OPPO เปิดตัวสมาร์ทโฟน OPPO Reno10 Series 5G อย่างทางการในไทยแล้วพร้อมกันทั้ง 3 รุ่น โดยทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิวพร้อมกัน 2 รุ่น ได้แก่ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ทั้งคู่ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามพรีเมียม ถ่ายภาพพอร์ตเทรตได้อย่างโดดเด่น สมกับสโลแกน “ใกล้กว่า โดดเด่นกว่า” ซึ่งเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟนระดับกลาง ที่มาพร้อม 32MP Telephoto Portrait Camera หรือเรียกง่ายๆว่ารุ่นนี้มีกล้องพอร์ตเทรตซูมได้นั่นเอง
สเปก OPPO Reno10 5G
- จอแสดงผล AMOLED 3D Curved ขนาด 6.7 นิ้ว อัตราการรีเฟรช 120Hz
- กล้องหลัง 64MP + 32MP Telephoto + 8MP Ultra-wide Camera
- กล้องหน้า 32MP Ultra-Clear Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7050 5G
- ความจำ RAM 8GB (LPDDR4x) + ROM 256GB (UFS2.2)
- รองรับ RAM Expansion สูงสุด 8GB
- สนับสนุนการ์ด microSD สูงสุด 2TB
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.3, Infrared, NFC, USB Type-C, OTG
- ลำโพงคู่สเตอริโอ รองรับระบบเสียง Dirac Audio
- โหมด Ultra Volume สามารถเพิ่มระดับเสียงได้ถึง 200%
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 13 บนพื้นฐาน Android 13
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 67W SUPERVOOC
- ขนาดตัวเครื่อง 162.29 x 74.05 x 7.99 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 185 กรัม
- มีให้เลือก 2 สี ได้แก่สีฟ้า Ice Blue และสีเทา Silvery Grey
สเปก OPPO Reno10 Pro 5G
- จอแสดงผล AMOLED 3D Curved ขนาด 6.7 นิ้ว อัตราการรีเฟรช 120Hz
- กล้องหลัง 50MP + 32MP Telephoto + 8MP Ultra-wide Camera
- กล้องหน้า 32MP Ultra-Clear Selfie Camera
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 778G 5G
- ความจำ RAM 12GB (LPDDR4x) + ROM 256GB (UFS2.2)
- รองรับ RAM Expansion สูงสุด 8GB
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2, Infrared, NFC, USB Type-C, OTG
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 13 บนพื้นฐาน Android 13
- โหมด Ultra Volume สามารถเพิ่มระดับเสียงได้ถึง 200%
- สามารถเพิ่มระดับเสียงของลำโพงหูฟังได้อีก 3 เดซิเบล ระหว่างการโทร
- แบตเตอรี่ 4600mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC
- ขนาดตัวเครื่อง 162.3 x 74.2 x 7.89 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 185 กรัม
- มีให้เลือก 2 สี ได้แก่สีม่วง Glossy Purple และสีเทา Silvery Grey
แกะกล่อง OPPO Reno10 Series 5G
OPPO Reno10 Series 5G จัดส่งมาในกล่องสีขาว หน้ากล่องระบุชื่อรุ่น OPPO Reno10 5G หรือ OPPO Reno10 Pro 5G ไว้อย่างชัดเจน ถัดลงมาพมเลข 10 ขนาดใหญ่ในกรอบสีเหลี่ยมที่มีการไล่เฉดสีเหมือน ภายในกล่องแน่นอนว่ามีสมาร์ทโฟน ถูกเก็บไว้ในซองอย่างดี พร้อมบอกจุดเด่นไว้บนหน้าซอง, คู่มือ Quick Guide, คู่มือด้านความปลอดภัย, เข็มช่วยถอดช่องใส่ซิมการ์ด, เคส, สายชาร์จ และ หัวชาร์จ โดย OPPO Reno10 5G ได้รับหัวชาร์จ 67W ขณะที่ OPPO Reno10 Pro 5G มาพร้อมหัวชาร์จ 80W
