iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ ยังคงมี 4 ตัวเลือก เหมือนกับปีก่อนๆ แต่ที่แตกต่างไปอย่างชัดเจนก็คือ Apple ตัดสินใจนำรุ่น Plus มาแทนที่รุ่น mini นั่นทำให้ iPhone 14 Plus ถือเป็นการกลับมาอีกครั้งในรอบ 5 ปี ของ iPhone รุ่น Plus นับตั้งแต่ถูกใช้กับ iPhone 8 Plus ที่เปิดตัวในปี 2560 และการกลับมาในปีนี้ จะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง? แตกต่างจาก iPhone 14 และ iPhone 14 Pro Max อย่างไรบ้าง ทีมงาน @Flashfly พร้อมรีวิวให้ชมแล้ว
สเปก iPhone 14 Plus
- จอแสดงผล Super Retina XDR (OLED) ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล ที่ 458 ppi
- กล้องคู่หลัง Main + Ultra Wide ความละเอียดเท่ากัน 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล A15 Bionic (CPU แบบ 6‑core, GPU แบบ 5‑core, Neural Engine แบบ 16‑core)
- ความจุ 128GB, 256GB และ 512GB
- การเชื่อมต่อ 5G (sub‑6 GHz), Gigabit LTE, Wi‑Fi 6, Bluetooth 5.3, Ultra Wideband, NFC, Lightning
- เซ็นเซอร์ Face ID, Barometer, High dynamic range gyro, High-g accelerometer, Proximity sensor, Dual ambient light sensors
- ระบบนำทาง GPS, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou
- ป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
- ขนาดตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.8 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 203 กรัม
แกะกล่อง iPhone 14 Plus
iPhone 14 Plus ถูกบรรจุไว้ในกล่องแบนๆ สีขาว หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพด้านหน้าของ iPhone ขนาดใหญ่ หลังกล่องระบุชื่อผลิตภัณฑ์ และบอกรายละเอียดอุปกรณ์ภายในกล่อง โดยมีแถบสติกเกอร์ติดอยู่ที่ขอบกล่อง เป็นการปิดผนึกแทนที่การซีลด้วยแผ่นพลาสติก
หลังจากยกฝากล่องขึ้นมา จะพบ iPhone 14 Plus เป็นอย่างแรก และสามารถดึง iPhone ขึ้นมาจากกล่องได้ง่ายๆ จากลิ้นกระดาษที่ยื่นมาจากแผ่นป้องกันรอยหน้าจอ (แผ่นกระดาษป้องกันหน้าจอ มีการพิมพ์สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการทำงานของปุ่มกดด้านข้างด้วย)
หลังจากยก iPhone 14 Plus ออกมาจากกล่อง จะพบกับซองเอกสาร ซึ่งภายในยังแถมสติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้เหมือนเคย พร้อมด้วยเข็มช่วยถอดถาดใส่ซิมการ์ด ส่วนเอกสารต่างๆ ประกอบด้วย คู่มือแนะนำการใช้งานเบื้องต้น การรับประกัน และ เอกสารยืนยันว่าผ่านการรับรองจาก กสทช. และอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายเป็นสายชาร์จ USB-C เป็น Lightning
ดีไซน์พรีเมียมหน้าจอขนาดใหญ่
iPhone 14 Plus ใช้ดีไซน์เดียวกับ iPhone 14 ที่ทีมงาน Flashfly เคยนำเสนอรีวิวไปแล้วก่อนหน้านี้ รวมถึงสีสันก็ผลิตออกมาให้เลือก 6 สีเช่นเดียวกัน ได้แก่ สีมิดไนท์, สีฟ้า, สีสตาร์ไลท์, สีม่วง และรุ่น (PRODUCT)RED ซึ่งทีมงาน @Flashfly ได้รับสีม่วงมารีวิว สำหรับวัสดุก็ยังคงรักษาคุณภาพไว้เหมือนเคย ใช้วัสดุอะลูมิเนียมระดับเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศเป็นโครงสร้างหลัก ฝาหลังใช้วัสดุกระจก เพื่อสนับสนุนการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย
