Apple พร้อมทำตลาด MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ในประเทศไทยอย่างทางการแล้ว โดยชูจุดเด่นที่จอภาพ Liquid Retina ขนาดใหญ่ 15.3 นิ้ว ให้ประสิทธิภาพที่เหนือชั้นของชิป M2 ทำงานเงียบด้วยดีไซน์แบบไร้พัดลม แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 18 ชั่วโมง พร้อมด้วยระบบเสียง 6 ลำโพง ซึ่งทีมงาน @Flashfly พร้อมแล้วที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักอย่างใกล้ชิด
สเปก MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว
- จอภาพ Liquid Retina ขนาด 15.3 นิ้ว พร้อมการแสดงผลแบบ True Tone
- ชิปประมวลผล Apple M2
- หน่วยความจำแบบรวม (RAM) ขนาด 8GB / 16GB / 24GB
- ตัวจัดเก็บข้อมูลแบบ SSD ความจุ 256GB / 512GB / 1TB / 2TB
- Magic Keyboard มาพร้อม Touch ID และ แทร็คแพด Force Touch
- กล้อง FaceTime HD ความละเอียด 1080p
- การเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6, Bluetooth 5.3
- พอร์ตชาร์จ MagSafe 3, พอร์ต Thunderbolt/USB 4 จำนวน 2 พอร์ต, ช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
- ลำโพง 6 ตัว รองรับระบบเสียง Spatial Audio และ Dolby Atmos
- ไมโครโฟน 3 ตัว พร้อมบีมฟอร์มมิ่งตามทิศทางของเสียง
- แบตเตอรี่ Lithium Polymer 66.5Wh
- เล่นภาพยนตร์ในแอป Apple TV นานสูงสุด 18 ชั่วโมง
- ขนาดตัวเครื่อง 340.4 x 237.6 x 11.5 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 1.51 กิโลกรัม
แกะกล่อง MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว
MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว มาพร้อมกล่องสีขาวที่ดูเหมือนกล่องของ MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว ที่เปิดตัวในปีที่แล้ว โดยหน้ากล่องจะมีภาพด้านข้างของ MacBook Air ซึ่งเป็นด้านที่มีพอร์ตชาร์จ MagSafe 3 และ พอร์ต Thunderbolt / USB 4 จำนวน 2 พอร์ต
หลังกล่องจะพบชื่อผลิตภัณฑ์ ขนาดความจำ RAM ความจุ SSD ถัดลงมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับสเปกหลักๆ รวมถึงอุปกรณ์ภายในกล่อง และตรงขอบกล่องจะถูกซีลด้วยเทปกาว (ที่ขอบด้านบนกับด้านล่าง) เมื่อลอกออกแล้วก็จะสามารถยกฝากล่องขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
สิ่งแรกที่พบได้ทันทีหลังจากยกฝากล่องออกไป ก็คือ MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ถูกพันด้วยซองกระดาษเพื่อป้องกันริ้วรอยระหว่างขนส่ง เมื่อแกะซองออกไปแล้วกาง MacBook ขึ้นมา ก็จะพบกับแผ่นกระดาษกันรอยหน้าจอ ขณะที่ตัวเครื่องก็จะเปิดทำงานโดยอัตโนมัติ แต่เราจะวางพักไว้ก่อน
มาดูของที่เหลือในกล่องกันต่อ ซึ่งมีซองเอกสาร ที่บรรจุคู่มือ, บัตรรับประกัน, เอกสารยืนยันการรับรองจาก กสทช. และ สติกเกอร์โลโก้ Apple
สาย USB-C เป็น MagSafe 3 (ยาว 2 เมตร) ใช้สีเดียวกับตัวเครื่อง และมีไฟ LED แสดงสถานะการชาร์จ แต่หัวชาร์จยังใช้สีขาว (35W Dual USB-C Port Power Adapter)
ดีไซน์บางที่สุดในโลก
ดีไซน์ในภาพรวมของ MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว มีการแชร์ดีไซน์เดียวร่วมกับ MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว ที่เปิดตัวในปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าได้รับการออกแบบใหม่หมด มีความทันสมัยเหมือนกับ MacBook Pro รุ่นล่าสุด โดยเฉพาะจอแสดงผลแบบมีรอยบาก ผลิตออกมาให้เลือก 4 สี เหมือนกับรุ่น 13 นิ้ว ได้แก่ สีมิดไนท์, สีสตาร์ไลท์, สีเงิน และ สีเทาสเปซเกรย์ ขณะที่วัสดุและงานประกอบยังคงความประณีตตามเอกลักษณ์ของ Apple
