vivo เปิดตำนานบทใหม่กับสมาร์ทโฟนเรือธง vivo X80 Series 5G ที่มีความโดดเด่นในการถ่ายภาพ ซึ่งได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันภาพสั่นไหวสไตล์ Gimbal ใช้เลนส์คุณภาพสูงจากแบรนด์ ZEISS และในรุ่นใหม่ล่าสุดยังมาพร้อมชิป V1+ ที่ vivo พัฒนาขึ้นเอง เพื่อปรับปรุงการถ่ายภาพในที่แสงน้อย นอกจากนี้ ยังมีประสิทธิภาพสูงรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นจอแสดงผล ชิปประมวลผล เทคโนโลยีชาร์จเร็ว และยังได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามพรีเมียม ซึ่งวันนี้ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วกับ vivo X80 5G และ vivo X80 Pro 5G
สเปก vivo X80 5G
- จอแสดงผล FHD+ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว รีเฟรชเรท 120Hz
- กล้องหลัง 50MP AI Triple Camera
- กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9000
- ความจำ RAM 12GB + ROM 256GB
- ขยาย RAM ได้สูงสุด 4GB ผ่านเทคโนโลยี Extended RAM
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.3, NFC, USB Type-C (USB 2.0)
- ระบบนำทาง GPS, BEIDOU, GLONASS, GALILEO, QZSS, A-GPS
- เซ็นเซอร์ Accelerometer, Color Temperature Sensor, Ambient Light Sensor, Proximity Sensor, E-compass, Gyroscope, Infrared Blaster, In-Display Fingerprint Sensor
- ระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 12 บนพื้นฐาน Android 12
- แบตเตอรี่ 4500mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 80W แบบมีสาย
- ขนาดตัวเครื่อง 164.95 x 75.23 x 8.30 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 206 กรัม
- มี 2 สี ให้เลือก Cosmic Black และ Urban Blue
สเปก vivo X80 Pro 5G
- จอแสดงผล WQHD+ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว รีเฟรชเรท 120Hz
- กล้องหลัง 50MP AI Quad Camera
- กล้องหน้า 32MP Selfie Camera
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8 Gen 1
- ความจำ RAM 12GB + ROM 256GB
- ขยาย RAM ได้สูงสุด 4GB ผ่านเทคโนโลยี Extended RAM
- การเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2, NFC, USB Type-C (USB 3.1)
- ระบบนำทาง GPS, BEIDOU, GLONASS, GALILEO, QZSS, A-GPS
- เซ็นเซอร์ Accelerometer, Color Temperature Sensor, Ambient Light Sensor, Proximity Sensor, E-compass, Gyroscope, Infrared Blaster, In-Display Fingerprint Sensor
- ระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 12 บนพื้นฐาน Android 12
- แบตเตอรี่ 4700mAh
- รองรับชาร์จเร็ว 80W แบบมีสาย หรือ 50W แบบไร้สาย
- ขนาดตัวเครื่อง 164.57 x 75.30 x 9.10 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 219 กรัม
- มีให้เลือกเฉพาะสี Cosmic Black
ดีไซน์สุดหรู
vivo X80 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น ได้รับการออกแบบมาคล้ายกัน โดยเน้นที่ความหรูหราสมกับเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม มาพร้อมจอแสดงผลขอบโค้งขนาดใหญ่ ด้านหลังสะดุดตากับดีไซน์กล้องแบบ Cloud Window 2.0 และสามารถแยกแยะความแตกต่างได้ง่ายๆ เนื่องจาก vivo X80 Pro 5G จะมีกล้องหลัง 4 ตัว ส่วน vivo X80 5G ได้รับกล้องหลัง 3 ตัว
vivo X80 Pro 5G และ vivo X80 5G มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ขอบมุมโค้ง ขนาดเท่ากัน 6.78 นิ้ว (แต่จอแสดงผลของ vivo X80 Pro 5G มีความละเอียดสูงกว่า) ขอบบนถูกเจาะหลุมเพื่อติดตั้งกล้องหน้า เหนือขึ้นไปเป็นตำแหน่งของลำโพงหูฟัง และซ่อนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอ
ดีไซน์กล้องหลังของ vivo X80 Series 5G เรียกว่า Cloud Window 2.0 โดยมีกรอบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีพื้นผิวสะท้อนเงา จัดวางกล้อง 3 ตัว ไว้ในกรอบวงกลม ข้างกันเป็นตำแหน่งของแฟลช LED ขณะที่ vivo X80 Pro 5G จะมีกล้องตัวที่ 4 วางอยู่มุมล่างซ้ายของกรอบ และเป็นกล้อง Telephoto แบบ Periscope
vivo X80 5G ที่เข้ามาทำตลาดในไทย มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ Cosmic Black และ สีฟ้า Urban Blue ขณะที่ vivo X80 Pro 5G มีให้เลือกเฉพาะสี Cosmic Black
ถึงแม้ทั้งคู่จะมีขนาดหน้าจอเท่ากัน แต่ดูเหมือน vivo X80 5G จะจับถือได้สบายมือกว่า เนื่องจากมีความบางเพียง 8.30 มิลลิเมตร น้ำหนัก 206 กรัม ส่วนรุ่น vivo X80 Pro 5G มีความบาง 9.10 มิลลิเมตร น้ำหนัก 219 กรัม
ปุ่มเพาเวอร์ กับ ปุ่มปรับระดับเสียง ติดตั้งไว้ในฝั่งเดียวกัน ทำให้อีกข้างไม่มีปุ่มกดใดๆ
มุมมองด้านบนของทั้งคู่ จะเห็นข้อความ Professional Photography พร้อมไมโครโฟนตัวที่ 2 และใกล้กันเป็น Infrared Blaster
ด้านล่างมีถาดใส่ซิมการ์ด รองรับ 2 ซิม (Dual Nano-SIM) ถัดมามีไมโครโฟนตัวหลัก ตามมาด้วยพอร์ต USB Type-C และ ลำโพง
จอแสดงผลมุมโค้ง 3D รีเฟรช 120Hz
vivo X80 5G และ vivo X80 Pro 5G มาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ขอบมุมโค้ง 3D ขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว แต่ขนาดตัวเครื่องพอดีมือด้วยดีไซน์ขอบจอบางเฉียบรอบด้วย จนทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 92.2% และจอแสดงผลของทั้ง 2 รุ่น ยังให้อัตราการรีเฟรชหน้าจอสูงสุด 120Hz ให้ประสบการณ์ในการเล่นเกมที่อย่างราบรื่น
vivo X80 Pro 5G เหนือกว่ารุ่นมาตรฐานด้วยจอรุ่นใหม่ใช้วัสดุ E5 รองรับเทคโนโลยี LTPO 3.0 (Low Temperature Poly-silicon and Oxide) ช่วยให้จอแสดงผลของรุ่น Pro รองรับอัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ ระหว่าง 1Hz ถึงสูงสุด 120Hz ตามความเหมาะสมกับคอนเท้นต์ที่กำลังรับชม และมีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงานอีกด้วย
จอแสดงผลของ vivo X80 Pro 5G ยังได้รับคะแนน A+ จาก DisplayMate การันตีถึงความสวยงามคมชัด ได้รับมาตรฐาน SGS Eye Care Display มั่นใจได้ในเรื่องของความปลอดภัยต่อดวงตา อีกทั้งยังมีความละเอียดที่สูงกว่ารุ่นมาตรฐาน (3200 x 1440 พิกเซล) ขณะที่จอแสดงผลของ vivo X80 5G มีความละเอียด Full HD+ (2400 x 1080 พิกเซล)
สแกนลายนิ้วมือแบบ 3D Ultrasonic
vivo เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือแบบติดตั้งไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Scanning) โดยเริ่มนำมาใช้กับสมาร์ทโฟน vivo X20 Plus UD ในปี 2018 เป็นรุ่นแรก ก่อนจะขยายไปยังแบรนด์อื่นๆ และยังคงพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึง vivo X80 Pro 5G ซึ่งใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ 3D Ultrasonic จึงมั่นใจได้ว่าเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือของทั้งคู่ มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังสามารถสแกนลายนิ้วมือได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ
