บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค รายงานการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการเป็นบวกอย่างต่อเนื่องในช่วงสามเดือนแรกของปี 2565 แม้ว่าเศรษฐกิจมหภาคจะฟื้นตัวช้าจากโควิด-19 และการแข่งขันที่รุนแรง บริษัทมี EBITDA margin ที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 1/65 อันเป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในเชิงโครงสร้างและกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อสร้างความแตกต่างในยุคดิจิทัล
นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ ตลอดไตรมาสแรกของปี 2565 ประเทศไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง จากจำนวนผู้ป่วยโอไมครอนที่สูงทุกวัน ส่งผลให้เศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัวช้า ในขณะที่การแข่งขันก็ทวีความรุนแรง แม้จะมีสถานการณ์ที่ท้าทาย ดีแทคยังคงสานต่อจุดมุ่งหมายในด้านกลยุทธ์ ซึ่งสะท้อนผ่านการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น และปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าที่มากขึ้น โดยเราจะดำเนินการขยายบริการ 5G ให้ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานใน 77 จังหวัด ภายในไตรมาสที่ 3/65 พร้อมกับการเร่งขยายเครือข่ายบนคลื่นย่านความถี่ต่ำ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/65 เครือข่าย 5G ของดีแทคบนคลื่น 700 MHz ได้ขยายครอบคลุมพื้นที่ 34 จังหวัด และมีสถานีฐานรวมกว่า 15,600 แห่งบนคลื่น 700 MHz ด้วยความพยายามดังกล่าว เรายังคงรักษาระดับคะแนนความพึงพอใจของเครือข่ายในระดับสูง มีการร้องเรียนของลูกค้าลดลงต่อเนื่อง และสามารถเพิ่มการเติบโตของผู้ใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการใหม่เพิ่มขึ้น 305,000 รายในไตรมาสที่ 1/65 ”
นายชารัด กล่าวเสริมว่า “ดีแทค ยังคงเป้าหมายในการเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยการเป็นผู้ให้บริการที่เหนือกว่าการเชื่อมต่อ โดยการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการให้บริการที่สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างหลากหลายผ่านการนำเสนอบริการเสริมต่าง ๆ (Adjacent services) โดยมีการเปิดตัวบริการใหม่ทางด้านเกมและการป้องกันการใช้บริการอย่างปลอดภัย ตลอดจนการปรับปรุงข้อเสนอบริการทางการเงิน ทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นในกลุ่มบริการดังกล่าว ในสิ้นไตรมาสที่ 1/65 สำหรับปี 2565 นี้ดีแทคจะยังคงเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพในเชิงโครงสร้าง ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการกระแสเงินสดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 2.6 ในไตรมาสที่ 1/65 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน”
ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/65 ดีแทคมีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมดอยู่ที่ 19.9 ล้านราย เพิ่มขึ้น 305,000 รายจากไตรมาสก่อน รายได้ค่าบริการไม่รวม IC ลดลงร้อยละ 1.4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 2.5 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน EBITDA สำหรับไตรมาส 1/65 มีมูลค่า 7,184 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 3.9 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน EBITDA margin (normalized) อยู่ที่ร้อยละ 43.5 ในไตรมาสที่ 1/65 กำไรสุทธิสำหรับ 3 เดือนแรกของปี 2565 คิดเป็น 726 ล้านบาท
นายนกุล เซห์กัล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ แม้ข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับโควิด -19 ในประเทศจะเริ่มผ่อนคลายตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 3/64 แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมหภาคจากโควิด-19 ยังคงชะลอตัวตลอดไตรมาสแรกของปี 2565 นอกจากนี้ รายได้ของเรายังได้รับผลกระทบบางส่วนจากการแข่งขันในกลุ่มผู้ให้บริการที่เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสนี้อย่างไรก็ตาม EBITDA สำหรับไตรมาส 1/65 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 จากไตรมาสก่อน ด้วยแรงหนุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพในเชิงโครงสร้าง และการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ซึ่งหากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ EBITDA margin (normalized) จะแข็งแกร่งอยู่ที่ร้อยละ 44.2 ในไตรมาสที่ 1/65 กำไรสุทธิสำหรับไตรมาสแรกดีขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้น โดยไตรมาส 4/64 ได้รับผลกระทบจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์เพียงครั้งเดียว หากไม่รวมผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ กำไรสุทธิยังคงทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ค่าใช้จ่ายการลงทุน สำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 4,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 22 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเร่งรัดขยายสถานีฐานบนเครือข่ายคลื่นย่านความถี่ต่ำและการขยายความจุเครือข่าย”
จากผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2565 ดีแทคคาดการณ์แนวโน้มยังไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ และการแข่งขันที่รุนแรง เราคาดว่ารายได้จากการให้บริการจะออกมาอยู่ในช่วงต่ำของแนวโน้ม ในขณะที่ EBITDA จะอยู่ในช่วงแนวโน้มที่ให้ไว้ หากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ
ตัวเลขสำคัญทางการเงิน ในไตรมาส 1 ปี 2565 (หลัง TFRS 15 และ 16)
- รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่า IC 13,796 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
- EBITDA อยู่ที่ 7,184 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 3.9 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
- อัตรากำไร EBITDA (normalized) อยู่ที่ร้อยละ 43.5
- กำไรสุทธิ 726 ล้านบาท