ด้านขนาดจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ขนาดตัวเครื่อง MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ใหญ่กว่ารุ่น 13 นิ้ว อย่างแน่นอน แต่ยังรักษาความบางไว้ได้อย่างดี โดยมีความบาง 11.5 มิลลิเมตร ซึ่งหนาขึ้นมาเพียงเล็กน้อย 0.2 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับความบาง 11.3 มิลลิเมตร ของ MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว
ด้วยความบางเพียง 11.5 มิลลิเมตร และน้ำหนักเพียง 1.51 กิโลกรัม ทำให้ MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว เป็นแล็ปท็อปขนาด 15 นิ้ว ที่บางที่สุดในโลก โดยบางกว่าเกือบ 40% และ เบากว่าประมาณ 200 กรัม เมื่อเทียบกับแล็ปท็อป PC ในเซกเมนต์เดียวกัน (แล็ปท็อป PC ขนาด 15 นิ้ว ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel Core i7 ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงสุดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา)
องค์ประกอบด้านข้างของ MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ไม่มีอะไรแตกต่างจากรุ่น 13 นิ้ว มาพร้อมพอร์ตชาร์จ MagSafe 3 และ พอร์ต Thunderbolt / USB 4 จำนวน 2 พอร์ต
อีกข้างมีช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ข้างใต้ของ MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว เน้นความเรียบง่ายเหมือนกับรุ่น 13 นิ้ว มีเพียงแผ่นยางวงกลมติดตั้งไว้ทั้ง 4 มุม ช่วยยึดเกาะพื้นผิวเมื่อวาง MacBook บนโต๊ะ
ด้านบนของฝาเครื่องมีโลโก้ Apple ตามสไตล์ MacBook ในปัจจุบัน
มาถึงความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว กับรุ่น 13 นิ้ว นั่นก็คือจอแสดงผลนั่นเอง แน่นอนว่า MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าตามชื่อรุ่น แต่ยังใช้ดีไซน์ที่ทันสมัยเหมือนกัน ซึ่งหมายถึงมีรอยบากที่ขอบบนของจอแสดงผล สำหรับติดตั้งกล้อง FaceTime HD
ดีไซน์ของ Magic Keyboard ได้รับการปรับปรุงดีไซน์มาแล้วจากรุ่น 13 นิ้ว มาพร้อมแบ็คไลท์เพิ่มความสะดวกในการใช้งานในที่แสงน้อย มี Touch ID สำหรับยืนยันตัวตนและปลดล็อก ขณะที่ แทร็คแพด Force Touch มีขนาดใหญ่ใช้งานสะดวก สามารถรับรู้แรงกด รองรับคำสั่งนิ้ว Multi‑Touch และควบคุมเคอร์เซอร์ได้อย่างแม่นยำ
จอภาพ Liquid Retina ขนาด 15.3 นิ้ว
จอแสดงผลถือเป็นไฮไลท์ที่สำคัญของ MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจาก Apple ตั้งใจขยายประสบการณ์การใช้งาน MacBook Air จากปีที่แล้วให้เต็มอิ่มมากยิ่งขึ้น โดย MacBook Air รุ่นใหม่ในปีนี้ มีขนาดหน้าจอ 15.3 นิ้ว จึงรับชมคอนเทนต์ได้กว้างเต็มตามากขึ้น และเมื่อเทียบกับแล็ปท็อปในเซกเมนต์เดียวกัน จะพบว่า MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว มีความละเอียดสูงขึ้น 2 เท่า และให้ความสว่างกว่าแล็ปท็อปถึง 25% (เปรียบเทียบกับแล็ปท็อป PC ขนาด 15 นิ้ว ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel Core i7 ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา)
MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ได้รับจอภาพ Liquid Retina แบ็คไลท์แบบ LED พร้อมเทคโนโลยี IPS ความละเอียด 2880 x 1864 พิกเซล ความหนาแน่น 224 พิกเซลต่อนิ้ว ให้สีสันถึง 1 พันล้านสี ความสว่าง 500 นิต รองรับขอบเขตสีกว้างแบบ P3 และเทคโนโลยี True Tone ซึ่งอาศัยใช้เซ็นเซอร์แบบหลายช่องสัญญาณระดับสูง ช่วยในการปรับสีและความเข้มของจอภาพ
สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการต่อจอภาพภายนอก MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว รองรับจอภาพภายนอกสูงสุดถึงระดับ 6K ผ่านพอร์ต Thunderbolt ที่ติดตั้งมาให้ 2 พอร์ต
ชิป Apple M2
MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ใช้ชิป M2 รุ่นเดียวกับ MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว ที่เปิดตัวในปีที่แล้ว โดยมี CPU แบบ 8‑core ที่ประกอบด้วย คอร์ด้านประสิทธิภาพ 4 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ มาพร้อม GPU แบบ 10-core และ Neural Engine แบบ 16-core ด้านความจำมีแบนด์วิดท์หน่วยความจำ 100GB/s รองรับหน่วยความจำแบบรวมขนาด 8GB และสามารถอัปเกรดเป็น 16GB หรือ 24GB ส่วนพื้นที่จัดเก็บข้อมูล SSD เริ่มต้นที่ความจุ 256GB และสามารถอัปเกรดเป็น 512GB, 1TB หรือ 2TB
ชิป M2 ใน MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว มีความเร็วเพิ่มขึ้นสูงสุด 12 เท่า เมื่อเทียบกับ MacBook Air ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel ที่เร็วที่สุด และเร็วกว่าสูงสุด 2 เท่า เมื่อเทียบกับแล็ปท็อป PC รุ่น 15 นิ้ว ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Core i7 ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด
กล้อง FaceTime HD
เช่นเดียวกับ MacBook Air จากปีที่แล้ว MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ได้รับการติดตั้งกล้อง FaceTime HD ไว้ในรอยบาก จึงมีดีไซน์หน้าจอที่ทันสมัยแบบเดียวกับ MacBook Pro รุ่นใหม่ล่าสุด โดยมีความละเอียด 1080p เหมาะสำหรับวิดีโอคอลและประชุมทางออนไลน์
กล้อง FaceTime HD ความละเอียด 1080p บน MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ยังได้รับประโยชน์จากโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพของชิป M2 ช่วยเพิ่มคุณภาพของภาพระหว่างวิดีโอคอล และยังมีชุดไมโครโฟน 3 ตัว ทำงานร่วมกับอัลกอริทึมบีมฟอร์มมิ่ง ช่วยให้การวิดีโอคอลมีความคมชัดทั้งภาพและเสียง
ระบบเสียง 6 ลำโพง
ถึงแม้ดีไซน์โดยรวมของ MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว จะดูเหมือนกับนำรุ่น 13 นิ้ว มาขยายหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นเลย MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ได้รับระบบเสียงที่ดีขึ้น โดยมาพร้อมลำโพง 6 ตัว ซึ่งประกอบด้วย วูฟเฟอร์แบบตัดแรงสั่น 2 คู่ และทวีตเตอร์ 2 ตัว เพื่อให้เสียงเบสที่ทุ้มลึกขึ้นถึง 2 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับ MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว ที่ใช้ชิป M2) และยังรองรับระบบเสียงตามตำแหน่ง (Spatial Audio) พร้อมด้วย Dolby Atmos ช่วยสร้างเอฟเฟกต์เสียง 3D เพื่อให้การดูหนัง ฟังเพลง เต็มอิ่มสมจริง
แบตเตอรี่ใช้งานยาวนาน 18 ชั่วโมง
MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ใช้แบตเตอรี่ Lithium Polymer 66.5Wh ซึ่งมีความจุแบตเตอรี่มากกว่ารุ่น 13 นิ้ว ในปีที่แล้ว และยังใช้ชิป M2 ที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งควรให้อายุอายุการใช้งานยาวนานขึ้น แต่ด้วยจอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่กว่า ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว อยู่ได้นานสูงสุด 18 ชั่วโมง สำหรับการเล่นภาพยนตร์ในแอป Apple TV หรือ ท่องเว็บไซต์ผ่าน Wi-Fi ได้นานสูงสุด 15 ชั่วโมง เท่ากับ MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว
ด้วยแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 18 ชั่วโมง ทำให้ MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว มีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่มากกว่าแล็ปท็อป PC ถึง 50% ถึงแม้จะมีจอภาพและประสิทธิภาพที่ดีกว่า (เมื่อเทียบกับแล็ปท็อป PC รุ่น 15 นิ้ว ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Core i7 ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด)