ในยุคปัจจุบันที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตด้านสุขภาพ ระบบยืนยันตัวตนหรือปลดล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือ ถือเป็นวิธีการที่ปลอดภัยมากที่สุด อย่างไรก็ตาม vivo X80 Series 5G ยังรองรับการปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้า เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานเมื่ออยู่ในบ้านหรือพื้นที่ส่วนตัว โดยอาศัยการทำงานของระบบจดจำใบหน้า ร่วมกับกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 32 ล้านพิกเซล
กล้องระดับโปรมาตรฐาน ZEISS T* พร้อมชิป vivo V1+
vivo X80 Series 5G ชูจุดเด่นที่เทคโนโลยีการถ่ายภาพ ด้วยการพัฒนาด้านวิศวกรรม (Co-Engineer) ร่วมกับ ZEISS แบรนด์ผู้ผลิตเลนส์กล้องชั้นนำระดับโลก มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ vivo X60 Series ดังนั้น เลนส์กล้องทั้งหมดของ vivo X80 Series 5G จึงผ่านการรับรองตามมาตรฐานการเคลือบเลนส์ของ ZEISS T* (T Star) ที่ช่วยลดการสะท้อนและเพิ่มการส่งผ่านแสง ให้ค่าสีได้อย่างแม่นยำ และปรับปรุงการถ่ายภาพให้มีสีสันที่สวยสดสมจริงยิ่งขึ้น
ไม่เพียงแค่นั้น vivo X80 Series 5G ยังมาพร้อมชิปประมวลผลภาพ V1+ ที่ vivo พัฒนาขึ้นเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายวิดีโอในเวลากลางคืน และการแสดงผลวิดีโอที่โดดเด่นแม้ในสภาพแสงที่น้อย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการแสดงผลและกราฟิกเกมบนสมาร์ทโฟนไปสู่อีกระดับ
ระบบกล้องหลัง vivo X80 5G
- กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.75
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.98
- กล้อง Portrait ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0
ระบบกล้องหลัง vivo X80 Pro 5G
- กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.75
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- กล้อง Portrait ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.85
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/3.4
กล้องตัวหลักของทั้งคู่ มีความละเอียดเท่ากัน 50 ล้านพิกเซล แต่ใช้เซ็นเซอร์แตกต่างกัน vivo X80 Pro 5G ใช้เซ็นเซอร์ Ultra-Sensing GNV ตรวจจับแสงพิเศษ ที่มีขนาดใหญ่ถึง 1/1.3 นิ้ว ส่วนกล้องหลักของ vivo X80 5G ได้รับเซ็นเซอร์ IMX866 RGBW Ultra-Sensing Sensor สามารถจับแสงได้มากขึ้น ช่วยปรับปรุงการถ่ายภาพและวิดีโอในเวลากลางคืน
เมื่อเข้ามาในแอปกล้องจะพบกับโหมด Hi-Res, Night, Portrait, Photo, Video, Pro ส่วนโหมดอื่นๆ ถูกรวมอยู่ใน More ได้แก่ Panorama, Live Photo, Slo-mo, Time-lapse, AR Stickers, Supermoon, Ultra HD Document, Astro, Pro Sports, Lone Exposure, Double exposure, Dual View และ AI Group Portrait
โหมด Photo ของ vivo X80 Series 5G มีการย้าย AI Scene Optimization จากแถบเครื่องมือด้านบนมาเป็นไอคอน AI ที่มุมล่างซ้ายมือ ช่วยทำหน้าที่ปรับค่ากล้องตามฉากที่กล้องระบุได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่มีทักษะด้านการถ่ายภาพสามารถถ่ายภาพให้ออกมาสวยงามได้ง่ายๆ และถ้าไม่ต้องการให้ AI ช่วยปรับค่ากล้อง ก็สามารถแตะเข้าไปปิดการใช้งานของ AI ได้ ส่วนไอคอน AI ที่แถบเครื่องมือด้านบนถูกแทนที่ด้วยฟีเจอร์ ZEISS Natural Color
ความแตกต่างในโหมด Photo ของทั้งคู่ ก็คือ vivo X80 Pro 5G รองรับการซูมตั้งแต่ 0.6x ซึ่งเป็นการเปิดใช้งานกล้อง Ultra Wide และขยายหรือซูมได้สูงสุด 60x ขณะที่ vivo X80 5G ซูมได้สูงสุด 20x
