realme ยกระดับสมาร์ตโฟนในตระกูล Number Series ให้มีความพรีเมียมมากขึ้นด้วย realme 11 Pro Series 5G ที่มีดีไซน์หรูหราจากการร่วมออกแบบกับดีไซเนอร์ระดับโลก พร้อมด้วยเทคโนโลยีการถ่ายภาพแถวหน้าของอุตสาหกรรม จอแสดงผลขอบโค้ง 120Hz Curved Vision Display และให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า โดยทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิวพร้อมกัน 2 รุ่น ได้แก่ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G
แกะกล่อง realme 11 Pro Series 5G
realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G ถูกจัดส่งมาในกล่องสีเหลืองตามสไตล์ realme หน้ากล่องของทั้งคู่ก็ดูเหมือนกัน โดดเด่นด้วยเลข 11 ขนาดใหญ่ แต่จะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนจากชื่อรุ่น Pro+ และ Pro ที่อยู่ใต้เลข 11 ขณะที่หลังกล่องบอกจุดเด่นที่น่าสนใจของทั้ง 2 รุ่น รวมถึงติดฉลากที่ระบุรหัสรุ่น, สีสัน, หมายเลขอีมี่, ชื่อรุ่น, เครือข่ายที่รองรับ และข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต
เมื่อยกฝากล่องขึ้นมา จะเห็นว่าตัวกล่องจริงๆ เป็นสีดำ โดยมีกล่องเอกสารสีเหลืองแบนๆ วางอยู่บนสุด ภายในมีคู่มือ Quick Guide, ข้อมูลด้านความปลอดภัย (รวมถึงใบรับประกัน), เข็มช่วยถอดช่องใส่ซิมการ์ด และแถมเคสมาให้ 1 อัน (realme 11 Pro+ 5G ได้เคสใส ส่วน realme 11 Pro 5G ได้สีดำโปร่งใส)
ใต้กล่องเอกสาร เป็นชั้นวางสมาร์ตโฟน ซึ่งถูกห่อหุ้มอยู่ในซองอย่างดี เมื่อหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากซอง จะพบว่า realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G ได้รับการติดฟิล์มป้องกันรอยหน้าจอมาให้แล้ว
ชั้นล่างสุดของกล่องเป็นช่องเก็บสายชาร์จ USB Type-C และ หัวชาร์จแบตเตอรี่ USB Power Adapter โดย realme 11 Pro+ 5G มาพร้อม 100W SUPERVOOC ขณะที่ realme 11 Pro 5G ได้รับ 67W SUPERVOOC
ดีไซน์สุดพรีเมียม
realme 11 Pro Series 5G ทั้ง 2 รุ่น ได้รับการออกแบบและใช้วัสดุแบบเดียวกัน โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black แต่เพื่อให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนของทั้งคู่ ทีมงาน @Flashfly เลือก realme 11 Pro+ 5G สี Sunrise Beige มารีวิวให้ชม ขณะที่ realme 11 Pro 5G เป็นสี Astral Black
Sunrise Beige ถือเป็นสีที่ realme ภูมิใจนำเสนอเป็นพิเศษ เนื่องจากมีการร่วมมือกับ Matteo Menotto อดีตดีไซเนอร์ภาพพิมพ์และสิ่งทอจากแบรนด์ Gucci เพื่อนำเสนอมาตรฐานงานดีไซน์ระดับไฮเอนด์ และงานฝีมือจากแบรนด์หรู มาสู่ผู้ใช้งานสมาร์ตโฟน realme ทั่วโลก
Matteo Menotto นำความประทับใจในช่วงเวลาที่แสงแดดสีทองส่องกระทบสถาปัตยกรรมคลาสสิกอันงดงามของมิลาน เมืองแห่งแฟชั่น เกิดเป็นความสว่างเรืองรองสีทองอ่อนที่ฉาบไล่ไปทั่วทั้งตัวเมือง จนออกมาเป็นโทนสี Sunrise Beige
realme 11 Pro Series 5G สี Sunrise Beige (รวมถึงสี Oasis Green) มีฝาหลังที่หรูหราพรีเมียมด้วยการหุ้มหนังวีแกนลายผลลิ้นจี่ (Premium Lychee Vegan Leather) ผ่านกรรมวิธีการผลิตระดับพรีเมียม เพิ่มรายละเอียดแนวตะเข็บแบบ 3 มิติ ที่สวยงามตามแบบฉบับของช่างฝีมือ ผสานการทอแบบ 3 มิติ เพื่อสร้างสรรค์ดีไซน์ที่งดงาม ทันสมัย สะกดทุกสายตา
ดีไซน์ด้านหน้าของ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G ก็มองหาความแตกต่างได้ยากเช่นกัน เพราะทั้งคู่แชร์ดีไซน์ร่วมกัน ทั้งสีสัน วัสดุ ไปจนถึงขนาดตัวเครื่อง และขนาดหน้าจอ ทั้ง 2 รุ่น ใช้ดีไซน์ของจอโค้งแบบเรือธง ขนาด 6.7 นิ้ว พร้อมเจาะหลุมตรงกลางสำหรับติดตั้งกล้องหน้า เหนือขึ้นไปเป็นตำแหน่งของลำโพงหูฟัง ซ่อนอยู่ในช่องแคบๆ สุดขอบด้านบน
จอแสดงผลของ realme 11 Pro Series 5G ได้รับการป้องกันด้วยกระจกนิรภัย 0.65 มิลลิเมตร ผ่านการทดสอบการตกหล่นที่ความสูง 1 เมตร และยังซ่อนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอตามสไตล์ของสมาร์ตโฟนเรือธง