นอกจากนี้ MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ยังให้สายชาร์จสีเดียวกับตัวเครื่อง และแถม 35W Dual USB-C Port Power Adapter มาให้ในกล่อง แต่ถ้าต้องการชาร์จให้เร็วขึ้น ก็รองรับ USB-C Power Adapter สูงสุด 70W
macOS
MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว มาพร้อมระบบปฏิบัติการ macOS Ventura ที่ได้รับการปรับปรุงแอป Messages และ Mail ให้ดีขึ้น ขณะที่ Safari ก็เข้าสู่อนาคตแบบไร้รหัสผ่านด้วย Passkey ต่อมาก็คือ Continuity Camera นำเสนอฟีเจอร์ด้านการประชุมทางวิดีโอมาอยู่บน Mac ทุกเครื่อง ทั้ง Desk View, Center Stage และ Studio Light และยังมีเครื่องมืออย่าง Stage Manager ที่จะจัดระเบียบแอปและหน้าต่างโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ใช้จดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ได้เต็มที่ โดยที่ยังคงมองเห็นทุกอย่างได้เพียงแค่เหลือบมอง
macOS Ventura ยังมี iCloud Shared Photo Library ช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างและแชร์คลังรูปภาพแยกอีกคลังในกลุ่มสมาชิกครอบครัวได้สูงสุด 6 คน และมีแอป Freeform เป็นผืนผ้าใบที่ยืดหยุ่นที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานและถ่ายทอดความคิดได้ดียิ่งขึ้น แถมผู้ใช้ยังสามารถทำงานสลับไปมาระหว่าง Mac และ iPhone ได้ง่ายนิดเดียวด้วยฟีเจอร์ความต่อเนื่อง อย่าง Handoff, AirDrop, Universal Clipboard และ Messages
ทั้งนี้ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว ก็จะได้รับการอัปเดตเป็น macOS Sonoma ทำให้ประสบการณ์การใช้งาน Mac ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีใหม่ๆ ในการปรับแต่งการใช้งานให้ตรงใจด้วยวิดเจ็ตและสกรีนเซฟเวอร์ที่สวยงาม Game Mode ที่จะปรับแต่งประสบการณ์การเล่นเกมให้ลงตัว ความสามารถในการประชุมทางวิดีโออันทรงพลัง รวมถึงการอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับ Safari และอีกมากมาย
สรุปราคาและการจำหน่าย
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม MacBook ในปัจจุบัน มีขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว, 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว ทำให้ MacBook Air รุ่นใหม่ในปี 2023 เข้ามาเติมเต็มช่องว่างได้อย่างเหมาะเจาะ สำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหา MacBook ที่มีความบางเบา และต้องการจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นอีกหน่อย แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ประสิทธิภาพระดับสูงของ MacBook Pro รุ่น 16 นิ้ว
สรุปแล้ว MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่เน้นหน้าจอขนาดใหญ่ แต่ไม่ต้องการประสิทธิภาพสูงขนาด MacBook Pro และถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่า MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว แต่ไม่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่มี MacBook Air หรือ MacBook Pro รุ่นล่าสุดใช้งานอยู่แล้ว โดย MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว พร้อมให้จับจองในไทยแล้ว ราคาเริ่มต้นที่ 47,900 บาท มาในสีมิดไนท์, สีสตาร์ไลท์, สีเงิน และ สีเทาสเปซเกรย์
- MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว พร้อมชิป M1 เริ่มต้นที่ 33,900 บาท
- MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว พร้อมชิป M2 เริ่มต้นที่ 39,900 บาท
- MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว พร้อมชิป M2 เริ่มต้นที่ 47,900 บาท