หลังจากทีมงาน @Flashfly นำเสนอแกะกล่อง iPhone 14 และ iPhone 14 Pro Max ไปก่อนหน้านี้ ก็ถึงเวลาพาไปทำความรู้จักกับ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple ให้มากขึ้น ซึ่ง iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง iPhone 14 กับ iPhone 14 Pro ไม่เพียงแต่ระบบกล้อง แต่ยังใช้ดีไซน์ที่แตกต่างกันด้วย ส่วนจะมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เลื่อนลงมาชมรีวิวกันได้เลย
iPhone 14 Pro Max
iPhone 14 Pro Max เป็น iPhone รุ่นพรีเมียมที่สุดของ Apple ในปีนี้ โดยยังคงรักษาขนาดหน้าจอไว้ที่ 6.7 นิ้ว แต่ได้รับการออกแบบจอแสดงผลใหม่ พร้อมด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ อีกมากมายทั้งดีไซน์ Dynamic Island โหมด Always On Display ปรับปรุงกล้องหลังแบบยกเครื่องครั้งใหญ่ ได้รับชิปรุ่นใหม่ และให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น
สเปก iPhone 14 Pro Max
- จอแสดงผล Super Retina XDR (OLED) ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2796 x 1290 พิกเซล ที่ 460 ppi
- กล้องหลัง 3 ตัว Main + Ultra Wide + Telephoto (กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล)
- กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล A16 Bionic (CPU แบบ 6‑core, GPU แบบ 5‑core, Neural Engine แบบ 16‑core)
- ความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB
- การเชื่อมต่อ 5G (sub‑6 GHz), Gigabit LTE, Wi‑Fi 6, Bluetooth 5.3, Ultra Wideband, NFC, Lightning
- เซ็นเซอร์ Face ID, LiDAR Scanner, Barometer, High dynamic range gyro, High-g accelerometer, Proximity sensor, Dual ambient light sensors
- ระบบนำทาง GPS, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou (รองรับ GPS แบบคลื่นความถี่คู่)
- ป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
- ขนาดตัวเครื่อง 160.7 x 77.6 x 7.85 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 240 กรัม
ดีไซน์ใหม่ Dynamic Island
iPhone 14 Pro Max ได้รับการออกแบบใหม่ในรอบ 5 ปี เนื่องจากไม่มีรอยบากบนหน้าจอที่ใช้มาตั้งแต่ iPhone X แทนที่ด้วยการเจาะช่องบนหน้าจอ และผสานการทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ ซึ่งทาง Apple เรียกพื้นที่ด้านบนที่เจาะช่องไว้ว่า Dynamic Island
โครงสร้างหลักของ iPhone 14 Pro Max ใช้วัสดุสแตนเลสสตีล มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีม่วงเข้ม, สีเงิน, สีทอง และ สีดำสเปซแบล็ค โดยทีมงาน @Flashfly ได้รับ iPhone 14 Pro Max สีม่วงเข้มมารีวิว ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นโทนสีสว่างได้ เมื่อมีแสงมาตกกระทบ โดยให้เฉดสีแตกต่างกันตามมุมของแสง เรียกได้ว่าเป็นสีที่ดูลึกลับน่าค้นหา และเป็นสีที่ Apple ภูมิใจเสนอ
การออกแบบด้านหลังของ iPhone 14 Pro Max ยังดูคล้ายกับรุ่นก่อนหน้า โดยใช้วัสดุกระจกเพื่อสนับสนุนการชาร์จไร้สาย แต่เป็นกระจกแบบผิวด้าน ทำให้พื้นผิวของรุ่นมาตรฐานสะท้อนเงามากกว่า
iPhone 14 Pro Max มีขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว และใช้ดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า Dynamic Island ใช้วิธีการเจาะเป็นช่องบนหน้าจอ แทนการทำรอยบาก
ส่วนขอบด้านข้างของ iPhone 14 Pro Max มีความบาง 7.85 มิลลิเมตร ซึ่งหนากว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย ส่วนการจัดวางปุ่มต่างๆ ยังคงเดิม ปุ่มด้านข้างหรือปุ่มเพาเวอร์แยกไว้ทางด้านขวามือ
อีกข้างติดตั้งปุ่มเปิด/ปิดเสียง ไว้เหนือปุ่มปรับระดับเสียง ถัดลงมามีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM (รองรับ eSIM ด้วย) ส่วนดีไซน์ขอบด้านข้างแบนราบมีพื้นผิวเงามันวาวด้วยวัสดุสแตนเลสสตีล
