมือถือผ่าน eSIM ก็ได้เช่นกัน
อีกข้างมีปุ่มเพาเวอร์
มุมมองบนถูกปล่อยให้เรียบเนียน มีเพียงเสาสัญญาณ
ด้านล่างจะพบกับไมโครโฟน และ ลำโพงสเตอริโอในตัว ขณะที่พอร์ตเชื่อมต่อเปลี่ยนมาใช้ USB-C เช่นกัน แต่รองรับ USB 2 ที่มีความเร็วสูงสุด 480Mb/s เท่ากับรุ่นก่อน นอกจากนี้ iPhone 15 Plus ยังได้รับมาตรฐานป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 เช่นเดียวกับรุ่น Pro (ทนน้ำที่ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
Dynamic Island
Apple เปิดตัว Dynamic Island ในปีที่แล้ว โดยจำกัดเฉพาะ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max แต่ปีนี้ Dynamic Island ได้ขยายมายัง iPhone 15 Series ทั้ง 4 รุ่น นั่นทำให้รอยบากที่ขอบบนของหน้าจอ อันเป็นเอกลักษณ์มาตั้งแต่ iPhone X ในปี 2017 ถูกลบหายออกไปแล้ว แต่ยังคงรองรับการยืนยันตัวตนด้วย Face ID ได้ดีเหมือนเดิม
Dynamic Island เป็นพื้นที่ช่องเจาะบนหน้าจอ ที่มีรูปทรงแคปซูล แต่สามารถปรับขนาดได้แบบไดนามิก เนื่องจากมีการทำงานร่วมกับกับซอฟต์แวร์ทำให้พื้นที่ Dynamic Island สามารถโต้ตอบกับการแจ้งเตือน และกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรายรื่น
จอแสดงผล
หลังจาก iPhone 15 Plus ได้รับ Dynamic Island ก็ทำให้จอแสดงผลดูคล้ายกับ iPhone 15 Pro Max มากขึ้น โดยทั้งคู่ใช้จอแสดงผล OLED ความละเอียด 2796 x 1290 พิกเซล ขนาด 6.7 นิ้ว ความหนาแน่นพิกเซล ที่ 460 ppi (พิกเซลต่อนิ้ว) อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 (ทั่วไป) รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ขอบเขตสีกว้าง (P3) ความสว่างสูงสุดเฉพาะจุด 2,000 นิต (กลางแจ้ง) ความสว่างสูงสุดเฉพาะจุด 1,600 นิต (HDR) ความสว่างทั่วไปสูงสุด 1,000 นิต
อย่างไรก็ตาม iPhone 15 Pro Max ยังมีเทคโนโลยี ProMotion ที่มีอัตรารีเฟรชแบบปรับได้สูงสุดที่ 120Hz และ รองรับการแสดงผลแบบ Always On Display ซึ่งไม่มีใน iPhone 15 Plus
กล้องระดับโปร
iPhone 15 Pro Max ได้รับกล้องหลัง 3 ตัว 7 เลนส์ ประกอบด้วย กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.78, กล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และ กล้อง Telephoto 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.8 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ รุ่นที่ 2
กล้องหลักของ iPhone 15 Pro Max มาพร้อมขุมพลังในการประมวลผลภาพถ่ายเชิงคำนวณ ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างอิสระมากขึ้นด้วยค่าเริ่มต้นความละเอียดสูงเป็นพิเศษ 24 ล้านพิกเซล ให้คุณภาพสูงโดยมีขนาดไฟล์ที่เหมาะแก่การจัดเก็บและการแชร์ได้อย่างสะดวก
