ผู้ใช้ Mac และ iPhone ที่ทำงานบน macOS Ventura และ iOS 16 ได้รับฟีเจอร์ใหม่ Continuity Camera ซึ่งสามารถตั้งค่าให้ iPhone กลายเป็นเว็บแคมสำหรับ Mac ผ่านการเชื่อมต่อแบบไร้สาย และทำได้อย่างสะดวกง่ายดาย เพียงนำ iPhone มาอยู่ใกล้ๆ แล้ว Mac ก็จะสลับไปรับภาพจากกล้อง iPhone โดยอัตโนมัติ
ขั้นตอนการใช้งานฟีเจอร์ Continuity Camera
ก่อนอื่นต้องอัปเดทระบบปฏิบัติการ Mac และ iPhone ให้เป็น macOS Ventura และ iOS 16 ตามลำดับ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในเวอร์ชั่น Beta จากนั้นตรวจสอบให้มั่นใจว่า Mac และ iPhone ใช้บัญชี Apple ID เดียวกัน และใช้วิธียืนยันตัวตนแบบ 2FA
ปกติแล้วฟีเจอร์ Continuity Camera จะถูกเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น แต่สามารถเข้าไปดูได้ว่ามีการเปิดใช้งานแล้วหรือยัง ได้ที่แอป Settings ของ iPhone จากนั้นไปยัง General > AirPlay & Handoff > Continuity Camera Webcam
ถ้าต้องการใช้งานฟีเจอร์ Continuity Camera ให้นำ iPhone ไปไว้ใกล้ Mac และเมื่อเปิดใช้งาน FaceTime, Photo Booth, Zoom หรือแอปอื่นๆ ที่สามารถใช้กล้องได้ (รวมถึงในเว็บเบราว์เซอร์) Mac ก็จะสลับไปใช้กล้องหลังของ iPhone โดยอัตโนมัติ
กรณี Mac ไม่มีการเปลี่ยนไปใช้กล้องของ iPhone ให้คลิกการตั้งค่าวิดีโอบนแอปที่กำลังใช้งาน แล้วเลือก iPhone จากเมนู นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ไมโครโฟนของ iPhone ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ การใช้งาน iPhone เป็นเว็บแคมให้กับ Mac (รองรับกับ iPhone XR และรุ่นใหม่กว่า) Mac ยังได้รับฟีเจอร์จัดให้อยู่ตรงกลาง หรือ Center Stage โดยใช้กล้อง Ultra Wide ของ iPhone ขณะวิดีโอคอลหรือประชุมทางไกล กล้องของ iPhone ก็จะทำให้ผู้ใช้งานอยู่กลางเฟรมเสมอถึงแม้จะเคลื่อนไหวไปมา
Mac ที่ทำงานบน macOS Ventura ยังมาพร้อม Desk View หรือ มุมมองด้านหน้าโต๊ะ เป็นมุมมองกล้องเหนือศีรษะเพื่อแสดงสิ่งที่อยู่บนโต๊ะและใบหน้าของผู้ใช้งานไปพร้อมกัน (Center Stage และ Desk View รองรับกับ iPhone 11 และรุ่นใหม่กว่า)
นอกจากนี้ macOS Ventura ยังทำงานร่วมกับ iPhone รุ่นใหม่ๆ เพื่อใช้เอฟเฟ็กต์การจัดแสงไฟ Studio Light ช่วยเพิ่มความสว่างให้กับใบหน้าอย่างสวยงามพร้อมๆ กับหรี่แสงในฉากหลัง และ ยังเสริมด้วยโหมด Portrait ช่วยเบลอฉากหลังให้ผู้ใช้งานโดดเด่นได้อีกด้วย (Studio Light รองรับกับ iPhone 12 และรุ่นใหม่กว่า, โหมด Portrait รองรับกับ iPhone XR และรุ่นใหม่กว่า รวมถึง iPhone SE รุ่นที่ 2 และใหม่กว่า)