Dynamic Island เริ่มนำมาใช้งานได้ไม่นาน โดยถูกจำกัดไว้เฉพาะ iPhone 14 Pro และดูเหมือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ 3D Touch ใน iPhone รุ่นเก่า แต่เว็บไซต์ 9to5Mac ได้เขียนบทความว่า “3D Touch เป็นคุณสมบัติของ iPhone ที่ดีกว่า Dynamic Island”
Apple เริ่มติดตั้ง 3D Touch ตั้งแต่ iPhone 6s ที่เปิดตัวในปี 2015 จนมาถึง iPhone 8 เป็นรุ่นสุดท้ายที่มี 3D Touch หลังจากนั้น Apple ก็เปลี่ยนไปใช้ Haptic Touch กับ iPhone XR ในปี 2018 ก่อนจะมาถึง Dynamic Island บน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
9to5Mac ระบุว่า 3D Touch เป็นเทคโนโลยีการแสดงผลไวต่อแรงกดที่ยอดเยี่ยมมาก ถือเป็นนวัตกรรมที่ Apple ควรรักษาไว้ ไม่น่าทิ้งไป 3D Touch ช่วยให้จอแสดงผลรับรู้แรงกดของปลายนิ้วระหว่างแตะเบาๆ กับแตะอย่างหนักแน่น เพื่อเรียกใช้ฟีเจอร์ที่แตกต่างกันได้อย่างแม่นยำ และตอบสนองการใช้งานได้เร็วกว่าการแตะค้างไว้
นอกจาก iPhone ยังพบเทคโนโลยีที่คล้ายกันบน Apple Watch และแทรคแพดของ MacBook ด้วย แต่ใช้ชื่อเรียก Force Touch และ Force Click
ถึงแม้จะเป็นคุณสมบัติที่มีประโยชน์อย่างมาก แต่ Apple ก็ตัดสินใจทิ้ง 3D Touch อย่างถาวรในปี 2019 ด้วยการเปิดตัว iPhone 11 series โดยใช้ Haptic Touch แทนที่ 3D Touch
9to5Mac เชื่อว่าหนึ่งในเหตุผลใหญ่ที่ Apple ตัดสินใจทิ้ง 3D Touch คือ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ถึงแม้ 3D Touch จะไม่ได้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่มากมายนัก แต่ฮาร์ดแวร์ของ 3D Touch ไปกินพื้นที่ภายในอุปกรณ์ ทำให้ความจุแบตเตอรี่ลดลง และผู้ใช้ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับอายุการใช้งานของแบตเตอรี่มากกว่า การลบ 3D Touch และส่วนประกอบอื่นๆ ที่ไม่สำคัญ จึงช่วยให้ iPhone มีพื้นที่ว่างมากขึ้นสำหรับแบตตอรี่
สำหรับ Dynamic Island เริ่มนำมาใช้กับ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max โดยอาศัยพื้นที่ช่องเจาะรูปแคปซูลยาบนหน้าจอที่เป็นส่วนของกล้องหน้าและเซ็นเซอร์ต่างๆ สำหรับ Face ID เป็นส่วนการแสดง User Interface ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้
3D Touch และ Dynamic Island อาจไม่มีความเกี่ยวข้องกันมากนัก แต่ 9to5Mac มองว่า 3D Touch มีประโยชน์และพร้อมใช้งานทันทีตั้งแต่เปิดตัว โดยรองรับเกือบทุกแอปพลิเคชั่นของ Apple ขณะที่ Dynamic Island ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังจำเป็นต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้ และเชื่อว่าบางทีอาจจะมองเห็นประโยชน์ของ Dynamic Island หลังจากเปิดตัว iPhone 15
ที่มา – 9to5Mac