สำหรับกล้องหลัง เป็นจุดที่สามารถแยกแยะความแตกต่างของทั้งคู่ได้ง่ายที่สุด ถึงแม้ realme 11 Pro Series 5G จะมีดีไซน์กล้องหลังเหมือนกัน แต่จะเห็นว่า realme 11 Pro+ 5G มีเลนส์กล้อง 3 ตัว พร้อมระบุความละเอียดกล้องหลัก 200MP ชณะที่ realme 11 Pro 5G มีเลนส์กล้องหลัง 2 ตัว และระบุความละเอียดกล้องหลัก 100MP
ส่วนขอบด้านข้างมีความบาง 8.2 มิลลิเมตร สำหรับสี Astral Black แต่ถ้าเป็นสี Sunrise Beige กับ Oasis Green จะมีความบาง 8.7 มิลลิเมตร เนื่องจากฝาหลังถูกหุ้มด้วย Premium Lychee Vegan Leather
ปุ่มปรับระดับเสียง และ ปุ่มเพาเวอร์ ติดตั้งไว้ทางฝั่งเดียวกัน
ด้านบนมีไมโครโฟนตัวที่ 2 ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้าง และ ลำโพงสเตอริโอ (ขับเสียงร่วมกับลำโพงด้านล่าง) รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ Hi-Res Audio
ด้านล่างมีลำโพงสเตอริโอ (ขับเสียงร่วมกับลำโพงด้านบน), พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ไมโครโฟนตัวหลัก และ ถาดใส่ซิมการ์ด รองรับ 2 ซิม (Dual Nano-SIM)
realme 11 Pro+ 5G
realme 11 Pro+ 5G ชูจุดเด่นที่กล้องตัวหลัก 200MP OIS SuperZoom Camera ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HP3 จอแสดงผล 120Hz Curved Vision Display ความจุแบตเตอรี่ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC และใช้ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7050 5G
สเปก realme 11 Pro+ 5G
- จอแสดงผล OLED ขนาด 6.7 นิ้ว ขอบโค้ง 61 องศา
- กล้องหลัก 200MP OIS SuperZoom Camera (Samsung ISOCELL HP3)
- กล้องหน้า 32MP Selfie Camera (Sony IMX615)
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7050 5G
- ความจำ RAM 12GB + ROM 1TB
- ขยายความจำ RAM ได้อีก 8GB ผ่านฟีเจอร์ Dynamic RAM Expansion
- ระบบปฏิบัติการ realme UI 4.0 (บนพื้นฐาน Android 13)
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC
- ขนาดตัวเครื่อง 161.6 x 73.9 x 8.2 มิลลิเมตร (หรือ 8.7 มิลลิเมตร สำหรับฝาหลังแบบหนัง)
- น้ำหนัก 183 กรัม (หรือ 189 กรัม สำหรับฝาหลังแบบหนัง)
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black
จอขอบโค้ง 6.7 นิ้วรีเฟรช 120Hz
realme 11 Pro+ 5G ใช้จอแสดงผลระดับเรือธงตั้งแต่ดีไซน์ขอบจอโค้ง 61 องศา ทำให้ขอบจอด้านข้างดูไร้ขอบ ขณะที่ขอบจอด้านล่างบางเพียง 2.33 มิลลิเมตร ซึ่งเกิดจากกระบวนการ COP Ultra และยังเสริมความแข็งแรงหน้าจอด้วยกระจกนิรภัย 0.65 มิลลิเมตร ผ่านการทดสอบการตกจากที่สูง 1 เมตร มั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพ
จอแสดงผลของ realme 11 Pro+ 5G ให้สีสันสวยงามคมชัดด้วยจอ OLED ความละเอียด 2412 x 1080 พิกเซล ขนาด 6.7 นิ้ว มาพร้อมโหมด HyperVision เทคโนโลยีปรับปรุงคุณภาพของภาพวิดีโอระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มประสบการณ์การรับชมวิดีโออย่างมากด้วยคุณสมบัติ Video Colour Boost และ HDR video highlighting
ที่น่าสนใจก็คือ realme 11 Pro+ 5G มาพร้อม X-touch algorithm 2.0 อัลกอริทึมต่อต้านการสัมผัสผิดพลาดรุ่นที่ 4 เพิ่มอัตราการตอบสนอง 40% และป้องกันสัมผัสที่ผิดพลาดขึ้น 30% เพิ่มพื้นที่สัมผัสที่ผิดพลาด 20% จากรุ่นก่อนหน้า สามารถจดจำเทคนิคการจับได้ถึง 11 ชนิด และนิ้วต่างๆ ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังแก้ปัญหาความแตกต่างของสัญญาณที่เกิดจากนิ้วต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตรวจจับแบบไดนามิกได้รับการสนับสนุน และขึ้นอยู่กับสัญญาณการสัมผัสนิ้วที่เสถียร เพื่อให้ได้กระบวนการตรวจจับที่มีประสิทธิภาพ และสมเหตุสมผลมากขึ้น
จอแสดงผลของ realme 11 Pro+ 5G ให้ความละเอียดในการสัมผัส 16x สูงสุดในอุตสาหกรรม สามารถตรวจจับตำแหน่งนิ้วของผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยรองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz และมีอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส 1260Hz (Turbocharged Touch Sampling)
