หลังจากทีมงาน @Flashfly แกะกล่องพร้อมพรีวิว iPad รุ่นที่ 10 (เวอร์ชั่น Wi-Fi) ให้ชมไปก่อนหน้านี้ ก็ถึงเวลาที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ iPad รุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับ iPad ที่ได้ชื่อว่ามีราคาประหยัดที่สุด
สเปก iPad รุ่นที่ 10
- จอภาพ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว
- รองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1)
- กล้องหลัง 12MP Wide Camera รูรับแสง f/1.8
- กล้องหน้า 12MP Ultra Wide camera
- ชิป A14 Bionic
- ความจุ 64GB / 256GB
- ลำโพงสเตอริโอในแนวนอน
- ไมโครโฟนคู่ สำหรับการโทร บันทึกวิดีโอ และ บันทึกเสียง
- เซ็นเซอร์ Touch ID, Three‐axis gyro, Accelerometer, Barometer และ Ambient light sensor
- การเชื่อมต่อ Wi‑Fi 6 (2.4GHz และ 5GHz), Bluetooth 5.2, USB‑C
- เฉพาะรุ่น Wi‑Fi + Cellular รองรับ 5G และมี GPS/GNSS ในตัว
- แบตเตอรี่ Lithium‑Polymer 28.6 Wh
- ขนาดตัวเครื่อง 248.6 x179.5 x 7 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 477 กรัม (หรือ 481 กรัม สำหรับรุ่น Wi‑Fi + Cellular)
- มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีฟ้า, สีชมพู, สีเหลือง และ สีเงิน
ดีไซน์ใหม่หมด
ตัวเครื่อง iPad รุ่นที่ 10 ยังคงใช้วัสดุอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% เหมือนกับรุ่นก่อน รวมถึงขนาดและน้ำหนักก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ถ้าเจาะลงไปดูตัวเลขจริงๆ จะเห็นว่า iPad รุ่นที่ 10 บางลงจาก 7.5 เหลือ 7.0 มิลลิเมตร ความสูงก็สั้นลง จาก 250.6 เหลือ 248.6 มิลลิเมตร และกว้างขึ้นเล็กน้อย จาก 174.1 เป็น 179.5 ส่วนน้ำหนัก iPad รุ่นที่ 10 ก็เบากว่ารุ่นก่อน 10 กรัม สำหรับรุ่น Wi‑Fi
iPad รุ่นที่ 10 ผลิตออกมาทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีฟ้า, สีชมพู, สีเหลือง และ สีเงิน ซึ่งทีมงาน @Flashfly ได้รับสีชมพูมารีวิว ขณะที่ iPad รุ่นที่ 9 มีให้เลือกเพียง 2 สี ได้แก่ สีเงิน และ สีเทาสเปซเกรย์
ดีไซน์ภายนอกของ iPad รุ่นที่ 10 ได้รับการออกแบบใหม่หมด แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่ขยายหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น ยังลบปุ่มโฮมใต้หน้าจอออกไปด้วย ทำให้ iPad รุ่นที่ 10 มีขนาดหน้าจอ 10.9 นิ้ว และมีพื้นที่ขอบจอบางลง ขณะที่รุ่นก่อนมีขนาดหน้าจอ 10.2 นิ้ว
iPad รุ่นที่ 10 ถือเป็น iPad รุ่นแรก ที่วางกล้องหน้าในแนวนอน คู่กับไมโครโฟน ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานแบบ MacBook หรือแล็ปท็อป
ด้านหลังก็แตกต่างไปจากเดิม ด้วยโมดูลกล้องที่ใหญ่ขึ้น วางคู่กับไมโครโฟน ส่วนโลโก้ Apple และ iPad ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม ถึงแม้ดีไซน์โดยรวมของ iPad รุ่นที่ 10 จะมุ่งเน้นให้ใช้งานในแนวนอนมากขึ้น
ขอบด้านข้างมีความบางเพียง 7 มิลลิเมตร (บางกว่ารุ่นก่อนหน้า 0.5 มิลลิเมตร) มาพร้อม Smart Connector สำหรับเชื่อมต่อกับ Magic Keyboard Folio อีกข้างมีปุ่มเพิ่มกับปุ่มลดระดับเสียง ติดตั้งไว้ที่ส่วนบน
