หลังจาก iPad รุ่นที่ 10 และ iPad Pro รุ่นชิป M2 ได้รับการเปิดตัวเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ล่าสุด Apple ก็พร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างทางการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป ซึ่งทีมงาน @Flashfly ก็ไม่พลาดที่จะรีบนำมาแกะกล่องให้ได้ชมทันที ก่อนจะนำเสนอรีวิวอย่างเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้
แกะกล่อง iPad รุ่นที่ 10
iPad รุ่นที่ 10 ถูกบรรจุไว้ในกล่องสีขาว หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพ iPad ขนาดใหญ่จนเกือบเต็มพื้นที่กล่อง และสีสันของรูปภาพ iPad บนกล่อง ก็ตรงกับสีของเครื่องจริงที่อยู่ข้างใน
หลังกล่อง ระบุตัวเลืออกความจุ ถัดลงมาเป็นชื่อรุ่น ซึ่งเครื่องที่ทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิว ยังเป็นเวอร์ชั่น Wi-Fi ความจุ 256GB (สำหรับเวอร์ชั่น Wi-Fi + Cellular จะวางจำหน่ายภายหลัง) ถัดลงมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในกล่อง
ตัวกล่องบรรจุภัณฑ์ ไม่มีการซีลด้วยพลาสติก แต่ใช้แถบกระดาษกาวปิดผนึกไว้ที่ขอบกล่อง จึงแกะกล่องได้อย่างง่ายดาย
เมื่อยกฝากล่องขึ้นมา จะพบ iPad รุ่นใหม่ ถูกห่อหุ้มไว้อย่างดี และยังมีลิ้นช่วยให้ยก iPad ออกจากกล่อง รวมถึงลอกซองออกได้อย่างสะดวก
ใต้ iPad มีซองเอกสารที่ประกอบด้วย คู่มือ Quick Start Guide, ใบรับรองจาก กสทช. และ สติกเกอร์โลโก้ Apple (สำหรับเวอร์ชั่น Wi-Fi + Cellular จะแถมเข็มช่วยถอดถาดใส่ซิมการ์ดมาให้ด้วย)
ช่องล่างสุดเป็นที่เก็บสายชาร์จ USB-C แบบสายถัก และ อะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 20W
เปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่
iPad รุ่นที่ 10 ได้รับการออกแบบใหม่หมด โดยยังคงรักษาขนาดตัวเครื่องให้ใกล้เคียงกับรุ่นก่อน แต่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนก็คือจอแสดงผล ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจาก 10.2 นิ้ว เป็น 10.9 นิ้ว และไม่มีปุ่มโฮมใต้หน้าจออีกต่อไปแล้ว ทำให้ขอบหน้าจอบางลงกว่าเดิม ส่งผลให้ดีไซน์โดยรวมดูทันสมัย สไตล์เดียวกับ iPad mini, iPad Air และ iPad Pro รุ่นใหม่
iPad รุ่นที่ 10 มีการย้ายตำแหน่งกล้องหน้าด้วย เปลี่ยนจากแนวตั้งเป็นแนวนอน เมื่อใช้งานร่วมกับเคสคีย์บอร์ด ช่วยให้ประสบการณ์แบบ MacBook มากยิ่งขึ้น
กล้องหลังยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่จะเห้นว่ามีโมดูลกล้องที่ใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน และยังติดตั้งไมโครโฟนไว้ใกล้กันด้วย
ดีไซน์ด้านข้างมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เริ่มจากความบางเพียง 7 มิลลิเมตร (รุ่นก่อนมีความบาง 7.5 มิลลิเมตร) เปลี่ยนมาใช้พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C แทนที่ Lightning และมาพร้อมลำโพงสเตอริโอแนวนอน
