ปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับกิจกรรม Far Out ของ Apple ที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หลายรายการ โดยมีการเชิญสื่อมวลชนจากทุกมุมโลก ให้เข้ามารับชมการเปิดตัวแบบสดๆ ถึง Steve Jobs Theatre ใน Apple Park สำนักงานใหญ่ของ Apple ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และแน่นอนว่างานนี้ทีมงาน @Flashfly ไม่มีพลาดอยู่แล้ว ที่จะได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างใกล้ชิด พร้อมเก็บภาพมาฝากทุกคน ส่วนจะมีผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง เลื่อนลงมาชมกันเลย
Apple Watch Ultra
Apple Watch Ultra ถูกสร้างมาสำหรับกิจกรรมที่เน้นความทนทานของร่างกาย การสำรวจ และการผจญภัย มาในตัวเรือนไทเทเนียม 49 มม. และด้านหน้าแบบผลึกแซฟไฟร์ที่แบนเรียบ เพิ่มปุ่มการทำงานที่ปรับแต่งได้สำหรับเรียกใช้หลายคุณสมบัติที่มีประโยชน์ได้ในทันที ปุ่มการทำงานที่เพิ่มมาใหม่ใช้สีส้มที่มองเห็นเด่นชัด สามารถปรับแต่งได้ง่ายเพื่อเรียกใช้หลายๆ คุณสมบัติในทันที อย่างการออกกำลังกาย จุดอ้างอิงเข็มทิศ การติดตามการเดิน และอีกมากมาย
จอภาพ Apple Watch Ultra มีความสว่างสูงสุด 2,000 นิต หรือสว่างกว่าจอภาพของ Apple Watch ทุกรุ่นถึง 2 เท่า โดยมีหน้าปัดนาฬิกาเวย์ไฟน์เดอร์ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ มีเข็มทิศที่รวมเป็นส่วนหนึ่งในหน้าปัด รวมถึงพื้นที่สำหรับใส่กลไกหน้าปัดได้สูงสุด 8 แบบ ยิ่งไปกว่านั้น Apple Watch Ultra ยังมาพร้อม 3 สายใหม่ ได้แก่ Trail Loop, Alpine Loop และ Ocean Band ซึ่งล้วนมีดีไซน์แบบเฉพาะตัวที่ช่วยคงความแน่นกระชับและใส่สบายสำหรับการผจญภัยทุกแนว
สายแบบ Trail Loop เป็นสาย Apple Watch ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา และออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับนักกีฬาที่เน้นความทนทานของร่างกายและนักวิ่ง ตัวสายทำมาจากผ้าถักน้ำหนักเบาที่ทั้งนุ่มและยืดหยุ่น จึงสามารถยืดให้รัดแน่นได้พอดี พร้อมแถบดึงที่ออกแบบมาให้ปรับสายได้สะดวกรวดเร็วและง่ายดาย
สายแบบ Alpine Loop สร้างมาสำหรับนักสำรวจโดยใช้กระบวนการถักทอที่รวมผ้าสองชั้นเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเนื้อเดียวในแบบที่ไม่ต้องมีรอยตะเข็บ ในขณะที่ห่วงคล้องด้านบนมีเส้นใยความแข็งแรงสูงสอดแทรกอยู่ทั่ว ช่วยให้ปรับสายได้อย่างยืดหยุ่น และคล้องเข้ากับตัวยึดที่เป็นตะขอรูปตัว G ได้แน่นกระชับ
สายแบบ Ocean Band ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับกีฬาเอ็กซ์ตรีมทางน้ำและการดำน้ำเชิงนันทนาการ พร้อมตัวล็อคไทเทเนียมและห่วงสปริงที่เข้ากันอย่างลงตัว ตัวสายทำมาจากยางฟลูโอโรอีลาสโตเมอร์ที่ยืดหยุ่น ซึ่งจะยืดออกและรัดเข้ากับรูปทรงแบบท่ออย่างแน่นกระชับ นอกจากนี้สายแบบ Ocean Band ยังมีปลายสายแบบยาวพิเศษให้เลือกซื้อเพิ่ม ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ใส่ทับเว็ทสูทได้สบาย
ตัวเรือนทำมาจากไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างน้ำหนัก ความทนทาน และการทนต่อการกัดกร่อน โดยที่ตัวเรือนยกสูงขึ้นมาล้อมรอบด้านหน้าแบบผลึกแซฟไฟร์ที่แบนเรียบเพื่อปกป้องจอภาพ Retina อีกทั้งยังได้รับการออกแบบมาสำหรับกีฬาทางน้ำ รวมถึงกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมต่างๆ อย่างไคท์เซิร์ฟและเวคบอร์ด และการดำน้ำสกูบาเชิงนันทนาการถึงความลึก 40 เมตร และได้รับการรับรอง WR100 จึงพร้อมสำหรับการผจญภัยในโลกใต้น้ำ
Apple Watch Ultra มีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุดในบรรดา Apple Watch โดยใช้งานได้นานสูงสุด 36 ชั่วโมง สำหรับการใช้งานปกติ และมีการตั้งค่าประหยัดพลังงานเพิ่มมาใหม่ ซึ่งสามารถยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ได้นานสูงสุดถึง 60 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะสำหรับกิจกรรมที่กินเวลาหลายวัน
