ดูเหมือน iPhone 14 Pro Max ของ Apple จะเจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว หลังจาก Samsung เปิดตัว Galaxy S23 Series เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมี Galaxy S23 Ultra เป็นรุ่นท็อปสุด และพร้อมแล้วที่จะท้าชนกับ iPhone ที่ดีที่สุดของ Apple โดยเว็บไซต์ Phonearena ได้จับทั้งคู่มาเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด เพื่อดูว่าฝ่ายไหนมีข้อได้เปรียบในเรื่องใดบ้าง
ความแตกต่างที่ชัดเจน
ระหว่าง Galaxy S23 Ultra vs iPhone 14 Pro Max
- กล้องหลัก 200MP vs 48MP
- ซูมออปติคัล 10x vs 3x
- บันทึกวิดีโอสูงสุด 8K@30FPS vs 4K@60FPS
- ความเร็วในการชาร์จ 45W vs 27W
- ปากกา S Pen มีเฉพาะ Galaxy S23 Ultra
สเปกและราคา
การออกแบบ
Galaxy S23 Ultra มีรูปทรงที่เหลี่ยมกว่าเมื่อเทียบกับ Galaxy S23 และ Galaxy S23+ กล้องหลังไม่มีกรอบกันชนที่ใหญ่หนาเหมือนสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น มีเพียงความนูนจากโมดูลกล้องแต่ละตัว โดยมีส่วนขอบด้านข้างที่มีความโค้งมนกว่า iPhone 14 Pro Max ที่มีสันเหลี่ยม อีกทั้ง Galaxy S23 Ultra ยังมีขอบหน้าจอโค้ง ทำให้ได้เปรียบกว่าในเรื่องของการยศาสตร์
จอแสดงผล
iPhone 14 Pro Max มาพร้อมจอแสดงผล OLED รุ่นล่าสุด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ใน Galaxy S23 Ultra ด้วยเช่นกัน โดยหน้าจอเรือธงของ Samsung มีความละเอียด 3088 x 1440 พิกเซล ขนาด 6.8 นิ้ว ขณะที่ iPhone มีความละเอียด 2796 x 1290 พิกเซล ขนาด 6.7 นิ้ว
Galaxy S23 Ultra ใช้จอแสดงผล OLED รุ่นที่ 12 ของ Samsung ซึ่งมีการเพิ่มความสว่างสูงสุดเทียบเท่า Galaxy Z Fold 4 จากการทดสอบมาตรฐานจอแสดงผลของ Phonearena พบว่าความสว่างยังไม่ถึงระดับสูงสุด 2,000 นิต ที่จอแสดงผลของ iPhone 14 Pro Max รองรับ แต่ Samsung ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างแผงหน้าจอที่ปรับเทียบอย่างดีพร้อมการนำเสนอสีที่ยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับ Apple
ในทางกลับกัน Apple ก็ได้พัฒนาอัตราการรีเฟรชแบบไดนามิกให้รองรับช่วง 1Hz – 120Hz เช่นเดียวกับ Samsung จากรุ่นก่อนหน้าที่ลดต่ำได้ที่ 10Hz เท่านั้น ทำให้แผนกจอแสดงผลของทั้ง 2 รุ่น มีผลเสมอกัน
กล้อง
กล้องหลักของ Galaxy S23 Ultra ทิ้งห่างคู่แข่งอย่างชัดเจน ด้วยเซ็นเซอร์ ISOCELL HP2 ที่มีความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ขณะที่ iPhone 14 Pro Max มีกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล ซึ่งอัปเกรดจาก 12 ล้านพิกเซลในรุ่นก่อน
กล้องหลักของ Galaxy S23 Ultra ยังสามารถปรับความละเอียดตามสภาพแสงได้ อย่างในสภาวะแสงน้อย ขนาดพิกเซลจะอยู่ที่ 1.12 ไมครอน ทำให้สามารถถ่ายภาพ 50 ล้านพิกเซล ด้วยความไวแสงที่เพิ่มขึ้น และในเวลากลางคืน Galaxy S23 Ultra ขนาดพิกเซลจะอยู่ที่ 2.4 ไมครอน ซึ่งเกิดจากการเทคโนโลยีรวม 16 พิกเซลเป็น 1 พิกเซล สามารถถ่ายภาพ 12.5 ล้านพิกเซล จึงถ่ายภาพได้อย่างคมชัดในทุกสภาพแสง
เปรียบเทียบภาพถ่าย
กล้องหลักของ Galaxy S23 Ultra เก็บรายละเอียดปลีกย่อยในฉากได้มากกว่า iPhone 14 Pro Max ตัวอย่างภาพถ่ายยังแสดงสีที่เย็นกว่าและคอนทราสต์ที่อ่อนลงซึ่งคงความจริงกับสิ่งที่อยู่ด้านหน้าเลนส์มากกว่า iPhone ของ Apple ที่สว่างจ้าแต่อบอุ่นและเหลืองเกินไป