ความโดดเด่นอีกอย่างของ iPhone 14 Plus คือ ใช้จอแสดงผลขนาด 6.7 นิ้ว เท่ากับ iPhone 14 Pro Max ทำให้มีขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงกันอย่างมาก แต่ iPhone 14 Plus จะเบากว่าเกือบ 40 กรัม โดยประมาณ เนื่องจาก iPhone 14 Pro Max ใช้วัสดุสแตนเลสสตีล และมีฮาร์ดแวร์บางอย่างที่ไม่พบใน iPhone 14 หรือ iPhone 14 Plus
ส่วนขอบด้านข้างของ iPhone 14 Plus มีความบาง 7.8 มิลลิเมตร เท่ากับ iPhone 14 และบางกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ซึ่งวัดได้จากตัวเลข เพราะหากดูจากสายตา แทบจะมองไม่ออกเลยว่ามีความบางแตกต่างกันสำหรับ iPhone 14 ทั้ง 4 รุ่น
การจัดวางปุ่มควบคุมต่างๆ ยังคงเดิม ปุ่มด้านข้างหรือปุ่มเพาเวอร์แยกไว้ทางด้านขวามือ
อีกข้างจะพบปุ่มเปิด/ปิดเสียง อยู่เหนือปุ่มปรับระดับเสียง ถัดลงมามีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM (รองรับ eSIM ด้วย) ส่วนดีไซน์ขอบด้านข้างแบนราบเรียบเนียนด้วยวัสดุโลหะ
ด้านบนไม่องค์ประกอบที่น่าสนใจเป็นพิเศษ ถูกปล่อยให้เรียบ มีเพียงแถบเส้นเสาอากาศสำหรับรับ-ส่งสัญญาณไร้สาย
มุมมองด้านล่างมีไมโครโฟน, ลำโพงแบบสเตอริโอ และพอร์ตเชื่อมต่อ Lightning ยังอยู่ตำแหน่งเดิม
แผงด้านหน้าของ iPhone 14 Plus ได้รับการปกป้องด้วย Ceramic Shield กระจกที่มีความทนทานเป็นพิเศษ ซึ่งมีเฉพาะใน iPhone (Apple ยืนยันว่าเป็นกระจกที่แข็งแกร่งกว่ากระจกไหนๆ บนสมาร์ทโฟน) และยังถูกออกแบบมาให้สามารถทนน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
จอภาพ Super Retina XDR ขนาดใหญ่
iPhone 14 Plus ได้รับจอภาพ Super Retina XDR ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล ขนาด 6.7 นิ้ว (ความหนาแน่น 458 พิกเซลต่อนิ้ว) พร้อมเทคโนโลยี OLED ที่รองรับความสว่างสำหรับคอนเทนต์แบบ HDR สูงสุดถึง 1,200 นิต ให้อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 สนับสนุนการแสดงผลแบบ True Tone ขอบเขตสีกว้าง (P3) และ Dolby Vision
จอแสดงผลของ iPhone 14 Plus มีขนาดใหญ่เท่ากับ iPhone 14 Pro Max จึงเป็น iPhone รุ่นใหม่ที่ให้ประสบการณ์ในการรับชมภาพยนตร์และเล่นเกมได้ดีในระดับเดียวกับ iPhone 14 ที่มีราคาแพงที่สุดในกลุ่ม ถึงแม้ความสว่างสูงสุดยังเทียบไม่ได้กับ iPhone 14 Pro แต่การใช้งานทั่วไปภายในร่ม ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันมากนัก
ระบบความปลอดภัย
นอกจากขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น iPhone 14 Plus ยังคงมีดีไซน์โดยรวมคล้ายกับรุ่นก่อนๆ โดยเฉพาะจอแสดงผลยังคงมีรอยบาก แตกต่างจาก iPhone 14 Pro ที่เปลี่ยนไปใช้ Dynamic Island นั่นหมายถึงระบบกล้องหน้า TrueDepth ยังติดตั้งไว้ในรอยบาก และยังคงรองรับระบบยืนยันตัวตนแบบ Face ID ซึ่งเป็นวิธีการสแกนใบหน้าที่มีความปลอดภัยและแม่นยำสูงสุดในสมาร์ทโฟนปัจจุบัน รวมถึง iPhone ที่ใช้ Touch ID
วิธีการสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคสมาร์ทโฟนหรือยืนยันตัวตนบนสมาร์ทโฟนทั่วไป จะอาศัยการทำงานหลักๆ จากกล้องหน้า สำหรับจับภาพใบหน้าเจ้าของสมาร์ทโฟน และใช้ซอฟต์แวร์ AI ช่วยในการจดจำรวมถึงระบุใบหน้าเจ้าของ แน่นอนว่าทุกอย่างจะถูกประมวลผลผ่านชิปที่รองรับการทำงานด้าน AI
สำหรับ Face ID ของ Apple เผื่อใครลืมไปแล้ว เพราะเปิดตัวตั้งแต่ iPhone X เมื่อ 5 ปีก่อน จะใช้ระบบกล้อง TrueDepth ที่ไม่เพียงแต่มีกล้องหน้าเท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์ที่ซับซ้อนหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Dot Projector หรือ ตัวฉายจุดแสงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า, กล้องอินฟราเรดอีกทั้งยังมี Flood Illuminator ที่เป็นแสงอินฟราเรด ทำให้ Face ID สามารถจดจำใบหน้าผู้ใช้งานในรูปแบบ 3D และสแกนใบหน้าได้แม้อยู่ในที่มืด ส่งผลให้ Face ID มีความปลอดภัยมากกว่า Touch ID โดยมีอัตราความผิดพลาด 1 ใน 1,000,000 ขณะที่ Touch ID มีอัตราความผิดพลาด 1 ใน 50,000
กล้องหลัก 12MP ได้รับการอัปเกรดใหม่
ถึงแม้ iPhone 14 Plus ยังใช้ระบบกล้องคู่หลังเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีการปรับปรุงหรือพัฒนาเลย โดยเฉพาะกล้องหลักของ iPhone 14 Plus ได้รับเซ็นเซอร์ใหม่ที่มีขนาดรูรับแสงใหญ่ขึ้น มีขนาดพิกเซล 1.9 ไมครอน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมทั้งภาพถ่ายนิ่งและวิดีโอในทุกสภาพแสง เปิดรับแสงไวขึ้น มีรายละเอียดที่ดีขึ้น ลดจุดรบกวนได้มากขึ้น และยังมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ (Sensor-shift OIS) และสามารถซูมออกแบบออปติคัลได้ 2 เท่า และซูมดิจิตอลได้สูงสุด 5 เท่า
- กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.5 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว Sensor-shift OIS
- กล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ให้มุมมองภาพ 120 องศา
กล้อง Ultra Wide ของ iPhone 14 Plus ให้มุมองภาพที่กว้างขึ้น และถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้นสูงสุด 2 เท่า ด้วยเทคโนโลยี Photonic Engine ซึ่งทำให้การถ่ายภาพในเวลากลางคืนหรือในที่แสงน้อยมีความสว่าง คมชัด เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น ไม่เพียงแต่กล้อง Ultra Wide แต่ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพกล้องหลักให้ดีขึ้นสูงสุด 2.5 เท่า และกล้อง TrueDepth ดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า อีกทั้งยังปรับปรุงแฟลช True Tone ให้สว่างขึ้น 10% และให้แสงมีความสม่ำเสมอมากขึ้น
สำหรับการถ่ายวิดีโอ iPhone 14 Plus รองรับการบันทึกวิดีโอในความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที รวมถึงการถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมวินาที และมาพร้อมโหมด Cinematic สำหรับถ่ายวิดีโอ 4K HDR ที่อัตรา 30 เฟรมวินาที
iPhone 14 Plus ยังได้รับฟีเจอร์ใหม่ในการถ่ายวิดีโอด้วย Action Mode ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับการถ่ายวิดีโอขณะกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่อง iPhone หรือ วัตถุที่กำลังติดตาม ให้ออกมาราบรื่นยิ่งขึ้น โดยกล้องของ iPhone จะปรับภาพให้สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ไปมา และการสั่นในระดับสูง ทำให้ภาพเคลื่อนไหวดูราบรื่นเหมือนใช้ Gimbal ช่วยถือ