32MP Telephoto Portrait Camera กล้องพอร์ตเทรตซูมได้
มาเริ่มกันที่ OPPO Reno10 5G ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟนระดับกลางที่มาพร้อมกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera ช่วยให้ OPPO Reno10 5G รองรับการถ่ายภาพพอร์ตเทรตแบบซูมออปติคอลได้ 2 เท่า ผ่านกล้อง Telephoto ที่ใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ Sony IMX709 ให้ความละเอียดสูงสุด เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนในเรทราคาใกล้เคียงกัน ด้วยอาร์เรย์พิกเซล RGBW สามารถรับแสงโดยรวมเพิ่มขึ้น 60% ช่วยลด Noise ของภาพได้ถึง 35% เมื่อเทียบกับเซ็นเซอร์ RGGB ทั่วไป ช่วยให้กล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera ง่ายต่อการเก็บข้อมูลภาพได้มากขึ้น ไม่ว่าอยู่ใต้สภาวะแสงรูปแบบใด และทำให้ถ่ายภาพพอร์ตเทรตสวยงาม เป็นธรรมชาติ คมชัด เก็บทุกรายละเอียดได้อย่างชัดเจน เพิ่มความโดดเด่นให้ตัวแบบอย่างมีมิติ
OPPO Reno10 5G มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย
- กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ OmniVision OV64B ขนาด 1/2” รูรับแสง f/1.7 ชุดเลนส์ 6P ระบบโฟกัส CDAF, PDAF
- กล้อง Telephoto 32 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX709 RGBW รูรับแสง f/2.0 ชุดเลนส์ 6P ระบบโฟกัส CDAF, PDAF ซูมออปติคอล 2 เท่า
- กล้องหลัก Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX355 ขนาด 1/4” รูรับแสง f/2.2 ชุดเลนส์ 5P ให้มุมมองภาพ 112 องศา
เปิดเข้ามาในแอปกล้องของ OPPO Reno10 5G จะพบกับโหมดถ่ายภาพ Night, Video, Photo, Portrait, Pro, Extra HD, Panorama, Slo-mo, Time-lapse, Dual-view Video, Sticker และ Text Scanner
โหมด Portrait ถือเป็นไฮไลท์ของ OPPO Reno10 5G สามารถซูมได้ 2 ระยะ 1x หรือ 2x ปรับค่า F เพื่อละลายพื้นหลังได้ตั้งแต่ F1.4 ถึง F16 เพื่อสร้างเอฟเฟกต์แสงแฟลร์โบเก้ได้ตามต้องการ และมีฟีเจอร์ Retouch สำหรับปรับความงามบนใบหน้า และมีฟีเจอร์ Filters ที่ออกแบบมาสำหรับถ่ายภาพพอร์ตเทรตโดยเฉพาะ อย่างเช่น Bokeh Flare Portrait และ AI Color Portrait
Portrait Mode 2x
จุดเด่นของกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera คือมีทางยาวโฟกัส 47 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นระยะเทียบเคียงกับมาตรฐานภาพพอร์ตเทรตคลาสสิก 50 มิลลิเมตร หมายความว่า ภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera จะให้คุณภาพราวกับป็นภาพถ่ายจากมืออาชีพ โดยทางยาวโฟกัสของกล้อง Telephoto ยังบีบอัดผู้คนและพื้นที่ภายในภาพ เพื่อทำให้ตัวแบบของภาพพอร์ตเทรตโดดเด่นขึ้น อีกทั้งยังใช้เลนส์ที่ผ่านกระบวนการเคลือบแบบหมุนวน BG เพื่อสร้าง infrared light-absorbing film ช่วยลดแสงสะท้อนที่ปกคลุมและเพิ่มคมชัดใสของภาพ