ด้านล่างมีไมโครโฟน, ลำโพงแบบสเตอริโอ และยังคงใช้ช่องต่อ Lightning นอกจากนี้ iPhone 14 Pro Max ยังได้รับการปกป้องด้านหน้าด้วย Ceramic Shield กระจกที่มีความทนทานเป็นพิเศษ และถูกออกแบบมาให้สามารถทนน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
Dynamic Island
อย่างที่เกริ่นไปแล้วเล็กน้อยในส่วนของดีไซน์ Dynamic Island ซึ่งมีเฉพาะ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max นี่คือการพลิกโฉมครั้งใหญ่อีกครั้งของ iPhone ในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่เปิดตัว iPhone X ในปี 2560 แทนที่จะทำรอยบากไว้บนขอบจอเพื่อว่าระบบกล้อง TrueDepth เหมือนในรุ่นก่อนๆ Apple ได้ทำให้ระบบกล้อง TrueDepth เล็กลง แล้วติดตั้งไว้ในช่องที่เจาะเป็นรูปทรงแคปซูลยา ซึ่งเรียกว่า Dynamic Island หรือ เกาะที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงได้
Dynamic Island เกิดจากการทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืนระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ภายใต้เกาะดำๆ รูปทรงแคปซูลยา ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ที่จริงแล้วถูกเจาะออกเป็น 2 ช่อง ช่องหนึ่งสำหรับเซ็นเซอร์ Face ID และอีกช่องสำหรับกล้องด้านหน้า แต่ถูกดีไซน์ให้เป็นเกาะสีดำและมองเห็นเป็นช่องเดียว
ที่น่าสนใจก็คือ Dynamic Island เป็นพื้นที่ที่ยังคงรองรับการสัมผัสได้ ตามที่กล่าวไปแล้วว่านี่คือการผสมผสานระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ นั่นทำให้ Dynamic Island สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานและการแสดงผลในรูปแบบเรียลไทม์ เพื่อแสดงการแจ้งเตือน และ User Interface ตามแอปพลิเคชั่นที่เปิดทิ้งไว้
ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนโทรเข้ามา Dynamic Island จะขยายใหญ่ขึ้น เพื่อแสดงข้อมูลสายเรียกเข้า พร้อมปุ่มให้กดรับหรือปฏิเสธสายได้ทันที หากกดรับสาย Dynamic Island ก็จะย่อขนาดลงไป แต่ไม่ได้เล็กเหมือนค่าเริ่มต้น โดยยังคงแสดงระยะเวลาในการสนทนา พร้อมคลื่นเสียงระหว่างพูดคุย จากนั้นสามารถแตะที่ Dynamic Island ครั้งเดียว เพื่อเข้าสู่ฟังก์ชั่นการโทรแบบเต็มหน้าจอที่คุ้นเคยกันดี หรือ แตะค้างไว้เพื่อขยาย Dynamic Island ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อเปิดลำโพงหรือวางสาย
อีกตัวอย่างที่น่าประทับใจของ Dynamic Island คือ ช่วยให้ iPhone 14 Pro ทำงานในรูปแบบ Multitasking ได้ราบรื่นและดีขึ้น ไม่เพียงแต่แสดง User Interface ตามแอปพลิเคชั่นที่เปิดทิ้งไว้ แต่ยังสามารถเปิดอีกแอปทิ้งไว้ แล้วสร้างเป็นเกาะเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาได้อีกด้วย โดยผู้ใช้งานสามารถเปิดได้หลายแอปแล้วซ่อนไว้ใน Dynamic Island แอปที่ใช้ล่าสุดจะเป็นแอปที่โดดเด่นที่สุด ปัจจุบัน Dynamic Island ยังรองรับการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชั่นพื้นฐานของ Apple ที่มาพร้อม iOS 16 เท่านั้น แต่อีกไม่นาน จะรองรับแอปพลิเคชั่นอื่นๆ อีกมากมายจากนักพัฒนารายอื่น
จอแสดงผล ProMotion 120Hz
iPhone 14 Pro Max มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR ซึ่งเป็นจอ OLED ให้ขอบเขตสีกว้าง (P3) รองรับ HDR การแสดงผลแบบ True Tone และทีอัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 จึงแสดงภาพจากคอนเท้นต์ต่างๆ ได้อย่างสวยงามคมชัด เหมาะสำหรับการรับชมภาพยนตร์และเล่นเกม
จอแสดงผลของ iPhone 14 Pro Max มีความละเอียด 2796 x 1290 พิกเซล ขนาด 6.7 นิ้ว (ความหนาแน่น 460 พิกเซลต่อนิ้ว) ให้ความสว่างสูงสุด 1,600 นิต (สำหรับการรับชมคอนเท้นต์ HDR) แต่ยังเพิ่มความสว่างได้ถึง 2,000 นิต เมื่อใช้งานกลางแจ้ง สู้แสงแดดได้ดีกว่า นอกจากนี้ จอแสดงผลของ iPhone 14 Pro ยังรองรับเทคโนโลยี ProMotion ที่มีอัตรารีเฟรชแบบปรับได้สูงสุดที่ 120Hz และได้รับการปรับปรุงให้สามารถปรับอัตรารีเฟรชได้ต่ำสุดที่ 1Hz จนทำให้ iPhone 14 Pro รองรับการแสดงผลแบบ Always-On Display