จอแสดงผลของ realme 11 Pro+ 5G สามารถปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติได้ถึง 20,000 ระดับ เป็นครั้งแรกของโลก และยังมีเทคโนโลยีถนอมดวงตาด้วยประสิทธิภาพการปรับระดับแสง PWM (Pulse Width Modulation) ที่ความถี่สูง 2160Hz และยังผ่านการรับรองการปกป้องสายตาจาก TÜV Rheinland ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาจากการกะพริบของหน้าจอ และยังผ่านการรับรองการป้องกันดวงตาจากแสงสีฟ้าต่ำ จึงสามารถดูแลดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
realme 11 Pro+ 5G รองรับการปลดล็อกหรือยืนยันตัวตนด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) ซึ่งได้รับการปรับปรุงความเร็วในการปลดล็อก และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับหน้าจอแบบเดิม โดยสามารถสแกนนิ้วได้อย่างแม่นยำภายใต้อุณหภูมิต่ำ แสงจ้า นิ้วแห้ง และสถานการณ์อื่นๆ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์ที่ไม่เหมือนใคร ทำให้การใช้งานมีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
กล้องหลัง 200MP OIS SuperZoom Camera
ไฮไลท์ของ realme 11 Pro+ 5G อยู่ที่กล้องหลักความละเอียดสูง 200 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ภาพรุ่นใหม่ มีรูรับแสงขนาดใหญ่ที่สุดในเซกเมนต์ มอบพลังการซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด และมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS ทำให้ผู้ใช้งานทุกคนสามารถเข้าถึงการถ่ายภาพมาตรฐานระดับเรือธงได้ไม่ยาก อีกทั้งยังรองรับ One Take ซึ่งอาศัยกล้องหลักความละเอียดสูงพิเศษ 200 ล้านพิกเซล และความฉลาดของอัลกอริทึม AI ทำให้ realme 11 Pro+ 5G สามารถสร้างภาพถ่ายหลายภาพจากมุมมองที่แตกต่างกันในครั้งเดียว
- กล้องหลัก 200 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HP3 Super Zoom ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.4 นิ้ว รูรับแสง F1.69
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HP3 Super Zoom ของกล้องหลักใช้เทคโนโลยี Tetra2pixel สามารถรับรู้พิกเซลแบบ 4-in-1 หรือ 16-in-1 เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย เซ็นเซอร์จะเปลี่ยนเป็นเซ็นเซอร์ภาพขนาด 0.56 ไมครอน 200 ล้านพิกเซล เป็น 1.12 ไมครอน 50 ล้านพิกเซล หรือ 2.24 ไมครอน 12.5 ล้านพิกเซล ในสภาวะแสงที่มืดที่สุด เพื่อรองรับการถ่ายภาพในทุกสภาวะแสง
พิกเซลเซ็นเซอร์ทั้งหมดของ realme 11 Pro+ 5G รองรับระบบโฟกัสอัตโนมัติ ซึ่งคอยตรวจจับความแตกต่างของเฟสแนวนอนและแนวตั้งบนพิกเซลที่อยู่ติดกัน 4 พิกเซล เพื่อการโฟกัส อัตโนมัติที่แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ถึงแม้กำลังจับรายละเอียดของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ ก็ยังได้ภาพที่คมชัดไม่เบลอ กล้องหลังของ realme 11 Pro+ 5G ใช้สถาปัตยกรรมการถ่ายภาพ HyperShot Imaging 2.0 ที่ประกอบด้วย QuickShot Acceleration Engine, Image Engine, Anti-shake Engine และ Colour Boost Engine ทำให้การถ่ายภาพมีทั้งความรวดเร็ว, เพิ่มคุณภาพให้กับภาพถ่าย, ป้องกันภาพสั่นไหวได้ดีขึ้น และ เพิ่มสีสันให้สดใสสมจริง
เมื่อเข้ามาในแอปกล้องของ realme 11 Pro+ 5G จะพบกับโหมดถ่ายภาพ Night, Street, Video, Photo, Portrait, Hi-Res, Pro, Panorama, Macro, Movie, Slow-motion, Time-lapse, Long Exposure, Dual-view Video, Text Scanner, Starry mode, Group Portrait และ Tilt-shift