โหมด Photo รองรับการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x ซึ่งเป็นการเปิดใช้งานกล้อง Ultra Wide จากนั้นสามารถซูมออปติคอลได้ 2x และซูมดิจิตอลได้สูงสุด 20x เมื่อแตะที่ไอคอนมุมขวาล่างของช่องมองภาพ จะเข้าสู่ฟีเจอร์ Retouch และ Filters สำหรับปรับความงามบนใบหน้า และเพิ่มโทนสีหรือเปลี่ยนอารมณ์ภาพตามฟิลเตอร์ที่มีให้เลือกหลายแบบ หากต้องการถ่ายภาพความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล ให้แตะที่ไอคอน High จากแถบเครื่องมือด้านบน (อยู่ถัดจากไอคอนเปลี่ยนอัตราส่วนภาพ)
โหมด Night สามารถซูมได้ในช่วง 0.6x ถึง 20x มาพร้อม Filters ที่เหมาะสำหรับภาพถ่ายยามค่ำคืน อาทิ Golden, Warm & Cool, Pink & Teal และ Night City
โหมด Video รองรับการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x ซึ่งเป็นการเปิดใช้งานกล้อง Ultra Wide จนสูงสุด 10x สามารถปรับค่า F เพื่อละลายพื้นหลังได้เหมือนโหมด Portrait มีฟีเจอร์ Retouch และ Filters ให้ใช้งานเช่นกัน รวมถึง AI Color Portrait และ Bokeh Flare Portrait ส่วนความละเอียดวิดีโอรองรับการบันทึกสูงสุด 4K ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที หรือ Full HD 1080P ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที โดยใช้ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ EIS (Electronic Image Stabilization)
กล้องหน้าของ OPPO Reno10 5G มีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ OmniVision OV32C รูรับแสง f/2.4 ขนาดพิกเซล 0.7 ไมครอน ทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร ชุดเลนส์ 5P
โหมด Photo ของกล้องหน้า มาพร้อมฟีเจอร์ Retouch หรือปรับแต่งความงามบนใบหน้าได้ละเอียดกว่ากล้องหลัง สามารถเลือกปรับแต่งผิวพรรณ, ปรับขนาดแก้มหรือกราม, ปรับขนาดดวงตา รวมถึงจมูก และยังมี Filters ให้เลือกมากมาย สำหรับเพิ่มโทนสีหรือเปลี่ยนอารมณ์ภาพเซลฟี่ อีกทั้งยังมี HDR ช่วยเพิ่มความคมชัดในการถ่ายเซลฟี่ในสภาวะแสงที่ยากขึ้น โหมด Night ของกล้องหน้า ช่วยถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยหรือในเวลากลางคืน รองรับฟีเจอร์ Retouch ที่สามารถปรับแต่งความงามบนใบหน้าได้อย่างละเอียดเหมือนโหมด Photo แต่ไม่มี Filters มาให้
โหมด Portrait ของกล้องหน้า รองรับ Filters อย่าง AI Color Portrait และ Bokeh Flare Portrait ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับภาพเซลฟี่แบบพอร์ตเทรต โดย AI Color Portrait จะย้อมสีพื้นหลังทั้งหมดเป็นขาว-ดำ ขณะที่ตัวแบบยังคงมีสีสันตามปกติ ขณะที่ Bokeh Flare Portrait ช่วยละลายพื้นหลังด้วยเอฟเฟกต์โบเก้ ทำให้ได้ภาพถ่ายบุคคลที่สวยงามโดดเด่นกว่าฉากหลัง อีกทั้งยังสามารถใช้ฟีเจอร์ Retouch ช่วยปรับแต่งความงามบนใบหน้าได้อย่างละเอียดเหมือนโหมด Photo
โหมด Video ของกล้องหน้า รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด Full HD 1080P ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ EIS สามารถปรับค่า F เพื่อละลายพื้นหลังได้เหมือนโหมด Portrait มีฟีเจอร์ Retouch และ Filters อย่าง AI Color Portrait และ Bokeh Flare Portrait ให้ใช้งานเช่นกัน