กล้องหลักยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถสลับไปมาระหว่างทางยาวโฟกัสยอดนิยม 3 ระยะ ได้แก่ 24 มม., 28 มม. และ 35 มม. หรือจะเลือกทางยาวโฟกัสระยะที่ต้องการเพื่อกำหนดให้เป็นค่าเริ่มต้นก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ กล้องหลักยังรองรับ HEIF ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ที่มีความละเอียดมากขึ้น 4 เท่า
กล้อง Telephoto ของ iPhone 15 Pro Max ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วยเลนส์ Tetraprism จึงสามารถซูมแบบออปติคัลได้ไกลถึง 5 เท่า ที่ 120 มม. ผสานรวมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลและโมดูลการปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์แบบ 3D ที่รองรับการโฟกัสอัตโนมัติ เรียกว่าเป็นระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่ล้ำหน้าที่สุดของ Apple เท่าที่เคยมีมา
iPhone 15 Plus มีกล้องหลัง 2 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.6 และ กล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์
กล้องหลักของ iPhone 15 Plus ไม่เพียงแต่ปรับปรุงความละเอียดจาก 12 เป็น 48 ล้านพิกเซล แต่ยังมีเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel และมี Focus Pixels 100% ช่วยให้ออโต้โฟกัสได้รวดเร็ว โดยรองรับการถ่ายภาพความละเอียดสูง 24 ล้านพิกเซล ได้เช่นเดียวกับ iPhone 15 Pro Max ถึงแม้ iPhone 15 Plus จะไม่มีกล้อง Telephoto แต่ก็รองรับการซูมคุณภาพออปติคัลได้ถึง 3 ระดับ ได้แก่ 0.5 เท่า, 1 เท่า และ 2 เท่า นับเป็นครั้งแรกในระบบกล้องคู่ของ iPhone
iPhone 15 Series ทั้ง 4 รุ่น ยังได้รับการปรับปรุงโหมดถ่ายภาพ Portrait ที่มีการปรับปรุงใหม่ (Next-generation portraits) มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่างการถ่ายภาพ Portrait โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องสลับจากโหมด Photo ไป Portrait อีกต่อไป เพราะ iPhone จะเก็บข้อมูลชัดลึกโดยอัตโนมัติ เมื่อมีบุคคล สุนัข แมว อยู่ในเฟรมภาพ จึงสามารถสลับจุดโฟกัสในภาพถ่ายได้ภายหลังในแอป Photos
ชิปใหม่
iPhone 15 Pro Max ใช้ชิป A17 Pro ซึ่งเป็นชิป 3 นาโนเมตรตัวแรกในอุตสาหกรรม ประกอบด้วย CPU แบบ 6-core (คอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์) ได้รับการปรับปรุงด้านสถาปัตยกรรมระดับไมโคร และการออกแบบสามารถทำงานเร็วขึ้นสูงสุด 10% พร้อมด้วย Neural Engine แบบ 16-core ทำงานเร็วขึ้นสูงสุด 2 เท่า
ชิป A17 Pro ยังมี GPU แบบ 6-core ทำงานเร็วขึ้นสูงสุด 20% อีกทั้งยังรองรับ Ray Tracing ที่เร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ ซึ่งเร็วกว่า Ray Tracing แบบซอฟต์แวร์ของ A16 Bionic ถึง 4 เท่า ช่วยให้ iPhone 15 Pro Max รองรับเกมระดับคอนโซล อย่าง Resident Evil Village, Resident Evil 4, Death Stranding และ Assassin’s Creed Mirage