Always On Display
การแสดงผลแบบ Always On Display เป็นอีกฟังก์ชั่นใหม่ที่พบได้ใน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เนื่องจากจอแสดงผลของทั้งคู่มาพร้อมเทคโนโลยี ProMotion ที่ให้อัตรารีเฟรชแบบปรับได้ตั้งแต่ 1Hz (สามารถเปิดหรือปิดโหมด Always On Display ได้จากแอป Settings > Display & Brightness)
Always On Display ทำให้จอแสดงผลของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เปิดอยู่ตลอดเวลา โดยยังคงมองเห็นรูปภาพวอลเปเปอร์ แต่ถูกทำให้มืดลง และยังคงมองเห็น วันที่ เวลา วิดเจ็ต และ การแจ้งเตือนต่างๆ อยู่ตลอดเวลา และเมื่อกดปุ่มด้านข้าง เพื่อปลุกจอ หน้าจอก็จะสว่างขึ้น เรียกได้ว่าารแสดงผลแบบ Always On Display ของ Apple ยังดูเหมือนหน้าจอล็อค เพียงแต่หรี่ความสว่างลง เพื่อให้ประหยัดแบตเตอรี่ ที่สำคัญใครที่ใช้วอลเปเปอร์เป็นรูปคน ก็ยังคงมองเห็นภาพที่สวยงามอยู่
ด้วยอัตรารีเฟรชหน้าจอที่ต่ำสุดเพียง 1Hz ทำให้การแสดงผลแบบ Always On Display ใช้พลังงานแบตเตอรี่ได้น้อยที่สุด และเพื่อให้ประหยัดแบตเตอรี่มากยิ่งขึ้น หน้าจอของ iPhone ก็จะดับสนิท หรือ ปิดโหมด Always On Display เมื่อพกพา iPhone ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้า หรือ คว่ำด้านหน้าจอลงบนโต๊ะ แต่เมื่อยกขึ้นมาดูโหมด Always On Display ก็จะแสดงผลขึ้นมาทันที
Face ID
iPhone 14 และ iPhone 14 Pro ยังคงใช้วิธียืนยันตัวตนและปลดล็อคด้วย Face ID หรือการสแกนใบหน้า ซึ่งเป็นวิธีที่ Apple ยืนยันว่ามีความปลอดภัยกว่า Touch ID อีกทั้งยังสะดวกในการใช้งาน เพราะสามารถสแกนใบหน้าได้อย่างแม่นยำในทุกสภาพแสง ไม่ว่าจะมีความสว่างหรืออยู่ในห้องมืด Face ID ไม่ได้ใช้เพียงกล้องหน้าทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์เท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์ที่ซับซ้อนของระบบกล้อง TrueDepth ทำให้ Face ID สามารถจดจำใบหน้าของผู้ใช้งานเป็นรูปแบบ 3D ที่มีความแม่นยำและปลอดภัยกว่าระบบจดจำใบหน้าของสมาร์ทโฟนทั่วไป
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวในปีนี้ก็คือ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ไม่ได้ติดตั้ง Face ID ไว้ในรอยบากอีกต่อไปแล้ว แต่มีการปรับส่วนประกอบของกล้อง TrueDepth ให้เล็กลง แล้วยัดไว้ในพื้นที่ Dynamic Island ขณะที่ Face ID ของ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ยังซ่อนไว้ในรอยบาก แต่ก็มีขนาดเล็กลง เมื่อเทียบกับรอยบากของ iPhone 12 และรุ่นเก่ากว่านั้น
กล้องหลังระดับโปร 48MP พร้อม Sensor-shift OIS รุ่นที่ 2
iPhone 14 Pro Max รวมถึง iPhone 14 Pro ได้รับการปรับปรุงระบบกล้องหลังครั้งใหญ่ เมื่อเทียบกับ iPhone หลายรุ่นที่ผ่านมา โดยเฉพาะกล้องหลักที่อัปเกรดความละเอียดจาก 12 เป็น 48 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel รวมพิกเซลทุก 4 จุด ให้กลายเป็น 1 ควอดพิกเซลขนาดใหญ่ เทียบเท่ากับขนาด 2.44 ไมครอน ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้อย่างน่าทึ่ง โดยที่ยังคงขนาดรูปภาพที่ 12 ล้านพิกเซล และมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์รุ่นที่ 2 (2nd Gen Sensor-shift Optical Image Stabilization) เพิ่มความคมชัดให้กับภาพมากกว่ารุ่นก่อน
สรุปง่ายๆ ก็คือ กล้องหลักของ iPhone 14 Pro ยังคงถ่ายภาพทั่วไปที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แต่ให้รายละเอียดและมีความคมชัดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานระดับมืออาชีพยังสามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงในแบบ ProRAW ที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เพื่อเน้นรายละเอียดที่มากขึ้น แน่นอนว่าต้องแลกมากับขนาดไฟล์ที่ใหญ่มากขนาด 80MB -100MB ต่อรูปเลยทีเดียว
