ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPhone SE รุ่นที่ 3 อย่างทางการ ซึ่งถือเป็น iPhone ที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายที่สุด ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 429 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 15,900 บาท จึงดึงดูดความสนใจได้ไม่ยาก และยังมีเหตุผลดีๆ อีก 5 ข้อ ที่หลายคนชื่นชอบในตัว iPhone SE รุ่นใหม่
ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์
เหตุผลข้อแรกที่ทำให้หลายคนหลงรัก iPhone SE รุ่นที่ 3 คือการออกแบบที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของ iPhone ยุคแรกๆ โดยมาพร้อมจอแสดงผลขนาด 4.7 นิ้ว ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานจับถือได้อย่างถนัดด้วยมือเดียว และยังใช้นิ้วควบคุมฟังก์ชันทั้งหมดบนหน้าจอได้อย่างสะดวก
iPhone SE รุ่นที่ 3 ยังคงมี Touch ID ที่ผู้ใช้ iPhone คุ้นเคย และตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ไม่ต้องการ Face ID, ไม่ได้เน้นว่าตัวเครื่องต้องทำมาจากสเตนเลสสตีล และไม่ต้องการกล้องจำนวนมาก
ทรงพลัง
iPhone SE รุ่นที่ 3 มาพร้อมชิปประมวลผล A15 Bionic แบบเดียวกับที่พบใน iPhone 13 ประกอบด้วย CPU แบบ 6-core (คอร์ด้านประสิทธิภาพ 2-core + คอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4-core), GPU แบบ 4-core และ Neural Engine แบบ 16-core จึงรองรับการเล่นเกมหนักๆ อย่าง Pokémon UNITE หรือใช้แอปแก้ไขภาพ Pixelmator ได้อย่างสบาย
Apple ยังอ้างว่า iPhone SE รุ่นที่ 3 เร็วกว่า iPhone 8 (1.8 เท่า), เร็วกว่า iPhone 7 (2 เท่า) และ เร็วกว่า iPhone 6 (3 เท่า)
รองรับ 5G
iPhone SE รุ่นที่ 3 รองรับเครือข่าย 5G (sub-6 GHz) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสตรีมวิดีโอคุณภาพสูงได้อย่างรวดเร็ว เล่นเกมออนไลน์ได้อย่างลื่นไหลด้วยเวลาแฝงที่ต่ำกว่า 4G และยังดาวน์โหลด/อัปโหลดได้เร็วขึ้น
Photographic Styles
Photographic Styles เป็นฟีเจอร์ถ่ายภาพที่พบได้ใน iPhone 13 และถูกนำมาใช้กับ iPhone SE รุ่นล่าสุด อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยี Smart HDR 4 และ Deep Fusion
Photographic Styles ให้ผู้ใช้นำสไตล์การปรับแต่งภาพในแบบของตัวเองมาใช้กับทุกภาพได้โดยที่ยังคงได้ประโยชน์จากการประมวลผลภาพแบบหลายเฟรมของ Apple ส่วนค่าสำเร็จรูปและค่าที่ปรับแต่งไว้เองนั้นก็ใช้งานได้กับตัวแบบและสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์ตรงที่จะมีการปรับค่าต่างๆ ในแต่ละส่วนของภาพในระดับที่เหมาะสมอย่างชาญฉลาดเพื่อให้องค์ประกอบสำคัญในภาพอย่างโทนสีผิวยังคงดูดีเช่นเดิม
Smart HDR 4 ใช้การแบ่งส่วนภาพที่ชาญฉลาดในการปรับแต่งสี คอนทราสต์ และนอยซ์ที่แตกต่างกันระหว่างตัวแบบและฉากหลัง จึงมั่นใจได้ว่าใบหน้าจะมีความสว่างที่พอดีในสภาพแสงที่ท้าทาย และแต่ละบุคคลในรูปภาพจะได้รับการเรนเดอร์โดยแยกจากกัน รวมไปถึงการปรับแต่งสภาพแสงและโทนสีผิวที่ดีที่สุด
Deep Fusion ใช้การเรียนรู้ของระบบขั้นสูงในการประมวลผลภาพไปทีละพิกเซล โดยปรับแต่งรายละเอียด องค์ประกอบ และนอยซ์ในทุกส่วนของรูปภาพ
ใช้งานได้อีกหลายปี
ชิปประมวลผล A15 Bionic ถือเป็นโปรเซสเซอร์ที่ล้ำหน้าที่สุดของ Apple ในปัจจุบัน ส่งผลให้ iPhone SE รุ่นที่ 3 จะได้รับการสนับสนุนทางด้านซอฟต์แวร์ และได้รับการอัปเดต iOS ไปอีกหลายปี เช่นเดียวกับ iPhone 13 ซึ่งเป็น iPhone ระดับพรีเมียมของ Apple
นอกจากนี้ iPhone SE รุ่นที่ 3 ยังได้รับการออกแบบมาให้แข็งแกร่งขึ้น โดยใช้กระจกที่แข็งแกร่งที่สุดของ Apple เช่นเดียวกับ iPhone 13 และยังทนน้ำ-กันฝุ่นในระดับ IP67 อีกทั้งยังรองรับชาร์จเร็ว รวมถึงชาร์จไร้สาย
รีวิว iPhone SE รุ่นที่ 3
ที่มา – 9to5Mac