ตัวอย่างภาพถ่าย OPPO Reno10 5G
OPPO Reno10 Pro 5G
ขณะที่ OPPO Reno10 Pro 5G ได้รับกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera เช่นเดียวกัน จึงรองรับการถ่ายภาพพอร์ตเทรตแบบซูมออปติคอลได้ 2 เท่า เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟนระดับกลาง ที่มีความสามารถดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กล้องตัวหลักของ OPPO Reno10 Pro 5G แตกต่างจาก OPPO Reno10 5G โดยใช้เซ็นเซอร์ที่ต่างออกไป
- กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX890 ขนาด 1/1.56” รูรับแสง f/1.8 ชุดเลนส์ 6P ระบบโฟกัส All Pixel Omni-Direction PDAF ระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Telephoto 32 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX709 RGBW ขนาด 1/2.74” รูรับแสง f/2.0 ชุดเลนส์ 6P ระบบโฟกัส CDAF, PDAF ซูมออปติคอล 2 เท่า
- กล้องหลัก Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX355 ขนาด 1/4” รูรับแสง f/2.2 ชุดเลนส์ 5P ให้มุมมองภาพ 112 องศา
ถึงแม้ OPPO Reno10 Pro 5G จะมีกล้องหลักแตกต่างจาก OPPO Reno10 5G แต่ได้รับซอฟต์แวร์ในแอปพลิเคชันกล้องเหมือนกัน ประกอบไปด้วยโหมดถ่ายภาพ Night, Video, Photo, Portrait, Pro, Extra HD, Panorama, Slo-mo, Time-lapse, Dual-view Video, Sticker และ Text Scanner
กล้องหลังของ OPPO Reno10 Pro 5G มีจุดเด่นที่โหมด Portrait ซึ่งอาศัยกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera ที่มีทางยาวโฟกัส 47 มิลลิเมตร สามารถซูมได้ 2 ระยะ 1x หรือ 2x มีเครื่องมือช่วยปรับค่า F ตั้งแต่ F1.4 ถึง F16 เพื่อละลายพื้นหลังให้เป็นเอฟเฟกต์โบเก้ตามต้องการ
โหมด Photo สามารถซูมได้ในช่วง 0.6x ถึง 20x โดยรองรับการซูมออปติคอลได้ 2x และซูมดิจิตอลได้สูงสุด 20x เมื่อเปิดฟีเจอร์ High จากแถบเครื่องมือด้านบน จะสามารถถ่ายภาพในความละเอียดสูงสุด 50 ล้านพิกเซล แตกต่างจาก OPPO Reno10 5G ที่จับภาพในความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล
OPPO Reno10 Pro 5G ให้ประสบการณ์ในการถ่ายวิดีโอแบบเดียวกับ OPPO Reno10 5G โดยรองรับรองรับการซูมในช่วง 0.6x ถึง 10x สามารถถ่ายวิดีโอในความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที หรือ Full HD 1080P ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที โดยใช้ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization)
กล้องหน้าของ OPPO Reno10 Pro 5G มีความละเอียดเท่ากับ OPPO Reno10 5G แต่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX709 RGBW ขนาด 1/2.74” ขนาดพิกเซล 0.8 ไมครอน รูรับแสง f/2.4 ทางยาวโฟกัส 21 มิลลิเมตร ชุดเลนส์ 5P มีระบบออโต้โฟกัส จึงสามารถถ่ายภาพเซลฟี่ได้คมชัดเป็นพิเศษ และให้รายละเอียดที่เพิ่มขึ้นในทุกสถานการณ์
โหมด Portrait และ Night ของกล้องหน้า OPPO Reno10 Pro 5G มีความพิเศษกว่ากล้องหน้าของ OPPO Reno10 5G ด้วยความสามารถในการซูมได้ 2 ระยะ 0.8x และ 1x ขณะที่โหมด Photo สามารถซูมได้ 3 ระยะ 0.8x, 1x และ 2x