ในโหมด Photo จะพบไอคอนวงกลม 3 วงซ้อนกัน ที่วางอยู่มุมล่างขวามือ เป็นไอคอนสำหรับเพิ่ม Filter เปลี่ยนโทนสีหรืออารมณ์ภาพถ่าย และ ไอคอนรูปดอกไม้ที่อยู่ในแถบเครื่องมือด้านบน ถัดจากฟีเจอร์ HDR และ ZEISS คือ โหมด Super Macro สำหรับถ่ายภาพใกล้วัตถุ
โหมด Portrait สามารถจับภาพวัตถุได้อย่างชัดเจนในแบบเรียลไทม์ โดยที่แยกและเบลอฉากหลังได้อย่างแม่นยำ ด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลายเพื่อทำให้ภาพบุคคลออกมาโดดเด่น มาพร้อมฟีเจอร์ Super Night (แถบเครื่องมือด้านบน) สำหรับถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืน และ HD Portrait Auto เพิ่มความคมชัดให้กับภาพถ่ายบุคคลมากยิ่งขึ้น ที่น่าสนใจก็คือ ฟีเจอร์ Style ที่ไอคอนมุมล่างขวามือ จะพบกับ Style หรือ Filter มากมายจาก ZEISS ทำให้การถ่ายภาพบุคคลระดับมืออาชีพเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ปรับความงามบนใบหน้า และ ปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลังด้วยเอฟเฟกต์ดวงไฟโบเก้
โหมด Video ของกล้องหลัง vivo X80 5G รองรับการซูมสูงสุด 10x (vivo X80 Pro 5G ซูมได้สูงสุด 15x) มาพร้อมฟีเจอร์ป้องกันภาพสั่นไหว เปิดหรือปิดการใช้งานได้จากแถบเครื่องมือด้านบน ถัดมาเป็นฟีเจอร์ปรับความละเอียดของวิดีโอ ซึ่งรองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที ขณะที่ vivo X80 Pro 5G สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 8K ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที
ผู้ใช้งาน vivo X80 5G สามารถเปิดโหมดบันทึกวิดีโอในเวลากลางคืนได้จากไอคอนรูปพระจันทร์เสี้ยวที่วางอยู่ตรงมุมล่างซ้ายมือ ขณะที่ไอคอน Style ทางขวามือ จะพบกับ ZEISS Cinematic Video ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายวิดีโอในรูปแบบภาพยนตร์แบบมืออาชีพ ด้วยการสร้างเอฟเฟกต์ของเลนส์ภาพยนตร์ ZEISS ได้อย่างแม่นยำ และสร้างแสงแฟลร์ที่ไม่เหมือนใครในวิดีโอ อีกทั้งยังให้อัตราส่วนภาพมาตรฐาน 2.39:1
สำหรับ vivo X80 Pro 5G ไอคอนรูปพระจันทร์เสี้ยวในโหมด Video จะเป็นไอคอน AI ซึ่งเป็นการเปิด AI Video Enhancement เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายวิดีโอในที่แสงน้อยหรือในเวลากลางคืนด้วยความสามารถของ Super Night Video ที่รับรองโดยชิป vivo V1+ ไม่เพียงแต่ให้วิดีโอมีผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในสภาพแวดล้อมที่มืดมาก แต่ยังสามารถตรวจจับฉากวิดีโอได้อย่างชาญฉลาด
ระบบป้องกันภาพสั่นไหวของสมาร์ทโฟน vivo X80 Series 5G ใช้เทคโนโลยี Active Centering OIS System ผสานการทำงานกับ 360° Horizon Leveling Stabilization ช่วยให้วิดีโอมีความราบรื่นในทุกๆ เฟรม ถึงแม้จะถ่ายวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว หรือถ่ายการเล่นกีฬาผาดโผน รวมไปถึงการถ่ายวิดีโอขณะเดินป่า วิ่งจ็อกกิ้ง ปาร์กัวร์ หรือแม้แต่กระโดดร่ม นอกจากนี้ vivo X80 Pro 5G ยังเสริมด้วย Gimbal Portrait Camera ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคโนโลยี Gimbal เข้ากับเลนส์ถ่ายภาพบุคคลระดับมืออาชีพ 50 มิลลิเมตร ทำให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพบุคคลระดับมืออาชีพได้อย่างง่ายดายและมีความเสถียร ไม่ว่าจะถ่ายภาพนิ่วหรือภาพเคลื่อนไหวก็ตาม