ถึงแม้ปุ่มโฮมใต้หน้าจอจะหายไปแล้ว แต่ iPad รุ่นที่ 10 ยังคงใช้วิธียืนยันตัวตนด้วย Touch ID เหมือนรุ่นก่อน แต่ย้ายตำแหน่งใหม่ไปรวมกับปุ่มด้านบน ทำให้การปลดล็อค ล็อกอินเข้าสู่แอป และใช้ Apple Pay ได้อย่างสะดวก
ชิปแรงกว่าเดิม
iPad รุ่นที่ 10 มาพร้อมชิป A14 Bionic ซึ่งได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพ CPU ให้ทำงานได้มากขึ้น 20% ปรับปรุงกราฟิกให้ดีขึ้น 10% และประหยัดพลังงานมากขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ที่ใช้ชิป A13 Bionic
ชิป A14 Bionic ยังช่วยขับเคลื่อนฟังก์ชั่นการเรียนรู้ของระบบ ด้วย Neural Engine แบบ 16-core ซึ่งมีจำนวนคอร์มากกว่าชิป A13 Bionic ถึง 2 เท่า ปรับปรุงความสามารถด้านการเรียนรู้ของระบบได้สูงสุดถึง 80%
อุปกรณ์เสริม
iPad รุ่นที่ 10 ยังคงทำงานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 1 ซึ่งมีความยุ่งยากเล็กน้อยเมื่อต้องการชาร์จแบตเตอรี่ เนื่องจากส่วนหัวของ Apple Pencil รุ่นแรก เป็นขั้วต่อ Lightning ที่สามารถเสียบเข้ากับ iPad รุ่นก่อนได้โดยตรง แต่ iPad รุ่นที่ 10 ได้เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C ทำให้ผู้ใช้งานต้องซื้อ “อะแดปเตอร์ USB-C เป็น Apple Pencil” เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ Apple Pencil และสามารถซื้อได้ในราคา 390 บาท
วิธีใช้ iPad รุ่นที่ 10 เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ Apple Pencil รุ่นที่ 1 ผ่านอะแดปเตอร์ USB-C เป็น Apple Pencil ทำได้ง่ายๆ เพียงเสียบ Apple Pencil เข้าที่ปลายด้านหนึ่งของอะแดปเตอร์ และเสียบสายชาร์จ USB-C จาก iPad ที่ปลายอีกด้านหนึ่ง
Magic Keyboard Folio เป็นอุปกรณ์เสริมที่ผู้ใช้ iPad รุ่นที่ 10 ไม่ควรพลาด หากต้องการใช้งานในรูปแบบ MacBook โดยมีความพิเศษที่ดีไซน์แบบแยกส่วน ประกอบด้วย แผงคีย์บอร์ดแบบถอดแยกได้ กับ แผงปกป้องที่ด้านหลังตัวเครื่อง และทั้ง 2 ส่วน จะยึดติดกับ iPad ด้วยแม่เหล็ก จึงง่ายต่อการถอดเปลี่ยน
แผงคีย์บอร์ดแบบถอดแยกได้ของ Magic Keyboard Folio มาพร้อมแถวปุ่มฟังก์ชั่น 14 ปุ่ม สำหรับใช้งานคำสั่งลัด แต่ละปุ่มใช้กลไกแบบกรรไกรที่มีระยะขยับขึ้นลงของปุ่ม 1 มิลลิเมตร และมีแทร็คแพดในตัว ขนาดใหญ่ รองรับคำสั่งนิ้ว Multi-Touch และเคอร์เซอร์ใน iPadOS สำหรับแผงปกป้องที่ด้านหลังตัวเครื่อง สามารถใช้เป็นขาตั้งที่ปรับมุมมองได้อย่างอิสระ
แกะกล่อง iPad Pro รุ่นชิป M2
กล่องบรรจุภัณฑ์ของ iPad Pro รุ่นชิป M2 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์มากนัก ยังคงใช้สีขาวเป็นหลัก หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพด้านหน้าของ iPad Pro จนเกือบเต็มพื้นที่