โหมด Video ของกล้องหน้าก็สามารถซูมได้ 3 ระยะ 0.8x, 1x และ 2x โดยรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด Full HD 1080P หรือ HD 720P ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที
ตัวอย่างภาพถ่าย OPPO Reno10 Pro 5G
ดีไซน์ OPPO Glow สุดพรีเมียม
OPPO Reno10 Series 5G ใช้ดีไซน์แบบ 3D Dual Curved ซึ่งหมายถึงมีส่วนขอบมุมที่โค้งมนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้วยหน้าจอขอบโค้ง 56 องศา และฝาหลังขอบโค้ง 3D อีกทั้งยังมีรูปทรงที่เพรียวบาง น้ำหนักเบา จึงจับถือได้อย่างสบายมือ
OPPO Reno10 5G ผลิตออกมาให้เลือก 2 สี ได้แก่สีฟ้า Ice Blue และสีเทา Silvery Grey โดยทีมงาน @Flashfly ได้รับสีฟ้า Ice Blue มารีวิว ซึ่งมีพื้นผิวของแผงหลังมันเงาสะดุดตา เกิดจากกระบวนการ OPPO Glow ที่มีการจัดเรียงโครงสร้างคริสตัลระดับจุลภาค เมื่อกระทบกับแสงจะมองเห็นเอฟเฟกต์ไล่ระดับสีอย่างสวยงาม
ดีไซน์ด้านหน้าของ OPPO Reno10 5G ดูพรีเมียมแบบสมาร์ทโฟนเรือธง เนื่องจากใช้จอแสดงผล AMOLED 3D Curved ขนาด 6.7 นิ้ว ขอบจอโค้งทั้งซ้าย-ขวา ทำให้มีพื้นที่ขอบจอบางเฉียบ 1.57 มิลลิเมตร ขณะที่ขอบจอด้านล่างก็บางเพียง 2.32 มิลลิมตร
ทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 93% ให้ความสว่างสูงสุด 950 นิต สำหรับคอนเทนต์ HDR รองรับอัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ 60Hz / 90Hz / 120Hz แสดงกราฟิกในคอนเทนต์ต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล และได้รับการป้องกันหน้าจอด้วยกระจก AGC Dragontrail Star 2 ทนการต่อการตกหล่นได้ดีกว่า 20% เมื่อเทียบกับกระจก Corning Gorilla Glass 5
OPPO Reno10 Pro 5G ใช้ดีไซน์แบบเดียวกับ OPPO Reno10 5G มีให้เลือก 2 สี ได้แก่สีม่วง Glossy Purple และสีเทา Silvery Grey โดยทีมงาน @Flashfly ได้รับสีม่วง Glossy Purple มารีวิว ซึ่งเป็นสีสันใหม่ของสมาร์ทโฟน OPPO Reno Series ที่สร้างจากโทนสีม่วงเมทัลลิค ให้ความรู้สึกหรูหรา พรีเมียม ขณะที่ส่วนขอบของฝาหลังก็มีขอบโค้ง 3D ช่วยให้ถือจับถนัดมือ อีกทั้งยังทำให้ดีไซน์ด้านข้างดูบางลงอย่างมาก
OPPO Reno10 Pro 5G มาพร้อมจอแสดงผล OLED ขอบโค้ง 56 องศา ขนาด 6.7 นิ้ว ความลึกสี 10-bit (มากกว่า 1 พันล้านสี) มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 93% รองรับอัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ 60Hz / 90Hz / 120Hz ให้ความสว่างสูงสุด 950 นิต สำหรับคอนเทนต์ HDR และได้รับการป้องกันหน้าจอด้วยกระจก AGC Dragontrail Star 2
นอกจากดีไซน์ขอบโค้งแบบ 3D 3D Dual Curved สมาร์ทโฟน OPPO Reno10 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น ยังมีดีไซน์กล้องหลังที่โดดเด่น ด้วยกรอบรูปทรงแคปซูลที่นูนขึ้นมาจากฝาหลัง จัดวางกล้องหลักไว้ด้านบน ถัดลงมาเป็นตำแหน่งของไฟแฟลช ขณะที่ครึ่งล่างติดตั้งกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera วางคู่กับกล้อง Ultra Wide บนแผงสีดำ