ระบบกล้องหลังของ iPhone 14 Pro ยังติดตั้ง LiDAR Scanner มาให้เหมือนเดิม และปรับปรุงแฟลช True Tone ใหม่ โดยใช้แผง LED จำนวน 9 ดวง สามารถเปลี่ยนรูปแบบตามทางยาวโฟกัสที่เลือกไว้
กล้องหลัง iPhone 14 Pro Max
- กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.78 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว Sensor-shift OIS รุ่นที่ 2
- กล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล ขนาดพิกเซล 1.4 ไมครอน รูรับแสง f/2.2 ให้มุมมองภาพ 120 องศา
- กล้อง Telephoto 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.8 ซูมออปติคอล 3 เท่า มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS
ด้วยเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel ช่วยให้กล้อง Telephoto ของ iPhone 14 Pro รองรับการซูมในระยะ 2 เท่า โดยไม่สูญเสียรายละเอียด สำหรับการถ่ายภาพ 12 ล้านพิกเซล ทำให้มีตัวเลือกในการซูม 0.5x, 1x, 2x, 3x ซึ่งการซูมที่ระยะ 2 เท่า จะใช้รูรับแสง f/1.78 และทำงานร่วมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหว Sensor-shift OIS รุ่นที่ 2 ส่วนการซูมดิจิตอลขยายได้สูงสุด 15 เท่า
การถ่ายภาพในที่แสงน้อย ก็ถูกยกระดับด้วย Photonic Engine ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพกล้องทุกตัวของ iPhone 14 ในสภาวะแสงปานกลางถึงน้อย โดยอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างฮาร์ดแวร์และการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์จาก Deep Fusion ตั้งแต่ช่วงต้นของกระบวนการประมวลผลภาพ จึงสามารถถ่ายทอดรายละเอียดบนพื้นผิว ให้สีสันที่ดียิ่งขึ้น และเก็บข้อมูลในภาพถ่ายได้มากขึ้นด้วย
Photonic Engine ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพกล้องหลักให้ดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า, กล้อง Ultra Wide ดีขึ้นสูงสุด 3 เท่า, กล้อง Telephoto ดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า รวมถึงกล้อง TrueDepth ดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า สำหรับ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max สามารถถ่ายวิดีโอในความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที ยังคงมีโหมด Cinematic สำหรับถ่ายวิดีโอ 4K HDR ที่อัตรา 30 เฟรมวินาที โดยมีมิติความชัดตื้น เหมือนโหมดถ่ายภาพ Portrait รองรับการถ่ายวิดีโอผู้คน สัตว์เลี้ยง และ วัตถุ พร้อมเอฟเฟกต์ระยะชัดลึกที่สวยงาม อีกทั้งยังเปลี่ยนโฟกัสได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ได้ภาพเคลื่อนไหวที่เหมือนถูกตัดมาจากส่วนหนึ่งของภาพยนตร์
โหมดวิดีโอ ProRes ที่เคยมีใน iPhone 13 Pro ก็ยังถ่ายทอดมาถึง iPhone 14 Pro ซึ่งเป็นการถ่ายวิดีโอระดับมืออาชีพ ที่ให้สีสันแม่นยำกว่าและบีบอัดน้อยกว่า ไม่เพียงแค่การบันทึกเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนการใช้งานวิดีโอ ProRes ตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจากการบันทึก ตัดต่อ แล้วแชร์ในแบบ Dolby Vision หรือ ProRes ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาถ่ายโอนไฟล์ไปแก้ไขในคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม การบันทึกวิดีโอ ProRes ในความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที รองรับเฉพาะ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max รุ่นความจุ 256GB ขึ้นไป ส่วนรุ่น 128GB จะรองรับความละเอียดสูงสุด 1080p