Apple Watch Series 8 และ Apple Watch SE รุ่น 2
Apple Watch Series 8 ใช้ดีไซน์แบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้า รวมทั้งจอภาพ Retina ขนาดใหญ่แบบ Always-On และด้านหน้าแบบคริสตัลที่ทนการแตกร้าวได้ดีเยี่ยม พร้อมนำเสนอความสามารถใหม่ๆ ในการติดตามค่าอุณหภูมิ การคาดคะเนช่วงไข่ตกจากข้อมูลย้อนหลัง การตรวจจับการชน และการใช้งานโรมมิ่งในต่างประเทศ รวมถึงปรับปรุงแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ตลอดวันถึง 18 ชั่วโมง
ตัวเรือนยังคงมีทั้งอะลูมิเนียม และสแตนเลสสตีล ในสองขนาด ได้แก่ ขนาด 41 มม. และ 45 มม. ตัวเรือนอะลูมิเนียมสำหรับ Apple Watch Series 8 มาในสีสตาร์ไลท์, สีมิดไนท์, สีเงิน และ รุ่น (PRODUCT)RED ขณะที่ตัวเรือนสแตนเลสสตีลมาในสีเงิน, สีกราไฟต์ และ สีทอง ส่วนApple Watch SE รุ่นที่ 2 ใช้โปรเซสเซอร์แบบ Dual-core ของ SiP รุ่น S8 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ Apple Watch Series 8 โดยยังคงดีไซน์ตัวเรือนแบบเดิมเอาไว้ แต่มาพร้อมฝาหลังตัวเรือนที่ได้รับการออกแบบใหม่ในสีที่เข้ากัน โดยใช้วัสดุผสมไนลอน ซึ่งทำให้มีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม
AirPods Pro รุ่น 2
AirPods Pro รุ่นที่ 2 ถือเป็น AirPods ที่ล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยพลังของชิป H2 ช่วยปลดล็อกประสิทธิภาพด้านเสียงที่เหนือชั้น รวมถึงการอัปเกรดครั้งสำคัญสำหรับการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ และโหมดฟังเสียงภายนอก ขณะเดียวกันก็มอบวิธีการที่ไม่เหมือนใครในการสัมผัสประสบการณ์ระบบเสียงตามตำแหน่งที่เต็มอิ่มสมจริงยิ่งขึ้น
พลังของชิป H2 ใหม่ที่อยู่ในหูฟัง AirPods Pro รุ่นที่ 2 มอบประสบการณ์การฟังที่เหนือชั้นและตัดเสียงรบกวนได้เหนือกว่า AirPods Pro รุ่นก่อนหน้าสูงสุดถึง 2 เท่า มอบเสียงเบสที่ทุ้มลึกยิ่งขึ้น และเสียงที่คมชัดครอบคลุมช่วงความถี่ที่กว้างขึ้นด้วยไดรเวอร์เสียงความผิดเพี้ยนต่ำใหม่ และตัวขยายสัญญาณแบบเฉพาะ
AirPods Pro รุ่นใหม่สามารถควบคุมการเล่นไฟล์มีเดีย และปรับระดับเสียงได้โดยตรงจากก้านหูฟังผ่านการสัมผัส และมีจุกหูฟังขนาดเล็กพิเศษแถมให้มาอีกคู่ด้วย เพื่อความกระชับพอดียิ่งขึ้น รองรับระบบเสียงตามตำแหน่ง ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถสร้างโปรไฟล์ส่วนตัวสำหรับระบบเสียงตามตำแหน่งได้อย่างแม่นยำที่สุด ตามขนาดและรูปทรงของศีรษะและหูของแต่ละคน โดยใช้กล้อง TrueDepth บน iPhone
AirPods Pro รุ่นที่ 2 สามารถฟังได้นานสูงสุด 6 ชั่วโมง เมื่อเปิดใช้งานการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ นานขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 1.5 ชั่วโมง ส่วนเคสชาร์จ ก็สามารถเติมพลังงานให้กับหูฟังได้ 4 รอบ จึงใช้ฟังได้สูงสุดถึง 30 ชั่วโมง เมื่อเปิดใช้งานการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ ซึ่งนานกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 6 ชั่วโมงเต็ม
เคสชาร์จของ AirPods Pro รุ่นใหม่ รองรับการชาร์จไร้สายด้วยที่ชาร์จสำหรับ Apple Watch เพิ่มเติมจากที่ชาร์จ MagSafe, แผ่นรองชาร์จที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน Qi หรือสาย Lightning อีกทั้งยังทนเหงื่อและน้ำ มีห่วงคล้องสาย และสามารถค้นหาตำแหน่งของเคสชาร์จได้ผ่านแอป Find My
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus มาในดีไซน์เรียบหรูและทนทาน ทำมาจากอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ที่ทนทาน ได้รับการปกป้องจากน้ำที่หกใส่และอุบัติเหตุต่างๆ ด้วยความสามารถในการทนน้ำและฝุ่น มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีมิดไนท์, สีฟ้า, สีสตาร์ไลท์, สีม่วง และรุ่น (PRODUCT)RED