ด้านบนมีความพิเศษที่ปุ่มเพาเวอร์ เพราะมาพร้อม Touch ID แบบเดียวกับ iPad Air และ iPad mini รุ่นล่าสุด และยังมีลำโพงสเตอริโอติดตั้งไว้ที่ด้านบนด้วย แต่ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ด้านล่างยังมีลำโพงมาให้ด้วย ขับเสียงร่วมกับลำโพงด้านบน และให้เสียงสเตอริโอเมื่อใช้งานในแนวนอน
อีกจุดที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ iPad นั่นก็คือพอร์ตเชื่อมต่อ ซึ่งเปลี่ยนจาก Lightning มาใช้ USB‑C แบบเดียวกับ iPad รุ่นอื่นๆ ที่มีราคาสูงกว่า
จอแสดงผล Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว
iPad รุ่นที่ 10 มาพร้อมจอแสดงผล Liquid Retina ที่มีแบ็คไลท์แบบ LED พร้อมเทคโนโลยี IPS สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้มองหน้าจอจากมุมมองด้านข้าง โดยมีความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซล 264 พิกเซลต่อนิ้ว ขนาด 10.9 นิ้ว ให้ความสว่าง 500 นิต ได้รับการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ และรองรับการแสดงผลแบบ True Tone
จอแสดงผลของ iPad รุ่นที่ 10 ได้รับการปรับปรุงในเรื่องของดีไซน์ เนื่องจากไม่มีปุ่มโฮมใต้หน้าจอ ทำให้สามารถขยายพื้นที่ให้กว้างกว่ารุ่นก่อน แต่ยังคงรองรับการทำงานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 1 ซึ่งจะมองว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้ iPad รุ่นก่อนๆ ก็ว่าได้ เพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อ Apple Pencil รุ่นที่ 2 เนื่องจากราคา iPad รุ่นที่ 10 ก็มีการปรับตัวขึ้นพอสมควร
ชิป A14 Bionic
iPad รุ่นที่ 10 สร้างความแตกต่างจากรุ่นก่อน ด้วยชิป A14 Bionic ซึ่งแน่นอนว่ามีประสิทธิภาพดีกว่า iPad รุ่นที่ 9 อย่างแน่นอน โดยชิป A14 Bionic ใน iPad รุ่นที่ 10 ประกอบด้วย CPU แบบ 6‑core (คอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์), GPU แบบ 4‑core และ Neural Engine แบบ 16‑core
ชิป A14 Bionic ใน iPad รุ่นที่ 10 มาพร้อม CPU ที่ทำงานได้มากขึ้น 20% ปรับปรุงกราฟิกให้ดีขึ้น 10% เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นที่ 9 ที่ใช้ชิป A13 Bionic และมีประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นที่ 7
ยิ่งไปกว่านั้น ชิป A14 Bionic ยังขับเคลื่อนฟังก์ชั่นการเรียนรู้ของระบบ ด้วย Neural Engine แบบ 16-core ซึ่งมีจำนวนคอร์มากกว่าชิป A13 Bionic ถึง 2 เท่า ปรับปรุงความสามารถด้านการเรียนรู้ของระบบได้สูงสุดถึง 80% ทำให้ iPad รุ่นที่ 10 รองรับการทำงานด้านตัดต่อวิดีโอความละเอียดสูง เล่นเกมที่มีกราฟิกสวยงามสมจริงได้อย่างลื่นไหล และยังประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า
กล้องหน้า Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล
iPad รุ่นที่ 10 ได้รับการติดตั้งกล้องหน้าในแนวนอนเป็นครั้งแรกของ iPad ทุกรุ่น โดยใช้กล้องหน้าแบบ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/2.4 ให้มุมมองภาพ 122 องศา รองรับฟีเจอร์จัดให้อยู่ตรงกลาง หรือ Center Stage ซึ่งทำให้กล้องหน้าคอยแพนและซูมโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ใช้อยู่กลางเฟรมตลอดเวลาขณะที่ขยับตัวไปมา ไม่ว่าจะโทร FaceTime หรือบันทึกวิดีโอเพื่อแชร์ลงโซเชี่ยลมีเดีย
