หลังจากที่vivo แบรนด์สมาร์ตโฟนชั้นนำระดับโลก เปิดตัวสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง X80 Series 5G ที่มาพร้อมความสามารถในการถ่ายวิดีโอได้อย่างมีคุณภาพเสมือนกล้องระดับมืออาชีพด้วยเลนส์ประสิทธิภาพสูงระดับโลกร่วมมือพัฒนากับ ZEISS ล่าสุด vivo ประเทศไทย ตอกย้ำสโลแกน Cinematics. Redefined. ของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้กับโปรเจกต์ภาพยนตร์สั้นเรื่องแรก ‘The Final Escape – ทางหนีไฟ’ ที่ถ่ายทำด้วย vivo X80 Series 5G ทั้งเรื่องโดยไม่ใช้แอปพลิเคชันอื่นๆ เข้ามาช่วย สร้างสรรค์และเขียนบทโดยผู้กำกับภาพยนตร์สยองขวัญมากฝีมือ ‘กอล์ฟ-ปวีณ ภูริจิตปัญญา’ ถ่ายทอดเรื่องราวภาพยนตร์แนวลึกลับเขย่าขวัญสะท้อนสังคมไทยในปัจจุบันและกฎแห่งกรรมผ่านเลนส์กล้องคุณภาพของ vivo X80 Series 5G ตลอดทั้งเรื่อง พร้อมได้นักแสดงหนุ่มเบอร์ต้นของเมืองไทยอย่าง ‘บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์’ มาเป็นนักแสดงนำในเรื่อง พร้อมนำขึ้นฉายบนจอโรงภาพยนตร์ ไอแมกซ์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เป็นครั้งแรก แสดงศักยภาพของคุณภาพวิดีโอที่เหนือขั้นกว่าที่เคย
ด้วยคอนเซปต์ของ The Final Escape – ทางหนีไฟ เป็นภาพยนตร์แนวระทึกขวัญ การถ่ายทำส่วนมากจึงเป็นฉากในที่มืด แต่ด้วยเทคโนโลยีการถ่ายวิดีโอบน X80 Series 5G มีการพัฒนาให้การถ่ายทำในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ภาพที่คมชัดและจัดการแสงได้อย่างเป็นธรรมชาติ และ vivo ยังจับมือกับ ZEISS ผู้พัฒนาเลนส์ระดับโลก ปรับปรุงฟีเจอร์การถ่ายให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ‘ZEISS Cinematic Video Bokeh’ ฟีเจอร์ที่ช่วยให้วิดีโอที่ถ่ายออกมามีความกว้างมากขึ้นเหมือนเอฟเฟกต์จากเลนส์ anamorphic ในอัตราส่วนภาพ 2.39:1 ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจับภาพวิดีโอได้สวยงามสมจริง และมุมมองที่นำเสนอออกมาเสมือนการถ่ายภาพยนตร์ มาพร้อมกับคุณสมบัติสำหรับการถ่ายภาพ ZEISS Superb Portrait ที่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้าไปอย่าง ZEISS Cinematic Style Bokeh ที่ช่วยสร้างเอฟเฟกต์แสงแฟลร์สำหรับภาพถ่ายให้ภาพออกมาเสมือนภาพจากฟิล์มบนจอภาพยนตร์ นอกจากนี้ยังได้ฟีเจอร์ Pure Night View ช่วยทำให้ภาพวิดีโอที่ถ่ายทำออกมามีความคมชัดทุกสภาพแสงอย่างสมจริง พร้อมด้วยเทคโนโลยี AI Deglare และ RAWHDR ที่ vivo ได้พัฒนาคุณสมบัติการถ่ายภาพกลางคืนมาจาก ZEISS Superb Night Camera
กล้องหลังของ vivo X80 Pro 5G มีทั้งหมด 4 ตัว โดยกล้องหลักมีความละเอียดที่ 50MP มาพร้อมกับเซนเซอร์ Ultra-Sensing GNV และ Gimbal Stabilization ช่วยเสริมประสิทธิภาพความคมชัดของแสงรวมถึงรายละเอียดของภาพ อีกทั้งยังจับทุกภาพเคลื่อนไหวให้มีความเสถียรภาพยิ่งขึ้น กล้อง Wide-Angle ความละเอียด 48MP กล้อง Portrait ความละเอียด 12MP และกล้อง Periscope ความละเอียด 8MP ในขณะที่รุ่น vivo X80 5G จะใช้ระบบกล้องหลัง 3 ตัว กล้องหลักความละเอียด 50MP ที่มาพร้อม Ultra-Sensing Sensor กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12MP และกล้อง Portrait 12MP ในขณะที่กล้องหน้าของ vivo X80 Series 5G ทั้งสองรุ่นมีความละเอียด 32MPนอกจากนี้ การใช้สมาร์ตโฟน vivo X80 Series 5G ในการถ่ายทำยังมอบความสะดวกสบายให้กับผู้กำกับด้วยการออกแบบที่บางเบาเป็นเอกลักษณ์ของ vivo พร้อมคุณสมบัติของกล้องเรือธงกับชิปประมวลผลภาพ vivo V1+ ที่พัฒนาขึ้นโดย vivo ด้วยระบบ AI ในตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพภาพถ่ายระดับมืออาชีพ อีกทั้งในรุ่น X80 Pro มีคุณสมบัติ AI Video Enhancement เข้ามาเสริมเพื่อช่วยให้อุปกรณ์สามารถสลับโหมดระหว่างวิดีโอ HDR และโหมดกลางคืนได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย ทำให้มั่นใจได้ว่าภาพถ่ายวิดีโอที่ออกมานั้นจะมีความโดดเด่นในทุกสภาพแสง
ในปีนี้ vivo ยังคงเป็นผู้ร่วมสนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลระดับโลก FIFA World Cup เป็นสมัยที่ 2 ตั้งแต่ปี 2018 จนถึงครั้งล่าสุดกับ FIFA World Cup Qatar 2022 ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้แฟนฟุตบอลและเชื่อมต่อ vivo fans ทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสมาร์ตโฟนระดับโลกที่พร้อมจะส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้งานทั่วโลกvivo X80 Series 5G มีให้เลือกทั้งหมดสองสี ได้แก่ Cosmic Black และ Urban Blue โดย vivo X80 Pro 5G จำหน่ายในราคา 39,999 บาท และ vivo X80 5G จำหน่ายในราคา 29,999 บาท ทั้งสองรุ่นพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศในวันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 ณvivo Brand Shop ทุกสาขา ตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศ นอกจากนี้ vivo fans เตรียมรับชมภาพยนตร์สั้น ‘The Final Escape – ทางหนีไฟ’ บนช่องทางเฟสบุ๊ก และยูทูบของ vivo Thailand ในวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 นี้