โหมด Action ใหม่ล่าสุด สำหรับการถ่ายวิดีโอขณะกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ด้วยความละเอียดสูงสุด 2.8K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ทำให้ได้ภาพเคลื่อนไหวที่ราบรื่น ด้วยระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่ยอดเยี่ยม และมีให้ใช้งานทั้ง iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
กล้อง TrueDepth
iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ได้รับกล้องหน้าตัวเดียวกัน ถึงแม้ในรุ่น Pro จะมีการย้ายตำแหน่งใหม่ไปไว้ใน Dynamic Island แต่ยังใช้สเปกกล้องหน้าแบบเดียวกับรุ่นมาตรฐาน โดยมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/1.9 ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น ที่พิเศษก็คือ กล้องหลังของ iPhone 14 Series รองรับระบบออโต้โฟกัส เป็นครั้งแรกของกล้องหน้าบน iPhone จึงสามารถจับโฟกัสได้เร็วยิ่งขึ้นแม้ในสภาวะแสงน้อย และถ่ายเซลฟี่แบบกลุ่มในระยะที่ไกลกว่าเดิม
การถ่ายภาพด้วยกล้องหน้าในที่แสงน้อย ออกมาสวยงามมากขึ้นด้วยเทคโนโลยี Photonic Engine ที่ปรับปรุงกล้อง TrueDepth ให้ดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า ทั้ง iPhone 14 และ iPhone 14 Pro อีกทั้งยังรองรับ Smart HDR 4, โหมด Portrait ที่มีเอฟเฟกต์โบเก้ละลายฉากหลังและการควบคุมระยะชัดลึก รวมถึงโหมด Portrait Lighting พร้อมเอฟเฟกต์ 6 แบบ (Natural, Studio, Contour, Stage, Stage Mono, High‑Key Mono)
สำหรับโหมดวิดีโอของกล้องหน้า iPhone 14 ทั้ง 4 รุ่น สนับสนุนความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที พร้อมด้วยโหมด Cinematic ความละเอียด 4K HDR ที่อัตรา 30 เฟรมวินาที และบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมวินาที อย่างไรก็ตาม การถ่ายภาพในแบบ ProRAW รวมถึงการถ่ายวิดีโอในแบบ ProRes มีใน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เท่านั้น
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่าย 48MP
ชิป A16 Bionic
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มาพร้อมชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple เรียกว่า A16 Bionic ซึ่งมีประสิทธิภาพนำหน้าคู่แข่งสมาร์ทโฟนเรือธงในตลาดสูงสุด 40% ประกอบด้วย CPU แบบ 6-core ใหม่ (คอร์ประสิทธิภาพสูง 2-core และคอร์ประหยัดพลังงานสูง 4-core) ขณะที่ GPU แบบ 5-core มีความเร็วขึ้นด้วยแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่มากขึ้นถึง 50% เหมาะสำหรับการเล่นเกมและแอปที่เน้นกราฟิก อีกทั้งยังมี Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ ที่สามารถประมวลผลได้เกือบ 17 ล้านล้านรายการต่อวินาที
5G และ eSIM
iPhone รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ตั้งแต่ iPhone 12 จนมาถึง iPhone 14 รุ่นล่าสุด โดยรองรับ 5G แบบ sub-6 GHz (สำหรับเวอร์ชั่นที่วางจำหน่ายในไทย) และได้รับการปรับปรุงให้ครอบคลุมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์กว่า 250 ราย ที่อยู่ในตลาดมากกว่า 70 แห่งทั่วโลก พร้อมรองรับการทำงานเพิ่มเติมบนเครือข่ายแบบสแตนอโลนหลายแห่ง
ขณะเดียวกัน Apple ยังมุ่งเน้นไปที่การถ่ายโอนไปใช้ eSIM หรือ ซิมดิจิตอลมากขึ้น โดย iPhone 14 Series ในสหรัฐอเมริกา ไม่มีถาดใส่ซิมการ์ดปกติอีกต่อไปแล้ว รองรับเฉพาะ eSIM เท่านั้น แต่สำหรับเวอร์ชั่นที่วางจำหน่ายในไทย ยังคงมีถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM หรือจะใช้ eSIM ก็ได้เช่นกัน
สำหรับผู้ให้บริการฯ ในไทย ที่สนับสนุนการให้บริการ eSIM มีทั้งเครือข่าย AIS และ Dtac สามารถเปิดใช้งาน eSIM ได้ตั้งแต่การเปิดเครื่องครั้งแรกหลังจากซื้อมา เพียงทำตามคําแนะนําบนหน้าจอ หรือ เข้าไปในแอป Settings > Cellular จากนั้นเลือก Add Cellular Plan นอกจากนี้ ผู้ใช้งาน ยังสามารถย้ายจาก Nano‑SIM มาใช้ eSIM ได้ด้วย โดยเลือก Convert to eSIM