กล้องหน้าของ iPad รุ่นที่ 10 ยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ รองรับโหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง เพิ่มความคมชัดด้วย Smart HDR 3 สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด Full HD 1080p ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที รองรับโหมด Time‑lapse พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว ให้ช่วงไดนามิกกว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที และมีระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (1080p และ 720p)
กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล ถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps
กล้องหลังของ iPad รุ่นที่ 10 มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/1.8 (รุ่นก่อนมีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ) ชุดเลนส์ 5 ชิ้น สามารถซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่า รองรับ Smart HDR 3 มีโหมด Panorama สูงสุด 63 ล้านพิกเซล (รุ่นก่อน 43 ล้านพิกเซล) โหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง และมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ
iPad รุ่นที่ 10 สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที (รุ่นก่อนทำได้สูงสุด Full HD 1080p ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที) มีระบบออโต้โฟกัสแบบต่อเนื่อง รองรับโหมด Slo‑mo ความละเอียด 1080p ที่ 240 เฟรมต่อวินาที, Time-lapse พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว และมีระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (1080p และ 720p)
ตัวอย่างภาพถ่าย iPad 10
การเชื่อมต่อ
เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า จะเห็นว่า iPad รุ่นที่ 10 มีการเชื่อมต่อที่ทันสมัยมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีใหม่กว่า ทั้งการเชื่อมต่อ Wi‑Fi ก็ใช้มาตรฐาน Wi‑Fi 6 (802.11ax) ที่มีความเร็วสูงสุด 1.2Gbps ทำให้การเชื่อมต่อเร็วขึ้น 30% เมื่อเทียบกับ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11ac ใน iPad รุ่นที่ 9 และยังใช้เทคโนโลยี Bluetooth 5.2 ขณะที่รุ่นก่อนหน้าใช้ Bluetooth 4.2
การเชื่อมต่อผ่านสาย ก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมครั้งใหญ่ เพราะเปลี่ยนจาก Lightning มาใช้ USB‑C เรียบร้อยแล้ว จึงสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์เสริมได้หลากหลายมากขึ้น และใช้เวลาชาร์จได้เร็วขึ้น เมื่อใช้ร่วมกับอะแดปเตอร์ชาร์จไฟกำลังสูง
สำหรับรุ่น Wi‑Fi + Cellular ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยรองรับเครือข่าย 5G ซึ่งทำความเร็วได้สูงสุดถึง 3.5Gbps และยังสนับสนุน Gigabit LTE สูงสุด 32 ย่านความถี่ ช่วยให้ผู้ใช้ iPad รุ่นที่ 10 สามารถสตรีมคอนเท้นต์ได้อย่างเร็วขึ้น รวมถึงการสื่อสารที่ราบรื่นมากกว่าเดิม และดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ได้ทันใจ