สำหรับ iPhone 15 Plus ได้รับชิป A16 Bionic แบบเดียวกันที่พบใน iPhone 14 Pro ประกอบด้วย CPU แบบ 6-core ที่มีคอร์ประสิทธิภาพสูง 2 คอร์ ใช้พลังงานน้อยลง 20% และคอร์ประหยัดพลังงานสูง 4 คอร์ พร้อมด้วย GPU แบบ 5-core ที่มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำเพิ่มขึ้น 50% และ Neural Engine แบบ 16-core สามารถประมวลผลได้เกือบ 17 ล้านล้านรายการต่อวินาที
USB-C
iPhone 15 Series ทุกรุ่น เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C มาตรฐานการชาร์จและการถ่ายโอนข้อมูลที่ใช้ในอุปกรณ์ส่วนใหญ่ จึงสามารถใช้สายเส้นเดียวกันเพื่อชาร์จได้ทั้ง iPhone, Mac, iPad รวมถึง AirPods Pro (รุ่นที่ 2) ที่มาพร้อมเคสชาร์จ USB-C
พอร์ต USB-C ของ iPhone 15 Pro Max ใช้มาตรฐาน USB 3 รองรับความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุด 10Gbps แต่สายเคเบิลที่แถมมาให้ในกล่อง รองรับ USB 2 เท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้ได้ความเร็วสูงสุด 10Gbps ผู้ใช้งานต้องซื้อสายเคเบิล USB 3 แยกต่างหาก
พอร์ต USB-C ของ iPhone 15 Plus ใช้มาตรฐาน USB 2 ที่มีความเร็วสูงสุด 480Mbps เท่ากับ Lightning ของ iPhone รุ่นก่อนหน้า ด้วยพอร์ต USB-C ทำให้ iPhone 15 Series ทั้ง 4 รุ่น สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้ Apple Watch และ AirPods รวมถึงอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่ใช้พอร์ต USB-C ได้ 4.5W
อายุการใช้งานแบตเตอรี่
iPhone 15 Pro Max ให้อายุการใช้งานนานสูงสุด 29 ชั่วโมง สำหรับการเล่นวิดีโอ หรือ สูงสุด 25 ชั่วโมง สำหรับเล่นวิดีโอผ่านการสตรีม ขณะที่ iPhone 15 Plus ให้อายุการใช้งานนานสูงสุด 26 ชั่วโมง สำหรับการเล่นวิดีโอ หรือ สูงสุด 20 ชั่วโมง สำหรับเล่นวิดีโอผ่านการสตรีม
ด้านการชาร์จ iPhone 15 Pro Max และ iPhone 15 Plus สามารถชาร์จได้สูงสุด 50% ในเวลาประมาณ 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20W หรือสูงกว่า และรองรับการชาร์จไร้สายในแบบ MagSafe และ Qi (นอกจากนี้ iPhone 15 Series ยังรองรับ MagSafe และการชาร์จแบบไร้สาย Qi2 ในอนาคต)
ปุ่ม Action
ปุ่ม Action ใหม่ มีอยู่ใน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max เท่านั้น ถูกนำมาใช้แทนที่ปุ่มสวิตช์ปิด/เปิดเสียง และทำงานร่วมกับการตอบสนองแบบผิวสัมผัส พร้อมแสดงฟังก์ชันที่กดใช้งานบน Dynamic Island โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าปุ่ม Action ให้เปิดฟังก์ชันที่ต้องการได้ จากทั้งหมด 9 ฟังก์ชันต่อไปนี้
- Silent Mode ใช้สลับเปิด/ปิดโหมดเงียบ คล้ายกับปุ่มเปิด/ปิดเสียงในปัจจุบัน
- Focus เปิดใช้งานโหมดโฟกัส
- Camera เปิดแอปกล้อง หรือถ่ายภาพ/วิดีโอ ด้วยการกดปุ่ม Action เพียงครั้งเดียว
- Flashlight เปิดหรือปิดไฟฉาย
- Voice Memo เริ่มหรือหยุดการบันทึกเสียงด้วยแอป Voice Memos
- Translate เปิดแอปแปลภาษา
- Magnifier เปิดแอป Magnifier ซึ่งใช้กล้องของ iPhone เป็นแว่นขยาย เพื่อซูมข้อความหรือวัตถุขนาดเล็ก