ถึงแม้ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G จะมีดีไซน์คล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อยที่ความบางของส่วนขอบด้านข้าง ซึ่งแทบจะแยกไม่ออกด้วยสายตา OPPO Reno10 5G มีความบาง 7.99 มิลลิเมตร ขณะที่ OPPO Reno10 Pro 5G บางกว่าเล็กน้อย 7.89 มิลลิเมตร คาดว่ามาจากขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าของ OPPO Reno10 5G
ปุ่มปรับระดับเสียง กับปุ่มเพาเวอร์ ได้รับการติดตั้งไว้ฝั่งเดียวกัน
ด้านบนมีไมโครโฟนตัวที่ 2 ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้าง และใกล้กันติดตั้งอินฟราเรดมาให้ด้วย ช่วยให้สมาร์ทโฟน OPPO Reno10 Series 5G รองรับการใช้งานเป็นรีโมทคอนโทรลสำหรับควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวี กล่องรับสัญญาณ เครื่องปรับอากาศ
ด้านล่างมีถาดใส่ซิมการ์ด, ไมโครโฟน, พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C และ ลำโพง ซึ่งมีรองรับระบบเสียง Dirac Audio มีโหมด Ultra Volume สามารถเพิ่มระดับเสียงได้ถึง 200% สำหรับใช้งานในบริเวณที่มีเสียงดังรบกวน เพื่อให้ได้ยินเสียงเพลงหรือเสียงเรียกเข้าอย่างชัดเจน และยังเพิ่มระดับเสียงของหูฟังได้อีก 3 เดซิเบล ระหว่างการโทร ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนไม่ผิดพลาด
ชาร์จเร็ว 67W SUPERVOOC
มาถึงความแตกต่างที่ชัดเจนของทั้งคู่ OPPO Reno10 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 67W SUPERVOOC ใช้เวลาชาร์จ 30 นาที ได้ระดับแบตเตอรี่ 70% หรือชาร์จจนเต็ม 100% ภายในเวลาเพียง 47 นาที และยังมีเทคโนโลยี Battery Health Engine เอกสิทธิ์เฉพาะของ OPPO ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ให้สามารถชาร์จได้มากถึง 1,600 รอบ มากกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป 2 เท่า ซึ่งเทียบได้กับการใช้งานนาน 4 ปี หากมีการชาร์จวันละครั้ง
OPPO Reno10 5G ตอบสนองการใช้งานด้วยชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7050 5G ซึ่งถูกสร้างด้วยกระบวนการผลิตขั้นสูง N6 (6 นาโนเมตร) ของ TSMC ประกอบด้วย CPU แบบ 64-bit Octa Core ประกอบด้วย Arm Cortex-A78 @ 2.6GHz (2-Core) และ Arm Cortex-A55 @ 2.0GHz (6-Core) พร้อมด้วย GPU ของ Arm Mali-G68 ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่ราบรื่นยิ่งขึ้น
ด้านความจำ OPPO Reno10 5G มีพื้นที่ขนาดใหญ่ด้วย RAM 8GB สามารถขยายได้ถึง 8GB ผ่านฟีเจอร์ RAM Expansion โดยอาศัยพื้นที่ของหน่วยความจำ ROM มาใช้งาน จึงเปรียบเสมือนมี RAM สูงสุด 16GB ขณะที่ความจุ ROM ก็สูงถึง 256GB และยังสนับสนุนการ์ด microSD สูงสุด 2TB จึงมีพื้นที่จัดเก็บไฟล์ต่างๆ ได้อย่างจุใจ
ชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC
แบตเตอรี่ของ OPPO Reno10 Pro 5G มีขนาด 4600mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC ใช้เวลาชาร์จ 10 นาที ได้ระดับแบตเตอรี่ 48% หรือชาร์จจนเต็ม 100% ภายในเวลาเพียง 28 นาที เท่านั้น จึงเป็นสมาร์ทโฟนที่พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีเรื่องเร่งด่วนขนาดไหน อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Battery Health Engine เช่นเดียวกัน ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้ยาวนานยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ OPPO Reno10 Pro 5G ยังมีชิป SUPERVOOC S ที่ไม่พบใน OPPO Reno10 5G ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยจัดการพลังงานโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น การชาร์จ, การคายประจุ, การถอดรหัส, การรีเซ็ต, การป้องกันแบตเตอรี่ และ เบรกเกอร์ ถูกรวมไว้ในชิปเดียว โดยใช้สถาปัตยกรรมที่ช่วยลดพื้นที่ส่วนประกอบในการชาร์จเร็วได้ถึง 45% และยังเพิ่มประสิทธิภาพการคายประจุแบตเตอรี่เป็น 99.5%
OPPO Reno10 Pro 5G ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 778G 5G ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยี 6 นาโนมตร ประกอบด้วยซีพียู 64-bit Kryo 670 ความเร็วสูงสุด 2.4GHz มาพร้อมจีพียู Adreno 642L อีกทั้งยังมีความจำขนาดใหญ่ RAM 12GB จับคู่กับ ROM 256GB ทำให้ OPPO Reno10 Pro 5G รองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างไหลลื่น และยังรองรับฟีเจอร์ RAM Expansion สามารถขยายความจำ RAM ได้สูงสุด 8GB จึงเปรียบเสมือนมี RAM สูงสุด 16GB
สรุปราคาและการจำหน่าย
OPPO Reno10 Series 5G ถูกสร้างมาเพื่อรองรับการถ่ายภาพโดยเฉพาะ ด้วยกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera ที่ติดตั้งไว้ในสมาร์ทโฟนระดับกลางเป็นครั้งแรกโดยทั้ง OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G สามารถถ่ายภาพพอร์ตเทรตแบบซูมออปติคอลได้ 2x อีกทั้งยังมีดีไซน์ที่สวยงามพรีเมียมแบบ 3D Dual Curved ส่วนขอบโค้งมนทั้งหน้าจอและฝาหลัง ให้ประสบการณ์แบบเดียวกับสมาร์ทโฟนเรือธง ตอบสนองความบันเทิงด้วยจอแสดงผล AMOLED ขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว ให้อัตราการรีเฟรขสูงสุด 120Hz และยังเป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนระดับกลาง แต่ถ่ายภาพพอร์ตเทรตได้สวยงามราวกับกล้องมืออาชีพ
OPPO Reno10 5G ราคา 13,990 บาท, OPPO Reno10 Pro 5G ราคา 17,990 บาท และ OPPO Reno10 Pro+ 5G ราคา 27,990 บาท รวมถึงหูฟังไร้สาย OPPO Enco Air3 Pro ได้แล้ววันนี้ ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ พิเศษสุด! สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ OPPO Reno10 Series 5G ล่วงหน้าระหว่างวันนี้ – 26 กรกฎาคม 2566 รับฟรีทันทีของสมนาคุณรวมมูลค่าสูงสุด 12,698 บาท ประกอบไปด้วย
- Camping Chair มูลค่า 1,499 บาท
- OPPO E-VIP Card มูลค่าสูงสุด 10,000 บาท
- OPPO Band มูลค่า 1,199 บาท
และเป็นเจ้าของ OPPO Reno10 Series 5G ได้ง่ายขึ้นเมื่อซื้อกับผู้ให้บริการเครือข่ายรับส่วนลดสูงสุด 8,100 บาท โดย OPPO Reno10 Series 5G จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการพร้อมกันวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
#OPPOReno10Series5G_th #ใกล้กว่าโดดเด่นกว่า #ThePortraitExpert #15thAnniversaryofOPPOThailand