โหมด Night รองรับการซูมตั้งแต่ 0.6x – 20x สำหรับ vivo X80 5G (vivo X80 Pro 5G ซูมได้สูงสุด 60x) มาพร้อมฟีเจอร์ Pano Night (อยู่ในแถบเครื่องมือด้านบน) สำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ต้องการเก็บภาพในมุมมองกว้างพิเศษ และยังมี Style หรือ Filter ให้เลือกใช้หลายแบบ นอกจากนี้ vivo X80 Series 5G ยังมาพร้อมเทคโนโลยี AI Deglare และ RAWHDR ที่ vivo พัฒนาขึ้นเอง จึงสามารถถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้อย่างสวยงามคมชัดมากกว่าที่เคย
โหมด Lone Exposure พบได้เฉพาะ vivo X80 Pro 5G ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ถ่ายภาพที่ต้องเปิดรับแสงยาวนานเป็นพิเศษ โดยสมาร์ทโฟนมีการกำหนดฉากมาให้แล้ว รองรับทั้งการถ่ายภาพน้ำตก, แสงไฟบนถนนยามค่ำคืน, พลุ, ดวงดาว รวมไปถึงแสงไฟต่างๆ ในเวลากลางคืน อีกทั้งยังมี Style หรือ Filter ให้เลือกใช้หลายแบบ
โหมด Pro ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้งานที่มีความเชี่ยวชาญในการถ่ายภาพเป็นพิเศษ สามารถปรับค่ากล้องได้อย่างละเอียดตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้กล้องหลังแต่ละตัว รวมถึงรองรับการถ่ายภาพในรูปแบบไฟล์ RAW โหมด Sports มีอยู่ใน vivo X80 Pro 5G เท่านั้น ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาให้จับโฟกัสได้อย่างมั่นคง เหมาะสำหรับใช้ถ่ายภาพกีฬาหรือวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว ซึ่งอาจมีการแพนกล้องตามวัตถุ และถึงแม้วัตถุไม่หยุดนิ่ง ก็ยังถ่ายภาพสแนปช็อตกีฬาได้เหมือนกล้องโปร
กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล
กล้องหลังของ vivo X80 5G และ vivo X80 Pro 5G อาจจะมีความแตกต่างกัน แต่กล้องหน้าของทั้งคู่ดูเหมือนจะใช้เซ็นเซอร์ตัวเดียวกัน โดยวางกล้องหน้าไว้ในหลุมบนหน้าจอ ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.45
โหมด Photo ของกล้องหน้ามาพร้อม Filter ช่วยเปลี่ยนโทนสีหรืออารมณ์ของภาพถ่ายเซลฟี่ ส่วนแถบเครื่องมือด้านบนมีฟีเจอร์ HDR เพิ่มความคมชัดให้กับภาพถ่ายที่มีสภาพแสงซับซ้อนทั้งส่วนมืดและสว่าง และมีฟีเจอร์ HD Portrait Auto ช่วยเพิ่มความคมชัดให้กับภาพเซลฟี่มากยิ่งขึ้น โหมด Portrait รองรับฟีเจอร์ Style หรือ Filter มีฟีเจอร์ปรับความงามบนใบหน้าอย่างละเอียด และ ปรับค่า F เพื่อละลายฉากหลังด้วยเอฟเฟกต์ดวงไฟโบเก้
โหมด Video รองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุด Full HD 1080p ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที โดย vivo X80 Pro 5G มีฟีเจอร์ AI Video Enhancement แบบเดียวกับกล้องหลัง รวมถึง Style และ Filter
โหมด Night สามารถใช้แสงสว่างจากจอแสดงผลแทนแฟลชได้ และมีฟีเจอร์ HD Portrait Auto ซึ่งทั้ง 2 ฟีเจอร์ สามารถเข้าถึงได้จ่กแถบเครื่องมือด้านบน และสามารถปรับความงามบนใบหน้าได้จากไอคอนใบหน้าที่มุมล่างขวามือ
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหลัง
ชิป Snapdragon 8 Gen 1
vivo X80 Pro 5G มาพร้อมชิปประมวลผล Snapdragon 8 Gen 1 ซึ่งเป็นชิปเรือธงที่ดีที่สุดของ Qualcomm ในปัจจุบันนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยกระบวนการผลิตระดับ 4 นาโนเมตร บนสถาปัตยกรรม ARM-V9 ประกอบด้วยซีพียูคอร์หลัก ARM Cortex-X2 Super Core ความเร็วสูงสุด 3.0GHz, ARM Cortex-A710 ความเร็วสูงสุด 2.5GHz (3 คอร์) และ ARM Cortex-A510 ความเร็วสูงสุด 1.8GHz (4 คอร์) ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าชิปรุ่นก่อนถึง 20% ขณะที่จีพียู Adreno รุ่นใหม่ของ Qualcomm ก็ให้ประสิทธิภาพขึ้นจากเดิมมากกว่า 30%