โหมด Photo รองรับการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x ซึ่งเป็นการเปิดใช้งานกล้อง Ultra Wide และสามารถซูมได้สูงสุด 20x อย่างไรก็ตาม การซูมจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อซูมที่ระยะ 4x เนื่องจาก realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมกับเทคโนโลยีซูมเลนส์เดียว 4 เท่า แบบไม่สูญเสียข้อมูล ซึ่งความละเอียดของการถ่ายภาพด้วยการซูม 4 เท่า สูงกว่ากล้อง 200 ล้านพิกเซล ที่พบในรุ่นอื่นถึง 242% โดยใช้คุณสมบัติพิกเซลสูงในการสลับโหมดเซ็นเซอร์เมื่อทำการซูม เพื่อให้ได้จำนวนพิกเซลจริงเท่ากันในส่วนโฟกัสต่างๆ
โหมด Hi-Res สำหรับการถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 200 ล้านพิกเซล หรือ 50 ล้านพิกเซล เหมาะสำหรับการถ่ายภาพระดับมืออาชีพที่ต้องการนำภาพถ่ายไปใช้ในงานตัดต่อเพิ่มเติม หรือครอปตัดโดยที่ยังรักษารายละเอียดของรูปภาพไว้อย่างดี แต่ไม่สามารถซูมหรือใช้ฟิลเตอร์ได้ในโหมดนี้
โหมด Portrait รองรับการถ่ายภาพ 2 ระยะ ได้แก่ 1x และ 2x โดยเฉพาะระยะ 2x ซึ่งมีความยาวโฟกัสภาพบุคคลตามอัตราส่วนทองคำ 2 เท่า ใกล้เคียงกับการรับรู้ภาพของดวงตามนุษย์ ทำงานร่วมกับอัลกอริทึมภาพบุคคล SLR เบลอพื้นหลังแบบธรรมชาติ ทำให้บุคคลโดดเด่นยิ่งขึ้น และยังมีอัลกอริทึมความงามของ AI ช่วยรักษาระดับพื้นผิวของผิวอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังมาพร้อม Filters ที่ช่วยให้ภาพถ่าย Portrait โดดเด่นมากขึ้น อย่างเช่น Dynamic bokeh และ Bokeh Flare Portrait
โหมด Super Group Portrait หรือการถ่ายภาพ Portrait แบบกลุ่มมากถึง 10 คน realme 11 Pro+ 5G ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน ด้วยความละเอียดสูงพิเศษ 200 ล้านพิกเซล ของกล้องหลัก กับอัลกอริทึมการปรับแต่งใบหน้าที่พัฒนาขึ้นเอง และการทดสอบภาพถ่ายกลุ่มนับล้านครั้ง ได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ใบหน้าของทุกคนในโหมด Super Group Portrait นั้นชัดเจน แม้แต่พื้นผิวของคิ้วก็ยังมองเห็นได้
โหมด Street Photography 4.0 ได้รับฟิลเตอร์ใหม่ Lonely Planet, Cinematic, Crisp และ Tranquil โดยเอาใจสายถ่ายภาพและนักเดินทางยิ่งขึ้น ด้วยการร่วมมือกับ Lonely Planet หนึ่งในนิตยสารท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เพื่อยกระดับการถ่ายภาพด้วยฟีเจอร์ใหม่ ซึ่งครอบคลุมทางยาวโฟกัสมากขึ้น ทำให้การถ่ายภาพแนวสตรีทบนสมาร์ทโฟนสนุกมากยิ่งขึ้น เหมือนถ่ายโดยช่างภาพแนวสตรีทมืออาชีพ พร้อมกรอบรูป Lonely Planet สวยงาม
ด้วยสโลแกน “200MP ซูมเหนือระดับ” ทำให้ realme 11 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟน 5G รุ่นแรกของอุตสาหกรรม ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Auto-zoom ซึ่งมีรูปแบบการตรวจจับวัตถุและรูปแบบการครอบตัดอัตโนมัติจากภาพถ่ายมากกว่า 10,000 ภาพ จึงสามารถจัดองค์ประกอบภาพที่สวยงาม
โหมด Super NightScape ใช้ประโยชน์จากเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ระดับเรือธง 1/1.4 นิ้ว พร้อมรูรับแสงขนาดใหญ่พิเศษ F/1.69 และพิกเซลเดี่ยว 16-in-1 2.24 ไมครอน เพื่อจับภาพที่มีสภาพแสงน้อยได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ยังมีอัลกอริทึม ProLight ที่สามารถประมวลผลข้อมูลภาพในโดเมน RAW
ครั้งแรกของ realme ที่รองรับโหมด Moon โดยมาพร้อมอัลกอริทึม AI Scene Recognition ทำงานร่วมกับทางยาวโฟกัสมากกว่า 10 เท่า ทำให้กล้องหลังของ realme 11 Pro+ 5G สามารถปรับการเปิดรับแสงอัตโนมัติเป็นความสว่างของแสงดวงจันทร์ และใช้การซูมเลนส์เดียวแบบไม่สูญเสียรายละเอียดได้ถึง 4 เท่า ผสานกับการเรียนรู้เชิงลึกของ Al เพื่อให้สามารถถ่ายภาพดวงจันทร์ที่คมชัดได้อย่างง่ายดาย
โหมด Handheld Starry Sky เป็นอีกโหมดการถ่ายภาพที่ realme รองรับเป็นครั้งแรก ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว โดยไม่ต้องตั้งค่าที่ซับซ้อน และไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง โดยอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างอัลกอริทึม First StarLight, เทคโนโลยี Super OIS, การลดสัญญาณรบกวนแบบหลายเฟรมของ AI และ อัลกอริทึมการจัดตำแหน่งดาว ทำให้ realme 11 Pro+ 5G สามารถถ่ายภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่สว่างและชัดเจนผ่านการปรับค่าแสงแบบไดนามิก