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus มีจอภาพให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 6.1 นิ้ว และ ขนาด 6.7 นิ้ว ตามลำดับ ทั้งคู่ใช้จอภาพ Super Retina XDR พร้อมเทคโนโลยี OLED ที่รองรับความสว่างสำหรับคอนเทนต์แบบ HDR สูงสุดถึง 1,200 นิต, อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 และ Dolby Vision
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus สร้างมาตรฐานใหม่ในการถ่ายภาพและวิดีโอด้วยกล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นและพิกเซลที่ใหญ่ขึ้น, กล้องอัลตร้าไวด์เพื่อการเก็บภาพในมุมที่กว้างยิ่งขึ้น และ Photonic Engine เพื่อประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และกล้องหน้า TrueDepth ใหม่
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มาพร้อมดีไซน์แบบสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม และกระจกผิวด้านที่สวยงาม โดยมีให้เลือกถึง 4 สี ได้แก่ สีม่วงเข้ม สีเงิน สีทอง และสีดำสเปซแบล็ค
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มีให้เลือก 2 ขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว ตามลำดับ ทั้งคู่ใช้จอภาพ Super Retina XDR ใหม่ พร้อม ProMotion ที่มีจอภาพแบบ Always-On Display เป็นครั้งแรกบน iPhone ซึ่งเป็นจริงได้ด้วยอัตราการรีเฟรชที่ 1Hz ทำให้หน้าจอล็อคแบบใหม่มีประโยชน์ยิ่งขึ้น สามารถแสดงเวลา วิดเจ็ต และกิจกรรมสดๆ ให้เหลือบมองได้ทุกเมื่อ และจอภาพสุดล้ำนี้ยังมีระดับความสว่าง HDR สูงสุดเฉพาะจุดเทียบเท่ากับ Pro Display XDR และถือเป็นความสว่างสูงสุดเฉพาะจุดขณะอยู่กลางแจ้งที่มากที่สุดในสมาร์ทโฟน สูงสุด 2,000 นิต หรือสว่างกว่า iPhone 13 Pro ถึง 2 เท่า
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มาพร้อมวิธีใหม่ในการโต้ตอบเรียกว่า Dynamic Island ซึ่งเป็นการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนกันระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ สามารถปรับการทำงานในแบบเรียลไทม์เพื่อแสดงการแจ้งเตือนและกิจกรรมต่างๆ ได้ โดยมีการออกแบบกล้อง TrueDepth ขึ้นใหม่ให้ใช้พื้นที่จอภาพน้อยลงเพื่อรองรับกับ Dynamic Island
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มาพร้อมกล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ที่มีเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel ซึ่งจะปรับการทำงานเข้ากับภาพที่ถ่าย และมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์รุ่นที่ 2 สำหรับภาพถ่ายส่วนใหญ่
กล้องหน้า TrueDepth ได้รับการปรับปรุงใหม่ มีรูรับแสงขนาด f/1.9 ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นครั้งแรกที่มีออโต้โฟกัส จึงสามารถโฟกัสได้เร็วยิ่งขึ้นในสภาวะแสงน้อยและถ่ายรูปหมู่ได้ในระยะที่ไกลออกไปกว่าเดิม
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ใช้ชิปรุ่นใหม่ A16 Bionic มาพร้อม CPU แบบ 6-core ใหม่มาพร้อมคอร์ประสิทธิภาพสูง 2 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงานสูง 4 คอร์ ซึ่งทำงานได้เร็วขึ้นสูงสุด 40% เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ขณะที่ GPU แบบ 5-core มีความรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่มากขึ้นถึง 50% จึงเหมาะกับเกมและแอปที่เน้นกราฟิก และยังมี Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ ที่สามารถประมวลผลได้เกือบ 17 ล้านล้านรายการต่อวินาที
นอกจากนี้ iPhone 14 ทั้ง 4 รุ่น ยังมาพร้อมคุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม ที่ผสานส่วนประกอบแบบเฉพาะเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับซอฟต์แวร์ เพื่อให้สายอากาศสามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง และรองรับการรับส่งข้อความผ่านบริการฉุกเฉินเมื่ออยู่นอกพื้นที่ให้บริการเซลลูลาร์หรือ Wi-Fi