- Shortcuts ดำเนินการตามคำสั่งที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้าในแอป Shortcuts เช่น การส่งข้อความ, การเล่นเพลงในเพลย์ลิสต์, การควบคุมอุปกรณ์ Smart Home
- Accessibility สำหรับเปิดใช้งานฟีเจอร์เกี่ยวกับการช่วยการเข้าถึง เช่น VoiceOver, Zoom, AssistiveTouch, Live Speech
สำหรับผู้ใช้งานที่ตั้งค่าปุ่ม Action ให้เปิดฟังก์ชันอื่นที่ไม่ใช่ Silent Mode ยังสามารถใช้ศูนย์ควบคุมเพื่อปิดเสียงแทนได้ หรือจะใช้ฟิลเตอร์สำหรับโหมดโฟกัสเพื่อตั้ง iPhone ให้ปิดเสียงโดยอัตโนมัติก็ได้
เคสใหม่
Apple ยังสานต่อนโยบายรักษ์โลกอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีความเป็นกลางทางคาร์บอน ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการใช้งาน ภายในปี 2030 นั่นทำให้ iPhone รุ่นใหม่ๆ มีส่วนประกอบของวัสดุรีไซเคิลและวัสดุคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงอุปกรณ์เสริม ก็ไม่มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังอีกต่อไป
ด้วยเหตุผลข้างต้น ทำให้ Apple ได้เปิดตัวอุปกรณ์เสริมใหม่สำหรับ iPhone 15 Series ได้แก่ เคสผ้า FineWoven พร้อม MagSafe และ เคสผ้า FineWoven แบบกระเป๋าสตางค์พร้อม MagSafe
FineWoven ผลิตจากผ้าไมโครทวิลที่สวยงามทนทาน และให้สัมผัสที่อ่อนนุ่มไม่ต่างจากหนัง โดยทำมาจากวัสดุที่รีไซเคิลด้วยของใช้ในชีวิตประจำวัน 68% และมีการปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าการใช้หนัง
สรุปราคาและการจำหน่าย
iPhone 15 Series ได้รับการปรับปรุงทั้งดีไซน์ และประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C ครั้งแรกของ iPhone ขณะที่ iPhone 15 Pro Max มาพร้อมกรอบตัวเครื่องไทเทเนียม ที่มีความแข็งแรงทนทาน แต่เบากว่าเดิม ส่วน iPhone 15 Plus ได้รับ Dynamic Island ทำให้มุมมองด้านหน้าดูคล้ายกับ iPhone 15 Pro Max
อย่างไรก็ตาม iPhone 15 Pro Max ยังเหนือกว่าด้วยกล้อง Telephoto เลนส์ Tetraprism และใช้ชิป A17 Pro ที่ทำให้ iPhone 15 Pro กลายเป็นคอนโซลพกพา สำหรับ iPhone 15 Plus ก็ดูเหมือน iPhone 15 Pro Max ขาดแต่เพียงกล้อง Telephoto ทั้งนี้ iPhone 15 Series พร้อมให้สั่งซื้อล่วงหน้าแล้ว ก่อนจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนเป็นต้นไป โดยมีราคาแตกต่างกันดังนี้
ราคา iPhone 15
- รุ่น 128GB ราคา 32,900 บาท
- รุ่น 256GB ราคา 36,900 บาท
- รุ่น 512GB ราคา 45,900 บาท
ราคา iPhone 15 Plus
- รุ่น 128GB ราคา 37,900 บาท
- รุ่น 256GB ราคา 41,900 บาท
- รุ่น 512GB ราคา 50,900 บาท
ราคา iPhone 15 Pro
- รุ่น 128GB ราคา 41,900 บาท
- รุ่น 256GB ราคา 45,900 บาท
- รุ่น 512GB ราคา 54,900 บาท
- รุ่น 1TB ราคา 63,900 บาท
ราคา iPhone 15 Pro Max
- รุ่น 256GB ราคา 48,900 บาท
- รุ่น 512GB ราคา 57,900 บาท
- รุ่น 1TB ราคา 66,900 บาท