โหมด Video รองรับการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x ซึ่งเป็นการเปิดใช้งานกล้อง Ultra Wide และสามารถซูมได้สูงสุด 10x สามารถปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลังได้ รองรับ Filters – Bokeh Flare Portrait และสามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที หรือ Full HD 1080p ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที
ระบบป้องกันภาพสั่นไหว Super OIS เป็นอีกฟีเจอร์ที่ช่วยให้กล้องหลังของ realme 11 Pro+ 5G ถ่ายภาพได้อย่างคมชัดโดยเฉพาะการถ่ายภาพแนวสตรีทและสปอร์ต โดยมีอัลกอริทึม OIS 3° EDR ช่วยดึงเลนส์กลับไปที่กึ่งกลางระหว่างเฟรมอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วในการปรับเปลี่ยนเลนส์ที่เพิ่มขึ้น 40% ในการถ่ายภาพเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีอัลกอริทึมป้องกันการสั่น 4 แกน เพื่อใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ Gyro และเซ็นเซอร์ Acceleration ได้อย่างเต็มที่
กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
กล้องหน้ามีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX615 ให้มุมมองกว้าง 90 องศา ช่วยเก็บภาพฉากหลังที่เป็นวิวสวยๆ ได้มากขึ้น โดยโหมด Photo ของกล้องหน้า สามารถปรับระยะการซูมได้ 2 ระดับ ได้แก่ 0.8x และ 1x มาพร้อมฟีเจอร์ Retouch สำหรับปรับความงามบนใบหน้าได้หลายส่วน ที่สำคัญคือมีอัลกอริทึมกำจัดฝ้าของ AI ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ สามารถรักษาโทนสีผิวที่สม่ำเสมอของเลนส์ด้านหน้า สามารถปรับผิวพรรณของใบหน้าให้สวยงามราวกับผิวเด็ก ให้ความรู้สึกเหมือนผิวจริงจากธรรมชาติ
โหมด Portrait ของกล้องหน้า สามารถซูม 0.8x และ 1x ได้เช่นกัน อีกทั้งยังสามารถปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลังได้อีกด้วย ทำให้ตัวบุคคลโดดเด่นยิ่งขึ้น ขณะที่ฟีเจอร์ Retouch และ Filters ก็ใช้งานได้เหมือนโหมด Photo
โหมด Video ของกล้องหน้า สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด Full HD 1080p มีฟีเจอร์คล้ายกับโหมด Portrait ไม่ว่าจะเป็นการซูมที่ระยะ 0.8x และ 1x การปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลัง รองรับฟีเจอร์ Retouch ขณะที่ Filters มี Bokeh Flare Portrait เหมือนกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่าย
ชิป Dimensity 7050 5G
realme 11 Pro+ 5G ใช้ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7050 5G ซึ่งเป็นชิปรุ่นใหม่ที่เปิดตัวในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ถูกสร้างด้วยกระบวนการผลิตขั้นสูง N6 (6 นาโนเมตร) ของ TSMC ที่ออกแบบมาให้ประหยัดพลังงานสำหรับสมาร์ตโฟน 5G ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ให้ยาวนานกว่าที่เคย โดยมี CPU แบบ 64-bit Octa Core ประกอบด้วย Arm Cortex-A78 @ 2.6GHz (2-Core) และ Arm Cortex-A55 @ 2.0GHz (6-Core) พร้อมด้วย GPU ของ Arm Mali-G68 ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่ราบรื่นยิ่งขึ้น ด้านความจำ realme 11 Pro+ 5G มีพื้นที่ขนาดใหญ่ด้วย RAM 12GB จับคู่กับ ROM 512GB
แบตใหญ่ ชาร์จไว 100W SUPERVOOC
realme 11 Pro+ 5G มีความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh ซึ่งสามารถสแตนด์บายได้นานกว่า 16 วัน หรือสนทนาได้นานถึง 29 ชั่วโมง ถ้าใช้งานด้านความบันเทิง เพียงพอสำหรับการดูวิดีโอเกือบ 19 ชั่วโมง หรือฟังเพลงนานต่อเนื่อง 23 ชั่วโมง และถ้าแบตเตอรี่เต็ม ก็สามารถเล่นเกมได้ยาวนานกว่า 8 ชั่วโมง จึงมั่นใจได้ว่า realme 11 Pro+ 5G สามารถให้อายุการใช้งานเพียงพอตลอดทั้งวันสำหรับการใช้งานทั่วไปอย่างแน่นอน