การตรวจจับการชนกัน Crash Detection
iPhone 14 Series ทั้ง 4 รุ่น มีฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่มีความสำคัญในชีวิตอย่างยิ่ง นั่นคือการตรวจจับการชนกัน หรือ Crash Detection สามารถตรวจจับอุบัติเหตุรถชนกันอย่างรุนแรง และโทรติดต่อบริการฉุกเฉินได้โดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้งานหมดสติหรือไม่สามารถหยิบ iPhone ได้ Crash Detection ใน iPhone 14 ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบ Dual-core ใหม่ ที่สามารถตรวจวัดแรง g ได้สูงสุดถึง 256 พร้อมด้วยไจโรสโคปที่มีช่วงไดนามิกสูง คอยตรวจจับเหตุรถชนรุนแรงและโทรติดต่อบริการฉุกเฉินได้โดยอัตโนมัติ และยังใช้บารอมิเตอร์ มาข่วยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแรงดันในห้องโดยสาร
นอกจากนี้ ยังอาศัย GPS ในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความเร็ว ใช้ไมโครโฟนตรวจจับเสียงดังที่มักเกิดขึ้นจากรถชนรุนแรง และยังมีอัลกอริทึมการเคลื่อนไหวสุดล้ำที่ออกแบบโดย Apple ซึ่งพัฒนาขึ้นจากข้อมูลการขับขี่และการชนกันที่เกิดขึ้นจริงกว่า 1 ล้านชั่วโมง เพื่อให้มีความแม่นยำมากขึ้น กรณีผู้ใช้ iPhone สวม Apple Watch ไว้ด้วย อุปกรณ์ทั้ง 2 ก็จะทำงานร่วมกัน เมื่อตรวจพบการชนอย่างรุนแรง อินเทอร์เฟซการโทรติดต่อบริการฉุกเฉินจะปรากฏบน Apple Watch ด้วย เพื่อไม่ต้องเสียเวลาค้นหา iPhone ที่อาจไม่อยู่ในตำแหน่งเดิมที่เคยวางไว้หลังจากเกิดอุบัติเหตุ
ฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
ฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม (Emergency SOS via satellite) เป็นอีกฟีเจอร์ใหม่ที่มาคู่กับ Crash Detection ช่วยให้ iPhone 14 Series ทั้ง 4 รุ่น ไม่ขาดการติดต่ออีกต่อไป ด้วยการเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง เพื่อรับ-ส่งข้อความผ่านบริการฉุกเฉิน อีกทั้งยังอนุญาตให้ผู้ใช้แชร์ตำแหน่งที่ตั้งได้เองผ่านดาวเทียมด้วยแอป Find My เมื่ออยู่นอกพื้นที่ให้บริการของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ หรือ Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ Emergency SOS via satellite ยังให้บริการเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเท่านั้น เริ่มเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะให้บริการฟรีเป็นเวลา 2 ปี
แบตเตอรี่
iPhone 14 Pro Max มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น รองรับการเล่นวิดีโอได้นานสูงสุด 29 ชั่วโมง นานขึ้น 1 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone 13 Pro Max อีกทั้งยังสนับสนุนการชาร์จไร้สายแบบ MagSafe (สูงสุด 15W)รวมถึงแท่นชาร์จไร้สายที่ได้รับมาตรฐาน Qi (สูงสุด 7.5W) และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว สามารถชาร์จได้สูงสุด 50% ในเวลาประมาณ 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20W หรือสูงกว่า (อะแดปเตอร์และแท่นชาร์จไร้สาย ต้องหาซื้อแยกต่างหาก)
iPhone 14
ถึงแม้ดีไซน์ภายนอกยังดูเหมือนเดิม แต่ Apple ก็นำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาสู่ iPhone 14 หากมองเข้าไปในรายละเอียดเชิงลึก อย่างชิปประมวลผล ก็ใช้ชิปรุ่นรุ่นเดียวกับ iPhone 13 Pro ที่มี GPU ดีกว่า iPhone 13 ระบบกล้องคู่ก็ได้รับเซ็นเซอร์ใหม่ อีกทั้งยังมาพร้อมซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ที่ช่วยให้ภาพถ่ายสวยงามคมชัดขึ้น
สเปก iPhone 14
- จอแสดงผล Super Retina XDR (OLED) ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ที่ 460 ppi