ฉลากที่ด้านหลังกล่อง ระบุตัวเลือกความจุไว้บรรทัดบนสุด ถัดลงมาระบุชื่อรุ่นไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเครื่องที่ทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิว เป็น iPad Pro 12.9 นิ้ว (รุ่นที่ 6) เวอร์ชั่น Wi-Fi ความจุ 1TB (สำหรับเวอร์ชั่น Wi-Fi + Cellular จะวางจำหน่ายภายหลัง) ถัดลงมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในกล่อง
กล่องของ iPad Pro ถูกปิดผนึกด้วยแถบกระดาษกาวที่ขอบกล่อง (ทั้งขอบบนและขอบล่าง) ลอกออกได้ไม่ยาก จากนั้นก็สามารถยกฝากล่องขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
หลังจากยกฝากล่องขึ้นมา สิ่งแรกที่พบก็คือ iPad Pro รุ่นใหม่ นอนอยู่ในซองอย่างดี โดยซองที่ห่อหุ้มตัวเครื่องไว้ มีส่วนลิ้นยื่นออกมาเพื่อช่วยให้ดึง iPad Pro ออกจากกล่องได้สะดวก
ใต้ iPad Pro จะพบซองเอกสารสีขาว ภายในประกอบด้วย คู่มือ Quick Start Guide, ใบรับรองจาก กสทช. และ สติกเกอร์โลโก้ Apple (สำหรับเวอร์ชั่น Wi-Fi + Cellular จะแถมเข็มช่วยถอดถาดใส่ซิมการ์ดมาให้ด้วย)
ชั้นล่างสุดเป็นช่องเก็บสายชาร์จ USB-C แบบสายถัก และ อะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 20W
ดีไซน์พรีเมี่ยมอย่างเคย
เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า iPad Pro รุ่นชิป M2 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ ทั้งวัสดุ และขนาดตัวเครื่อง โดยยังมีให้เลือก 2 รุ่น เหมือนเดิม ได้แก่ 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว แต่ละรุ่น ก็ยังแบ่งออกเป็น 2 เวอร์ชั่น ได้แก่ Wi‑Fi และ Wi‑Fi + Cellular ส่วนเครื่องที่ทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิว คือ iPad Pro 12.9 นิ้ว (รุ่นที่ 6) ความจุ 1TB เวอร์ชั่น Wi-Fi
iPad Pro 12.9 นิ้ว รุ่นชิป M2 ยังได้รับจอแสดงผล Liquid Retina XDR พร้อมแบ็คไลท์แบบ Mini-LED เหมือนรุ่นก่อนหน้า ขณะที่รุ่น 11 นิ้ว ยังคงใช้จอ Liquid Retina แบ็คไลท์แบบ LED เหมือนเดิม
Apple Pencil Hover
ถึงแม้จอแสดงผลของ iPad Pro รุ่นชิป M2 ยังไม่ได้รับการปรับปรุงที่สำคัญ และยังทำงานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ไม่มีรุ่นใหม่อย่างที่เคยมีข่าวลือ แต่ Apple ก็พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่มีประโยชน์อย่างมาก เรียกว่า Apple Pencil Hover
Apple Pencil Hover ทำให้ Apple Pencil สามารถตรวจจับเหนือจอภาพได้ถึง 12 มิลลิเมตร ช่วยให้ผู้ใช้เห็นตัวอย่างเครื่องหมายก่อนที่จะขีดเขียน ทำให้สเก็ตช์ และวาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อใช้ฟีเจอร์ Scribble ช่องข้อความจะขยายขนาดโดยอัตโนมัติ เมื่อ Apple Pencil ขยับเข้าใกล้หน้าจอ และแปลงลายมือให้เป็นข้อความได้เร็วยิ่งขึ้น
ชิป M2 แรงสุดในตลาด
Apple ยกระดับ iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุดให้แรงขึ้น ด้วยชิป M2 ซึ่งประกอบด้วย CPU แบบ 8-core เร็วขึ้นสูงสุด 15% เมื่อเทียบกับชิป ชิป M1 ขณะที่ GPU แบบ 10‑core เร็วขึ้นสูงสุด 35% เมื่อเทียบกับ GPU แบบ 8‑core ในรุ่นก่อน นอกจากนี้ ในรุ่นใหม่ยังมีแบนด์วิดธ์หน่วยความจำเพิ่มขึ้น 2 เท่า จาก 50GB/s เป็น 100GB/s