เบื้องหลังที่ทำให้ realme 11 Pro+ 5G ประหยัดพลังงาน นอกจากใช้ชิปรุ่นใหม่ของ MediaTek ยังนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยประหยัดพลังงาน สามารถตรวจจับความต้องการด้านการสื่อสารของ Wi-Fi และ 5G เพื่อจัดการการใช้งานพลังงานอย่างชาญฉลาด และสามารถตรวจสอบแอปพลิเคชันที่เปิดทำงานไว้ในพื้นหลัง เพื่อลดการใช้พลังงานของแอปต่างๆ แบตเตอรี่ของ realme 11 Pro+ 5G ยังให้อายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตเตอรี่ทั่วไปถึง 2 เท่า ซึ่งหมายถึงแบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพช้ากว่า โดยยังคงรักษาความจุมากกว่า 80% หลังจากชาร์จและคายประจุครบ 1,600 รอบ ภายใต้สภาวะการชาร์จเร็ว
ที่สำคัญก็คือ realme 11 Pro+ 5G ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC โดยแถมหัวชาร์จ 100W Power Adapter มาให้ด้วย ซึ่งเป็นหัวชาร์จใหม่แบบ GaN (Gallium Nitride) เมื่อเทียบกับหัวชาร์จแบบเดิม จะพบว่าหัวชาร์จ GaN มีขนาดเล็กลงทำให้พกพาได้สะดวกขึ้น และหัวชาร์จแบบ GaN ยังสามารถกระจายความร้อนได้ดีกว่า ทำให้ realme 11 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกในเซกเมนต์ ที่รองรับการชาร์จเร็วแบบ GaN 100W ใช้เวลาชาร์จ 3 นาที ได้ระดับแบตเตอรี่ 17% และถ้าชาร์จจนเต็ม 100% จะใช้เวลาเพียง 26 นาที
realme ยังนำเทคโนโลยี AI มาช่วยควบคุมการชาร์จด้วย เพื่อปรับปรุงการชาร์จในสถานการณ์ต่างๆ ผ่านโหมด Extreme Cold, ป้องกันการชาร์จระยะยาว, ควบคุมความเร็วในการชาร์จสำหรับแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ รวมไปถึงติดตามสภาพแบตเตอรี่
นอกจากนี้ ยังได้รับการป้องกัน 38 ชั้น เพื่อความปลอดภัยของการชาร์จ ครอบคลุมตั้งแต่สายชาร์๗ พอร์ตชาร์จของสมาร์ตโฟน ไปจนถึงเซลล์แบตเตอรี่ วงจรตรวจสอบความปลอดภัยหลายวงจร สามารถตัดไฟได้โดยตรงในกรณีที่เกิดความผิดปกติ และยังผ่านการออกแบบที่ทนไฟของ PS3 วัสดุ V-0 เกรดทนไฟที่เป็นพลาสติกคุณภาพสูงที่สุดในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างเกราะป้องกันที่กันไฟทั้งตัวเครื่อง
realme 11 Pro 5G
มาถึงรุ่น realme 11 Pro 5G โดยในรุ่นนี้ก็มีสเปกหลายอย่างแบบเดียวกับ realme 11 Pro+ 5G ไม่ว่าจะเป็นจอแสดงผล 120Hz Curved Vision Display ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7050 5G ความจุแบตเตอรี่ 5000mAh แต่รองรับชาร์จเร็ว 67W SUPERVOOC และมีกล้องตัวหลัก 100MP OIS ProLight Camera ซึ่งแน่นอนว่ารุ่นนี้มีราคาถูกกว่านั่นเองมาดูกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง
สเปก realme 11 Pro 5G
- จอแสดงผล OLED ขนาด 6.7 นิ้ว ขอบโค้ง 61 องศา
- กล้องหลัก 100MP OIS ProLight Camera
- กล้องหน้า 16MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7050 5G
- ความจำ RAM 8GB + ROM 256GB
- ขยายความจำ RAM ได้อีก 8GB ผ่านฟีเจอร์ Dynamic RAM Expansion
- ระบบปฏิบัติการ realme UI 4.0 (บนพื้นฐาน Android 13)
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 67W SUPERVOOC
- ขนาดตัวเครื่อง 161.6 x 73.9 x 8.2 มิลลิเมตร (หรือ 8.7 มิลลิเมตร สำหรับฝาหลังแบบหนัง)
- น้ำหนัก 185 กรัม (หรือ 191 กรัม สำหรับฝาหลังแบบหนัง)
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black
จอขอบโค้ง 6.7 นิ้วรีเฟรช 120Hz
จอแสดงผลของ realme 11 Pro 5G ใช้จอเกรดพรีเมียมเหมือนกับ realme 11 Pro+ 5G ทุกประการ จึงมาพร้อมจอแสดงผลขอบโค้ง 61 องศา ทำให้ขอบจอด้านข้างดูเหมือนไร้กรอบ ขณะที่ขอบจอด้านล่างก็บางเฉียบ 2.33 มิลลิเมตร ด้วยกระบวนการบรรจุภัณฑ์ COP Ultra
จอแสดงผลของ realme 11 Pro 5G ยังรองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz สามารถปรับความสว่างหน้าจอแบบอัตโนมัติได้ถึง 20,000 ระดับ ให้ประสิทธิภาพการปรับระดับแสง PWM (Pulse Width Modulation) ที่ความถี่สูง 2160Hz และยังผ่านการรับรองการปกป้องสายตาจาก TÜV Rheinland ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาจากการกะพริบของหน้าจอ ขณะที่ยังมอบความสว่างสู้แสงแดดจ้าได้อย่างดีเยี่ยม