แบตเตอรี่
iPad รุ่นที่ 10 ใช้แบตเตอรี่ Lithium‑Polymer 28.6 Wh ซึ่งมีความจุน้อยกว่ารุ่นก่อน (อาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ iPad รุ่นใหม่บางลงกว่าเดิม) แต่ด้วยชิป A14 Bionic ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ iPad รุ่นที่ 10 มีอายุการใช้งานยาวนานพอๆ กับรุ่นก่อนหน้า สามารถท่องเว็บผ่าน Wi-Fi หรือดูวิดีโอได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง ขณะที่เวอร์ชั่น Wi-Fi + Cellular จะอยู่ได้นานสูงสุด 9 ชั่วโมง
รองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 1
น่าเสียดายที่ iPad รุ่นที่ 10 ยังรองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นแรก ขณะที่เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB‑C จึงทำให้การชาร์จแบตเตอรี่มีขั้นตอนที่เพิ่มเข้ามา จากรุ่นก่อนหน้าที่สามารถชาร์ต Apple Pencil ได้โดยตรง เพียงถอดฝาแล้วเสียบเข้สไปที่พอร์ต Lightning แต่การชาร์จแบตเตอรี่ Apple Pencil กับ iPad รุ่นที่ 10 จำเป็นต้องมี “อะแดปเตอร์ USB-C เป็น Apple Pencil”
การชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ Apple Pencil รุ่นที่ 1 ผ่าน “อะแดปเตอร์ USB-C เป็น Apple Pencil” ทำได้ง่ายๆ เพียงเสียบ Apple Pencil เข้าที่ปลายด้านหนึ่งของอะแดปเตอร์ และเสียบสายชาร์จ USB-C จาก iPad ที่ปลายอีกด้านหนึ่ง
ทั้งนี้ “อะแดปเตอร์ USB-C เป็น Apple Pencil” วางจำหน่ายแยกต่างหากในราคา 390 บาท และถ้ายังไม่มี Apple Pencil รุ่นที่ 1 ก็ต้องจ่ายเพิ่มในราคา 3,900 บาท ซึ่งในกล่องจะแถม อะแดปเตอร์ USB-C เป็น Apple Pencil มาให้ด้วยเลยสำหรับล็อตที่ผลิตใหม่
Magic Keyboard Folio
iPad รุ่นที่ 10 ได้รับการเปิดตัวพร้อมกับ Magic Keyboard Folio ซึ่งทาง Apple ออกแบบมาให้ใช้งานคู่กัน (วางจำหน่ายแยกต่างหากในราคา 9,990 บาท) ถ้าต้องการรับประสบการณ์การทำงานในรูปแบบแล็ปท็อป หรือ MacBook
Magic Keyboard Folio มีความพิเศษที่ดีไซน์แบบแยกส่วน ประกอบด้วย แผงคีย์บอร์ดแบบถอดแยกได้ มาพร้อมแถวปุ่มฟังก์ชั่น 14 ปุ่ม สำหรับใช้งานคำสั่งลัด แต่ละปุ่มใช้กลไกแบบกรรไกรที่มีระยะขยับขึ้นลงของปุ่ม 1 มิลลิเมตร และมีแทร็คแพดในตัว ขนาดใหญ่ รองรับคำสั่งนิ้ว Multi-Touch และเคอร์เซอร์ใน iPadOS
อีกส่วนเป็นแผงปกป้องที่ด้านหลังตัวเครื่อง สามารถใช้เป็นขาตั้งที่ปรับมุมมองได้อย่างอิสระ และยึดติดกับ iPad ด้วยแม่เหล็ก จึงง่ายต่อการถอดเปลี่ยน
นอกจากนี้ แผงคีย์บอร์ด ยังเชื่อมต่อกับ iPad ด้วย Smart Connector ซึ่งรองรับทั้งการจ่ายไฟและรับส่งข้อมูล หมายความว่า ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องชาร์จหรือจับคู่คีย์บอร์ด และสามารถพับคีย์บอร์ดไว้ด้านหลัง iPad ได้อย่างง่ายดาย หรือจะถอดแยกออกอย่างอิสระก็ได้เช่นกัน รวมถึงยังมี iPad Samrt Folio เป็นอีกตัวเลือกด้วย
iPadOS 16
iPad รุ่นที่ 10 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iPadOS 16 ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ทำให้ iPad มีความสามารถมากขึ้น อย่างแอป Weather ก็ถูกเพิ่มเข้ามาแล้วใน iPad โดยออกแบบมาให้ใช้ประโยชน์จากจอภาพขนาดใหญ่ทำให้การแสดงแอนิเมชั่นสวยงาม และสามารถตรวจสอบข้อมูลสภาพอากาศได้ง่ายๆ เพียงแตะแค่ครั้งเดียว