Action Mode รองรับการถ่ายวิดีโอในความละเอียดสูงสุด 2.8K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที สามารถเปิดใช้งานได้ง่ายๆ ในแอปกล้อง เมื่ออยู่ในโหมดถ่ายวิดีโอ ให้แตะไอคอนรูปคนกำลังวิ่ง (อยู่เหนือช่องมองภาพ) เมื่อไอคอนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แสดงว่าเปิดใช้งานแล้ว ให้กดปุ่มสีแดงเหมือนถ่ายวิดีโอตามปกติ (สำหรับผู้ใช้งาน ที่ต้องการถ่ายวิดีโอด้วย Action Mode ในสภาวะแสงน้อยหรือภายในอาคารที่สภาพแสงไม่เป็นใจ ยังสามารถเปิดฟีเจอร์ Action Mode Lower Light ได้ที่แอป Settings > Camera > Record Video)
กล้องหน้าแบบเดียวกับ iPhone 14 Pro
iPhone 14 Plus ได้รับกล้องหน้าตัวเดียวกับ iPhone 14 Pro โดยมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/1.9 ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นครั้งแรกของ iPhone ที่ติดตั้งระบบออโต้โฟกัสไว้ในกล้องหน้า จึงสามารถจับโฟกัสได้เร็วยิ่งขึ้นแม้ในสภาวะแสงน้อย และถ่ายเซลฟี่แบบกลุ่มในระยะที่ไกลกว่าเดิม เนื่องจากใช้กล้องหน้าตัวเดียวกัน iPhone 14 Plus จึงให้ประสบการณ์ในการใช้งานกล้องหน้าและได้รับฟีเจอร์ต่างๆ แบบเดียวกับ iPhone 14 Pro โดยเฉพาะเทคโนโลยี Photonic Engine ที่ช่วยยกระดับกล้อง TrueDepth ให้ดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า สำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือในเวลากลางคืน
กล้องหน้าของ iPhone 14 Plus ยังรองรับ Smart HDR 4, โหมด Portrait ที่มีเอฟเฟกต์โบเก้ละลายฉากหลังและการควบคุมระยะชัดลึก รวมถึงโหมด Portrait Lighting พร้อมเอฟเฟกต์ 6 แบบ (Natural, Studio, Contour, Stage, Stage Mono, High‑Key Mono)
การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ iPhone 14 Plus รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที พร้อมด้วยโหมด Cinematic ความละเอียด 4K HDR ที่อัตรา 30 เฟรมวินาที และบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมวินาที อีกทั้งยังรองรับการถ่ายวิดีโอสโลว์โมชั่น ความละเอียด 1080p ที่ 240 เฟรมวินาที, วิดีโอไทม์แลปส์ พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว, ไทม์แลปส์ในโหมดกลางคืน หรือ 240 fps โดยบันทึกเสียงในระบบสเตอริโอ และยังมีฟีเจอร์การซูมเสียงด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างภาพถ่าย
ชิป A15 Bionic อัปเกรด GPU เป็น 5-core
iPhone 14 Plus ใช้ชิป A15 Bionic แบบเดียวกับ iPhone 13 Pro ซึ่งมีการอัปเกรด GPU เป็นแบบ 5-core (ชิป A15 Bionic ใน iPhone 13 ใช้ GPU แบบ 4-core) ช่วยให้กราฟิกในแอปวิดีโอและการเล่นเกมประสิทธิภาพสูงราบรื่นยิ่งขึ้น เรียกได้ว่ายังมีความเร็วกว่าคู่แข่งในทุกช่วงราคา นอกจากนี้ ยังมี Neural Engine แบบ 16-core ที่สามารถประมวลผลได้ถึง 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที จึงช่วยให้การประมวลผลด้านการเรียนรู้ของระบบรวดเร็วยิ่งขึ้น