กล้องหลัก 100MP OIS ProLight Camera
กล้องหลังของ realme 11 Pro 5G ได้รับเทคโนโลยีต่างๆ แบบเดียวกับ realme 11 Pro+ 5G ดังนั้น โหมดถ่ายภาพต่างๆ จึงมีมาให้คล้ายกัน แต่เนื่องจาก realme 11 Pro 5G ไม่มีกล้อง Ultra Wide และมีความละเอียดของกล้องหลักน้อยกว่า ทำให้ระยะการซูมสู้รุ่นพี่ไม่ได้ แต่ถ้าวัดกันที่ความคมชัด จะเห็นว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
- กล้องหลัก 100 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.75 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว Super OIS
- กล้อง Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.4
realme 11 Pro 5G รองรับโหมดถ่ายภาพ Night, Street, Video, Photo, Portrait, 100MP, Pro, Panorama, Movie, Slow-motion, Time-lapse, Long Exposure, Dual-view Video, Text Scanner, Starry mode, Group Portrait และ Tilt-shift
ถึงแม้จะขาดกล้อง Ultra Wide และ Macro แต่กล้องหลังของ realme 11 Pro 5G ก็ชดเชยด้วยกล้อง Portrait และรองรับโหมดถ่ายภาพมากมายแบบเดียวกับที่พบใน realme 11 Pro+ 5G ไม่ว่าจะเป็นโหมด Starry สำหรับถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืน, โหมด Group Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคลเป็นกลุ่ม ขณะที่กล้องหลักก็มีโหมด 100MP สำหรับการถ่ายภาพความละเอียดสูงสุด 100 ล้านพิกเซล
กล้องหน้า 16MP Selfie Camera
realme 11 Pro 5G ได้รับกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล ติดตั้งไว้ในหลุมบนหน้าจอเหมือนกับ realme 11 Pro+ 5G และมีโหมดถ่ายภาพแบบเดียวกัน แต่ไม่สามารถซูมได้ที่ระยะ 0.8x นั่นทำให้กล้องหน้าของ realme 11 Pro+ 5G มีมุมมองที่กว้างกว่า สำหรับการถ่ายเซลฟี่ที่เน้นฉากหลังด้วย แต่สำหรับกล้องหน้าของ realme 11 Pro 5G จะเน้นไปที่ใบหน้ามากกว่า
ตัวอย่างภาพถ่าย
ชิป Dimensity 7050 5G
realme 11 Pro 5G ใช้ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 7050 5G แบบเดียวกับที่พบใน realme 11 Pro+ 5G ดังนั้น ประสิทธิภาพของทั้ง 2 รุ่น จึงไม่หนีกันมากนัก อย่างไรก็ตาม realme 11 Pro 5G ที่ทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิว มีขนาดความจำ RAM 8GB + ROM 256GB ขณะที่ realme 11 Pro+ 5G ให้ RAM 12GB + ROM 512GB
realme 11 Pro Series 5G ยังได้รับการจัดอันดับเกรด A โดย TÜV SÜD สำหรับความคล่องแคล่วของระบบ หลังจากทดสอบสมาร์ตโฟนในหลายด้าน เช่น ความเร็วในการตอบสนอง, เอฟเฟกต์แอนิเมชัน, การสลับแอปพลิเคชัน จึงมั่นใจได้ว่า realme 11 Pro Series 5G ทั้ง 2 รุ่น สามารถจองสนองการใช้งานได้อย่างรวดเร็วเหมือนใหม่ แม้ผ่านระยะเวลาการใช้งานมานานกว่า 48 เดือน
ชาร์จเร็ว 67W SUPERVOOC
สำหรับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ realme 11 Pro 5G มีความจุแบตเตอรี่ 5000mAh เท่ากับ realme 11 Pro+ 5G อีกทั้งยังมีสเปกจอแสดงผล และชิปประมวลผล เหมือนกัน จึงให้อายุการใช้งานยาวนานพอๆ กัน สามารถเล่นเกมได้นานกว่า 8 ชั่วโมง หรือ สนทนาได้นานสูงสุดเกือบ 30 ชั่วโมง และถ้าดูวิดีโอนานต่อเนื่อง ก็ทำได้ถึง 18 ชั่วโมง
realme 11 Pro 5G ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 67W SUPERVOOC สามารถชาร์จแบตเตอรี่ถึงระดับ 50% ในเวลา 18 นาที 21 วินาที และชาร์จจนเต็ม 100% ภายในเวลาเพียง 47 นาที และยังได้รับการป้องกัน 38 ระดับ เพิ่มความปลอดภัยในการชาร์จแบตเตอรี่ ตั้งแต่หัวชาร์จ ไปจนถึงแบตเตอรี่ในตัวสมาร์ตโฟน
realme UI 4.0