- กล้องคู่หลัง Main + Ultra Wide ความละเอียดเท่ากัน 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล A15 Bionic (CPU แบบ 6‑core, GPU แบบ 5‑core, Neural Engine แบบ 16‑core)
- ความจุ 128GB, 256GB และ 512GB
- การเชื่อมต่อ 5G (sub‑6 GHz), Gigabit LTE, Wi‑Fi 6, Bluetooth 5.3, Ultra Wideband, NFC, Lightning
- เซ็นเซอร์ Face ID, Barometer, High dynamic range gyro, High-g accelerometer, Proximity sensor, Dual ambient light sensors
- ระบบนำทาง GPS, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou
- ป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
- ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.8 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 172 กรัม
ดีไซน์พรีเมี่ยมอย่างเคย
การออกแบบของ iPhone 14 (รวมถึง iPhone 14 Plus) อาจดูคล้ายกับรุ่นก่อนหน้า ทั้งดีไซน์และวัสดุ โดยโครงสร้างหลักใช้วัสดุอะลูมิเนียม ด้านหลังใช้วัสดุกระจก เพื่อสนับสนุนการชาร์จไร้สาย ผลิตออกมาให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีมิดไนท์, สีฟ้า, สีสตาร์ไลท์, สีม่วง และ รุ่น (PRODUCT)RED โดยทีมงาน @Flashfly ได้รับสีฟ้ามารีวิว
iPhone 14 มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ได้รับการปกป้องด้านหน้าด้วย Ceramic Shield กระจกที่มีความทนทานเป็นพิเศษ และถูกออกแบบมาให้สามารถทนน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
ขนาดตัวเครื่อง กว้าง x สูง ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้ามากๆ จนแยกไม่ออกด้วยสาย แต่ถ้าวัดเป็นตัวเลข จะพบว่า iPhone 14 มีความบาง 7.8 มิลลิเมตร ส่วนการจัดวางปุ่มต่างๆ ยังคงเดิม ปุ่มด้านข้างหรือปุ่มเพาเวอร์แยกไว้ทางด้านขวามือ
อีกข้างติดตั้งปุ่มเปิด/ปิดเสียง ไว้เหนือปุ่มปรับระดับเสียง ถัดลงมามีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM (รองรับ eSIM ด้วย) ส่วนดีไซน์ขอบด้านข้างแบนราบเรียบเนียนด้วยวัสดุโลหะ
ด้านล่างมีไมโครโฟน, ลำโพงแบบสเตอริโอ และยังคงใช้ช่องต่อ Lightning
จอแสดงผล Super Retina XDR
iPhone 14 มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR แบบเดียวกับรุ่น Pro โดยมีความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ขนาด 6.1 นิ้ว (ความหนาแน่น 460 พิกเซลต่อนิ้ว) ให้ความสว่างสูงสุด 1,200 นิต (สำหรับการรับชมคอนเท้นต์ HDR) รองรับ HDR การแสดงผลแบบ True Tone และทีอัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1
กล้องคู่หลัง 12 ล้านพิกเซล
ระบบกล้องหลังของ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ก็ได้รับการปรับปรุงด้วยเช่นกัน โดยกล้องหลักก็ได้รับเซ็นเซอร์ใหม่ที่มีขนาดรูรับแสงใหญ่ขึ้น มีขนาดพิกเซล 1.9 ไมครอน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมทั้งภาพถ่ายนิ่งและวิดีโอในทุกสภาพแสง เปิดรับแสงไวขึ้น มีรายละเอียดที่ดีขึ้น ลดจุดรบกวนได้มากขึ้น และยังมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ (Sensor-shift OIS) และถึงแม้ iPhone 14 จะไม่มีกล้อง Telephoto แต่ก็สามารถซูมออกแบบออปติคัลได้ 2 เท่า และซูมดิจิตอลได้สูงสุด 5 เท่า
- กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.5 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว Sensor-shift OIS
- กล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ให้มุมมองภาพ 120 องศา
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ยังได้รับเทคโนโลยี Photonic Engine เช่นเดียวกับรุ่น Pro ทำให้การถ่ายภาพในเวลากลางคืนหรือในที่แสงน้อยมีคุณภาพมากขึ้น ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพกล้องหลักให้ดีขึ้นสูงสุด 2.5 เท่า, กล้อง Ultra Wide ดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า และกล้อง TrueDepth ดีขึ้นสูงสุด 2 เท่า อีกทั้งยังปรับปรุงแฟลช True Tone ให้สว่างขึ้น 10% และให้แสงมีความสม่ำเสมอมากขึ้น