Crash Detection ตรวจจับอุบัตเหตุทางรถยนต์
อีกฟีเจอร์ใหม่ของ Apple ที่มีความสำคัญอย่างมากและพบได้ใน iPhone 14 Plus ด้วย นั่นคือการตรวจจับการชนกัน หรือ Crash Detection สามารถตรวจจับอุบัติเหตุรถชนกันอย่างรุนแรง และโทรติดต่อบริการฉุกเฉินได้โดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้งานหมดสติหรือไม่สามารถหยิบ iPhone ได้
ขอความช่วยเหลือเหตุฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
iPhone 14 Plus มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่เช่นเดียวกับ iPhone 14 รุ่นอื่นๆ เรียกว่า Emergency SOS via satellite ช่วยให้ iPhone รองรับการเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง เพื่อรับ-ส่งข้อความผ่านบริการฉุกเฉิน อีกทั้งยังอนุญาตให้ผู้ใช้แชร์ตำแหน่งที่ตั้งได้เองผ่านดาวเทียมด้วยแอป Find My เมื่ออยู่นอกพื้นที่ให้บริการของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ หรือ Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ Emergency SOS via satellite ยังให้บริการเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเท่านั้น เริ่มเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะให้บริการฟรีเป็นเวลา 2 ปี
แบตเตอรี่
iPhone 14 Plus รองรับการเล่นวิดีโอได้นานสูงสุด 26 ชั่วโมง นานกว่า 6 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone 14 และยังสนับสนุนการชาร์จไร้สายแบบ MagSafe (สูงสุด 15W) รวมถึงแท่นชาร์จไร้สายที่ได้รับมาตรฐาน Qi (สูงสุด 7.5W) และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว สามารถชาร์จได้สูงสุด 50% ในเวลาประมาณ 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20W หรือสูงกว่า (อะแดปเตอร์และแท่นชาร์จไร้สาย ต้องหาซื้อแยกต่างหาก)
สรุปราคาและการจำหน่าย
iPhone 14 Plus เป็นการกลับมาอีกครั้งของ iPhone Plus ในรอบ 5 ปี และมีความพิเศษที่ขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว ที่ใหญ่ขึ้น จากขนาด 5.5 นิ้ว ที่พบใน iPhone 8 Plus และรุ่นเก่ากว่านั้น จึงทำให้ iPhone 14 Plus ตอบสนองการใช้งานในด้านความบันเทิง ไม่ว่าจะเล่นเกมหรือชมภาพยนตร์ได้เทียบเท่า iPhone 14 Pro Max ที่มีราคาสูงกว่า ขณะเดียวกัน ระบบกล้องและประสิทธิภาพก็ได้รับการปรับปรุงจากปีที่แล้ว ถึงแม้จะไม่โดดเด่นเท่ากับการเปลี่ยนแปลงของจอแสดงผล แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ iPhone 14 Plus เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับใครก็ตามที่กำลังพิจารณา iPhone 14 Pro Max แต่มองว่ากล้องหลัง 3 ตัว, ดีไซน์ใหม่ Dynamic Island เทคโนโลยี ProMotion รวมถึงการแสดงผลแบบ Always-On Display ยังไม่จำเป็นในเวลานี้
ทั้งนี้ iPhone 14 Plus พร้อมวางจำหน่ายในไทย ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป มาในสีมิดไนท์, สีฟ้า, สีสตาร์ไลท์, สีม่วง และรุ่น (PRODUCT)RED โดยมีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ 128GB ราคา 37,900 บาท, 256GB ราคา 41,900 บาท และ 512GB ราคา 50,900 บาท