realme 11 Pro Series 5G ทำงานบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย realme UI 4.0 ซึ่งนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมายที่มีใน Android 13 พร้อมการอัปเกรดใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การออกแบบอินเตอร์เฟซ, ปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งาน, ความลื่นไหล และความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อมอบความสะดวกสบายและประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นสูงสุด โดยมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจดังนี้
Adaptive Sleep – เมื่อเปิดใช้งาน Adaptive Sleep หน้าจอจะไม่ถูกปิดตามเวลาพักหน้าจอที่กำหนดไว้ เหมาะสำหรับการอ่านหรือดูคอนเท้นต์เป็นเวลานานโดยไม่ต้องคอยปลุกหน้าจอ
ซ่อนการแจ้งเตือนอย่างชาญฉลาด – เมื่อผู้ใช้ได้รับข้อมูลการแจ้งเตือน จะมีเพียงเจ้าของเท่านั้นที่สามารถดูการแจ้งเตือนบนหน้าจอ จึงสามารถป้องกันการแอบดูข้อมูลและปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน รวมถึงยัง เบาเสียงเรียกเข้าเมื่อมองหน้าจอสมาร์ตโฟน – เมื่อมีสายเรียกเข้า สมาร์ตโฟนจะเบาเสียงริงโทนโดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้งานจ้องไปที่หน้า ทำให้เสียงริงโทนไม่ดังรบกวนคนรอบข้างขณะที่กำลังดูว่าใครโทรเข้ามา
AOD (Always-On Display) – ได้รับการปรับปรุงให้สนับสนุน Playlist บนหน้าจอในโหมด AOD จึงสามารถควบคุมการเล่นเพลงได้สะดวกขึ้น โดยไม่ต้องปลดล็อกสมาร์ตโฟน
สรุปราคาและการจำหน่าย
realme 11 Pro Series 5G ทั้ง 2 รุ่น ถูกสร้างมาเหมือนเป็นคู่แฝด ด้วยดีไซน์ที่สวยหรูพรีเมียมเหมือนกัน มิติตัวเครื่องเท่ากัน จอแสดงผลขอบโค้งแบบเรือธงเหมือนกัน ด้านประสิทธิภาพก็แทบไม่มีความแตกต่างกัน เพราะใช้ชิปประมวลผลรุ่นเดียวกัน ความจุแบตเตอรี่ขนาดเท่ากัน แตกต่างกันที่ความเร็วในการชาร์จ ที่ realme 11 Pro+ 5G ชาร์จได้เร็วกว่า แต่ realme 11 Pro 5G ก็ชาร์จได้ไวเช่นกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะเลือกรุ่นไหนระหว่าง realme 11 Pro+ 5G กับ realme 11 Pro 5G ผู้ใช้งานก็จะได้สัมผัสถึงความพรีเมียม ได้รับประสบการณ์การใช้งานไม่แตกต่างกัน แต่ถ้าหากต้องการยกระดับด้านการถ่ายภาพ realme 11 Pro+ 5G จะตอบโจทย์มากกว่า ด้วยกล้องหลักที่มีความละเอียดสูงกว่า และยังมีกล้อง Ultra Wide มาให้ด้วย
realme 11 Pro+ 5G นำเสนอรุ่นความจุ 8/512GB โทนสี Sunrise Beige และ Oasis Green ในราคา 16,999 บาท โดยสามารถพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฏาคมผ่านช่องทาง realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยสามารถสั่งจองได้ในราคาเพียง 500 บาท พิเศษสำหรับช่วงพรีออเดอร์รับของแถมฟรี! มูลค่า 9,999 บาท และรับส่วนลดเพิ่มเติมตามแต่ละ ช่องทาง หรือสามารถเป็นเจ้าของได้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 7 กรกฏาคมเป็นต้นไป รับฟรี realme Gift Box มูลค่า 1,999 บาท นอกจากนี้ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ผ่านช่องทาง Lazada โดยหากพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฏาคมจะได้รับคูปองส่วนลดเพิ่มไปอีก 1,000 บาท (เหลือเพียง 15,999 บาทเท่านั้น) ช่องทางการสั่งซื้อ : https://bit.ly/3p8Pwny
realme 11 Pro 5G นำเสนอรุ่นความจุ 8/256GB โทนสี Sunrise Beige และ Astral Black ในราคา 12,999 บาท โดยสามารถพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฏาคม สำหรับช่องทาง realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยสามารถสั่งจองได้ในราคาเพียง 500 บาท พิเศษสำหรับช่วงพรีออเดอร์รับของแถมฟรี มูลค่า 9,999 บาท และรับส่วนลดเพิ่มเติมตามแต่ละช่องทาง หรือสามารถเป็นเจ้าของได้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 7 กรกฏาคมเป็นต้นไป รับฟรี realme Gift Box มูลค่า 1,999 บาท นอกจากนี้ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ก่อนใครผ่านช่องทาง Shopee ที่เดียว โดยสามารถพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน – 6 กรกฏาคมจะได้รับคูปองส่วนลดเพิ่มไปอีก 1,000 บาท (เหลือเพียง 11,999 บาทเท่านั้น) ช่องทางการสั่งซื้อ : https://bit.ly/43uUSsh