สำหรับ vivo X80 5G ใช้ชิปประมวลผล Dimensity 9000 ของ MediaTek ซึ่งทำคะแนนจากการทดสอบประสิทธิภาพบนแอปพลิเคชั่น AnTuTu ได้ทะลุหลักล้านเช่นเดียวกัน โดยถูกสร้างขึ้นด้วยกระบวนการผลิตระดับ 4 นาโนเมตร ประกอบด้วยซีพียูคอร์หลัก ARM Cortex-X2 Super Core ความเร็งสูงสุด 3.05GHz, ARM Cortex-A710 ความเร็งสูงสุด 2.85GHz (3 คอร์) และ ARM Cortex-A510 ความเร็วสูงสุด 1.8GHz (4 คอร์) ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น 45% พร้อมด้วยจีพียู Mali-G710 MC10 ที่มีความเร็วเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับชิปรุ่นก่อน
ด้านความจำของสมาร์ทโฟน vivo X80 Series 5G ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เนื่องจากทั้งคู่ได้รับความจำเท่ากันทั้ง RAM 12GB จับคู่กับ ROM 256GB แบบ UFS 3.1 อีกทั้งยังสนับสนุนเทคโนโลยี Extended RAM สามารถดึงพื้นที่เก็บข้อมูล ROM มาเพิ่มเป็นพื้นที่ RAM ได้สูงสุด 4GB จึงเปรียบเสมือนมีความจำ RAM 16GB จึงรองรับการใช้งานแบบ Multitasking ได้อย่างราบรื่น
vivo X80 Pro 5G ยังมีระบบระบายความร้อน Liquid Cooling Vapor Chamber ขนาดใหญ่ 4,285 มิลลิเมตร ซึ่งมีพื้นที่กระจายความร้อนมากกว่ารุ่น X70 ถึง 76% พร้อมด้วยแผ่นระบายความร้อนกราไฟท์ที่ใหญ่ขึ้น 84% ช่วยรักษาอุณหภูมิของ vivo X80 Pro 5G ให้เย็นลง และมีอัตราเฟรมคงที่ในขณะเล่นเกมที่ต้องใช้กราฟิกขั้นสูง
นอกเหนือจากชิปเรือธง vivo X80 Series 5G ยังให้ประสบการณ์การเล่นเกมที่ลื่นไหล ด้วยชิป vivo V1+ ที่ช่วยเพิ่มเฟรมเรทของเกม และใช้มอเตอร์แนวราบแกน X ตอบสนองการเล่นเกมได้อย่างสนุกสมจริงด้วยแรงสั่นสะเทือน และพลังเสียงอันทรงพลังจากลำโพงสเตอริโอคู่
แบตเตอรี่ 4500mAh ชาร์จเร็ว 80W Flash Charge
vivo X80 Series 5G เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ด้วยกันทั้ง 2 รุ่น แต่ถ้าวัดจากตัวเลข ดูเหมือน vivo X80 Pro 5G จะให้อายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ด้วยความจุแบตเตอรี่ 4700mAh ขณะที่จอแสดงผลยังใช้เทคโนโลยี LTPO 3.0 สามารถปรับอัตราการรีเฟรชแบบไดนามิกตั้งแต่ 1Hz ถึง 120Hz อีกทั้งยังใช้วัสดุ E5 AMOLED ที่จัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ vivo X80 5G มีความจุแบตเตอรี่ 4500mAh
vivo X80 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น ยังสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 80W ผ่านพอร์ต USB Type-C ซึ่งแถมมาให้แล้วในกล่องไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม อย่างไรก็ตาม vivo X80 Pro 5G ยังเหนือกว่ารุ่นมาตรฐาน เนื่องจากรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 50W แบบไร้สาย และยังใช้งานเป็น Power Bank แบบไร้สายชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นได้อีกด้วย
สรุปราคาและการวางจำหน่าย
vivo X80 Series 5G เป็นทายาทโดยตรงที่ออกมาสานต่อ vivo X70 Series 5G ในปีที่แล้ว ซึ่งยังคงจุดเด่นที่การถ่ายภาพระดับมืออาชีพ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนเรือธงประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์ทั้งการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ รวมถึงเล่นเกม และให้ความบันเทิง ทั้งคู่ยังได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามพรีเมียมและแชร์ดีไซน์ร่วมกัน จึงไม่มีความแตกต่างในแง่ของความสวยงาม แต่ vivo X80 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่มีความครบเครื่องมากกว่า ขณะที่ vivo X80 5G จะช่วยประหยัดเงินได้หลายพันบาท