ฟีเจอร์ iCloud Shared Photo Library ช่วยให้ผู้ใช้งาน สามารถแชร์รูปภาพได้อย่างราบรื่นโดยอัตโนมัติร่วมกับสมาชิกในครอบครัวสูงสุด 6 คน
แอป Safari สามารถเพิ่มกลุ่มแถบที่แชร์ เพื่อรองรับการท่องเว็บร่วมกับผู้อื่น และพาสคีย์ยังทำให้ประสบการณ์ด้านการท่องเว็บเกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
แอป Messages อนุญาตให้ผู้ใช้งาน สามารถแก้ไขหรือยกเลิกข้อความที่เพิ่งส่ง กู้คืนข้อความที่เพิ่งลบ และทำเครื่องหมายการสนทนาให้เป็นสถานะยังไม่ได้อ่าน เพื่อจะได้ย้อนกลับมาอ่านในภายหลัง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติการทำงานร่วมกันแบบใหม่ในแอป Messages ทำให้การเริ่มและจัดการโปรเจ็กต์ที่แชร์กันทำได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น
แอป Mail สามารถกำหนดเวลาให้อีเมลล่วงหน้า และยังมีช่วงเวลาให้ยกเลิกการส่งข้อความได้ ก่อนที่จะส่งไปถึงกล่องเข้าของผู้รับ
และในเร็วๆ นี้ iPadOS 16 จะได้รับการอัปเดทให้รองรับ Freeform แอปใหม่ด้านการทำงานที่ทรงประสิทธิภาพ มาพร้อมผืนผ้าใบที่ยืดหยุ่น และรองรับการทำงานกับ Apple Pencil ได้อย่างสมบูรณ์ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้มองเห็น แชร์ และทำงานร่วมกันทั้งหมดได้จากที่เดียว
สรุปราคาและการจำหน่าย
ถือได้ว่าเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่สำหรับ iPad รุ่นที่ 10 ที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่หมด ทันสมัยเทียบเท่า iPad Air ที่มีราคาสูงกว่า ทั้งพอร์ต USB-C และตำแหน่งใหม่ของ Touch ID ที่รวมไว้กับปุ่มเพาเวอร์ด้านบน ทำให้จอแสดงผลมีพื้นที่กว้างมากขึ้น อีกทั้งยังเป็น iPad รุ่นแรกที่วางกล้องหน้าในแนวนอน พร้อมด้วยลำโพงสเตอริโอในแนวนอน กล้องหลังก็มีความละเอียดมากขึ้นทั้งการถ่ายภาพและวิดีโอ ด้านประสิทธิภาพก็แรงขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าด้วยชิปที่ใหม่กว่า และมาตรฐานการเชื่อมต่อที่ใหม่กว่า สรุปแล้ว iPad รุ่นที่ 10 ถือเป็นการอัปเกรดที่คุ้มค่า สำหรับผู้ใช้ iPad รุ่นเก่า หรือ ใครก็ตามที่กำลังมองหาแท็บเล็ตที่มีความคุ้มค่า และให้ประสบการณ์การทำงานเทียบเท่าแล็ปท็อป
อย่างไรก็ตาม iPad รุ่นที่ 10 ไม่ได้เป็น iPad ราคาประหยัดอีกต่อไป เนื่องจากทาง Apple ยังวางจำหน่าย iPad รุ่นที่ 9 ควบคู่กันไปด้วย และมีการปรับราคาใหม่ตามรายการด้านล่าง
ราคา iPad รุ่นที่ 10
รุ่น Wi-Fi
- 64GB ราคา 17,900 บาท
- 256GB ราคา 23,900 บาท
รุ่น Wi-Fi + Cellular
- 64GB ราคา 23,900 บาท
- 256GB ราคา 29,900 บาท
ราคา iPad รุ่นที่ 9
รุ่น Wi-Fi
- 64GB Wi-Fi ราคา 12,900 บาท
- 256GB Wi-Fi ราคา 18,900 บาท
รุ่น Wi-Fi + Cellular
- 64GB Wi-Fi + Cellular ราคา 18,400 บาท
- 256GB Wi-Fi + Cellular ราคา 24,400 บาท
ทั้งนี้ iPad รุ่นที่ 10 มีวางจำหน่ายเฉพาะเวอร์ชั่น Wi-Fi เท่านั้น ส่วนเวอร์ชั่น Wi-Fi + Cellular จะพร้อมวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้