ชิป M2 ยังมี Neural Engine แบบ 16-core ที่ทำงานร่วมกับ CPU และ GPU ช่วยให้สามารถประมวลผลได้สูงสุด 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที หรือมากกว่าชิป M1 เกิน 40%
ฟีเจอร์เด่น
iPad Pro รุ่นชิป M2 ยังไม่มีความแตกต่างในด้านฮาร์ดแวร์ของระบบกล้องหลัง แต่ได้รับการปรับปรุงด้วย Smart HDR 4 (รุ่นก่อนเป็น Smart HDR 3) และรองรับการบันทึกวิดีโอ ProRes สูงสุด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที (ยกเว้นรุ่นความจุ 128GB รองรับสูงสุด 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที)
นอกจากนี้ iPad Pro รุ่นชิป M2 ยังปรับปรุงการเชื่อมต่อไร้สายด้วยเทคโนโลยี Bluetooth 5.3 และ Wi‑Fi 6E โดยรุ่นก่อนหน้าใช้เทคโนโลยี Bluetooth 5.0 และ Wi‑Fi 6
สรุปราคาและการจำหน่าย
iPad รุ่นที่ 10 ถูกยกเครื่องใหม่ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า จนดูเหมือนเป็น iPad Air ที่ใช้ชิป A series อีกทั้งยังเป็น iPad รุ่นแรกที่ได้รับกล้องหน้าในแนวนอน พร้อมอุปกรณ์เสริมใหม่อย่าง Magic Keyboard Folio ที่ช่วยให้ประสบการณ์การทำงานใกล้เคียง MacBook เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ iPad ที่มีราคาคุ้มค่า แต่ว่า Apple ก็ยังคงวางจำหน่าย iPad รุ่นที่ 9 ต่อไป ทำให้เจ้าของ iPad รุ่นที่ 9 ยังไม่มีความจำเป็นต้องอัปเกรด แต่ถ้าเป็นผู้ใช้ iPad รุ่นเก่ากว่านั้น ก็ถือว่าเป็นการอัปเกรดที่คุ้มค่า
สำหรับ iPad Pro รุ่นชิป M2 ยังมีส่วนคล้ายกับรุ่นก่อนหน้า แต่แน่นอนว่าได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพให้แรงขึ้นกว่าเดิม เหมาะสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพที่จะได้รับประโยชน์จากชิปรุ่นใหม่ และสนับสนุน ProRes ขณะที่ iPad Pro รุ่นชิป M1 ไม่มีวางจำหน่ายแล้วใน Apple Store เนื่องจากถูกแทนที่ด้วย iPad Pro รุ่นชิป M2
iPad รุ่นที่ 10 และ iPad Pro รุ่นชิป M2 พร้อมวางจำหน่ายในไทยแล้ว (เฉพาะเวอร์ชั่น Wi-Fi) โดยมีราคาแตกต่างกันดังนี้
ราคา iPad รุ่นที่ 10 (มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีฟ้า สีชมพู สีเหลือง และ สีเงิน)
- Wi-Fi 64GB ราคา 17,900 บาท
- Wi-Fi 256GB ราคา 23,900 บาท
ราคา iPad Pro รุ่นชิป M2 (มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีเงิน และ สีเทาสเปซเกรย์)
รุ่น 11 นิ้ว
- Wi-Fi 128GB ราคา 32,900 บาท
- Wi-Fi 256GB ราคา 36,900 บาท
- Wi-Fi 512GB ราคา 44,900 บาท
- Wi-Fi 1TB ราคา 60,900 บาท
- Wi-Fi 2TB ราคา 76,900 บาท
รุ่น 12.9 นิ้ว
- Wi-Fi 128GB ราคา 44,900 บาท
- Wi-Fi 256GB ราคา 48,900 บาท
- Wi-Fi 512GB ราคา 56,900 บาท
- Wi-Fi 1TB ราคา 72,900 บาท
- Wi-Fi 2TB ราคา 88,900 บาท