อัลกอริทึมกล้องของ iPhone 14 Pro Max มักจะตัดสินใจถ่ายภาพหนึ่งระดับแสงเหนือระดับที่ Samsung เห็นว่าเหมาะสมสำหรับฉาก ทำให้ภาพถ่ายของ S23 Ultra ดูมืดลงเล็กน้อยในกระบวนการนี้ แต่มีไฮไลต์น้อยลงรอบๆ วัตถุที่สว่างกว่าในฉาก Galaxy S23 Ultra ยังทำให้พื้นหลังรอบๆ วัตถุหลักในเฟรมดูนุ่มนวลขึ้นอีกเล็กน้อย โดยไม่ต้องสลับใช้โหมดถ่ายภาพบุคคล ในขณะที่ภาพถ่ายจาก iPhone 14 Pro Max ดูคมชัดและแบนราบกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อซูมเข้าไปในตัวอย่างภาพถ่ายของ iPhone รายละเอียดและความคมชัดจะหายไปทันที เมื่อเทียบกับภาพถ่ายจาก Galaxy S23 Ultra ซึ่งบ่งชี้ว่าเซ็นเซอร์ 200 ล้านพิกเซล มีข้อมูลภาพถ่ายมากกว่าและปรับปรุงได้มากขึ้นหากจำเป็น
การถ่ายภาพภายในอาคารและในสภาวะแสงน้อย Galaxy S23 Ultra มีช่วงไดนามิกที่ดีกว่า โดยส่องสว่างทั้งเสื้อคลุมสีเข้มของนายแบบในภาพและโคมไฟบนผนังให้เท่ากัน มากกว่าที่ iPhone 14 Pro Max สามารถรวบรวมได้ ขณะที่ iPhone ใช้วิธีเปิดรับแสงที่สูงขึ้นตามขั้นตอนปกติ โดยลดเงาในความมืด และสร้างรัศมีแทนแหล่งกำเนิดแสงของหลอดไฟ เมื่อเทียบกับช่วงไดนามิกที่กว้างกว่าที่ Galaxy S23 Ultra สามารถจับภาพได้
ภาพถ่ายจากกล้อง Ultra-wide พบว่า Apple ได้เพิ่มคอนทราสต์และอุณหภูมิสีอีกครั้งให้มากกว่าที่อัลกอริทึมของ Samsung เลือกใช้ใน Galaxy S23 Ultra ทำให้เกิดภาพที่สวยงามน่าประทับใจมากกว่าที่จะต้องเปรียบเทียบกับความเป็นจริง ขณะที่เรือธงของ Samsung สามารถสร้างบรรยากาศที่โปร่งสบายและเร้าใจน้อยลง ในขณะที่ยังคงรักษาช่วงไดนามิกที่ดีพร้อมการส่องสว่างที่สม่ำเสมอมากขึ้น และสีสันที่ยังคงโดดเด่น
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่มีแสงน้อย การเปิดรับแสงที่สูงขึ้นของ iPhone 14 Pro Max ทำให้มองเห็นวัตถุในฉาก Ultra-wide ได้มากขึ้น ในขณะที่ Galaxy S23 Ultra สร้างภาพที่มีคอนทราสต์ที่เพิ่มขึ้นและสีที่อุ่นขึ้น
Galaxy S23 Ultra สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 8K ด้วยอัตรา 30 เฟรมต่อวินาที รวมถึงการถ่ายวิดีโอด้วย HDR ที่ราบรื่นในโหมด 4K และ FHD โหมด HDR ของ Galaxy S23 Ultra มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยผสมผสานการรับแสงทั้ง 3 เพื่อให้ได้ภาพถ่ายและวิดีโอ HDR ที่ดูดี นอกจากนี้ ยังพร้อม Super Steady Mode ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบทุกแกน ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะสำหรับรุ่น Galaxy S23 Ultra เพื่อแข่งขันกับ Action Mode ของ Apple
ประสิทธิภาพ
Galaxy S23 Ultra ใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 8 Gen 2 Mobile Platform for Galaxy ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้แรงกว่า Snapdragon 8 Gen 2 และผลทดสอบจากแอปพลิเคชั่น Geekbench ก็แสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในด้าน multi-core ดีกว่าชิป A15 Bionic ใน iPhone 14 แต่ยังเทียบไม่ได้กับชิป A16 Bionic ของ 14 Pro Max อย่างไรก็ตาม Galaxy S23 Ultra สามารถจัดการความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างเล่นเกมได้ดีกว่า
แบตเตอรี่
เนื่องจากได้รับโปรเซสเซอร์ Snapdragon 8 Gen 2 for Galaxy ที่ผลิตบนเทคโนโลยี 4 นาโนเมตรรุ่นที่ 2 และใช้จอแสดงผล LTPO OLED รุ่นใหม่ ทำให้ Galaxy S23 Ultra มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แต่ iPhone 14 Pro Max ก็ยังคงมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ตามผลทสอบด้านล่าง
อย่างไรก็ตาม Galaxy S23 Ultra ได้เปรียบกว่าคู่แข่งในเรื่องของการชาร์จแบตเตอรี่ 45W สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh จนเต็มในเวลา 66 นาที ขณะที่ iPhone 14 Pro Max รองรับการชาร์จ 27W จึงใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ยาวนานกว่า
ที่มา – Phonearena