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus สามารถถ่ายวิดีโอในความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที เท่ากับรุ่น Pro รองรับโหมด Cinematic สำหรับถ่ายวิดีโอ 4K HDR ที่อัตรา 30 เฟรมวินาที และโหมด Action ใหม่ล่าสุด ความละเอียดสูงสุด 2.8K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ก็มีให้ใช้งานเช่นกัน รวมไปภึงการถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมวินาที
ตัวอย่างภาพถ่าย
ชิป A15 Bionic
สำหรับ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ใช้ชิป A15 Bionic แบบเดียวกับ iPhone 13 Pro ซึ่งมี GPU แบบ 5-core (ชิป A15 Bionic ใน iPhone 13 ใช้ GPU แบบ 4-core) ช่วยให้กราฟิกในแอปวิดีโอและการเล่นเกมประสิทธิภาพสูงราบรื่นยิ่งขึ้น เรียกได้ว่ายังมีความเร็วกว่าคู่แข่งในทุกช่วงราคา นอกจากนี้ ยังมี Neural Engine แบบ 16-core ที่สามารถประมวลผลได้ถึง 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที จึงช่วยให้การประมวลผลด้านการเรียนรู้ของระบบรวดเร็วยิ่งขึ้น
แบตเตอรี่
iPhone 14 สามารถจัดการพลังงานได้ดีกว่ารุ่นก่อน รองรับการเล่นวิดีโอได้นานสูงสุด 20 ชั่วโมง นานขึ้น 1 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone 13 และยังสนับสนุนการชาร์จไร้สายแบบ MagSafe (สูงสุด 15W) รวมถึงแท่นชาร์จไร้สายที่ได้รับมาตรฐาน Qi (สูงสุด 7.5W) และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว สามารถชาร์จได้สูงสุด 50% ในเวลาประมาณ 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20W หรือสูงกว่า (อะแดปเตอร์และแท่นชาร์จไร้สาย ต้องหาซื้อแยกต่างหาก)
สรุปราคาและการจำหน่าย
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ iPhone นับตั้งแต่เปิดตัว iPhone X ในปี 2017 โดยเฉพาะการออกแบบจอแสดงผลที่ไร้รอยบาก เปลี่ยนมาใช้ Dynamic Island อีกทั้งยังได้รับชิปรุ่นใหม่ A16 Bionic ปรับปรุงระบบกล้องในทุกตัว ท้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ตลอดจนฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่มีเฉพาะรุ่น Pro อย่างเทคโนโลยี ProMotion ที่ให้อัตรารีเฟรชแบบปรับได้ตั้งแต่ 1Hz จนสูงสุด 120Hz ทำให้รองรับการแสดงผลแบบ Always On Display และยังมีโหมดถ่ายภาพและวิดีโอระดับมืออาชีพ จึงไม่น่าแปลกใจที่ iPhone 14 Pro ถือเป็น iPhone ที่ดีที่สุดที่ผู้ใช้งานระดับโปรควรมี
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ก็ได้รับการปรับปรุงด้วยเช่นกัน ถึงแม้ภาพรวมอาจจะดูคล้าย iPhone 13 แต่ได้รับชิป A15 Bionic ที่มีประสิทธิภาพด้านกราฟฟิกแบบ iPhone 13 Pro และยังรองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ หลายอย่างไม่ต่างจาก iPhone 14 Pro เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ แต่ไม่สนใจกล้องระดับมืออาชีพที่มีในรุ่น Pro
ทั้งนี้ iPhone 14, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เริ่มวางจำหน่ายแล้ว ขณะที่ iPhone 14 Plus ก็สามารถทำรายการสั่งซื้อล่วงหน้าได้เช่นกัน แต่จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2022 เป็นต้นไป โดยมีราคาแตกต่างกันดังนี้
iPhone 14
- 128GB ราคา 32,900 บาท
- 256GB ราคา 36,900 บาท
- 512GB ราคา 45,900 บาท
iPhone 14 Plus
- 128GB ราคา 37,900 บาท
- 256GB ราคา 41,900 บาท
- 512GB ราคา 50,900 บาท
iPhone 14 Pro
- 128GB ราคา 41,900 บาท
- 256GB ราคา 45,900 บาท
- 512GB ราคา 54,900 บาท
- 1TB ราคา 63,900 บาท
iPhone 14 Pro Max
- 128GB ราคา 44,900 บาท
- 256GB ราคา 48,900 บาท
- 512GB ราคา 57,900 บาท
- 1TB ราคา 66,900 บาท