iPad Air รุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple ได้รับการอัพเกรดยกเครื่องครั้งใหญ่ ด้วยการเปลี่ยนมาใช้ชิปประมวลผล M1 หลังจากรุ่นก่อนใช้ชิป A14 Bionic ทำให้ iPad Air รุ่นที่ 5 มีประสิทธิภาพเทียบเท่า iPad Pro และยังรองรับ 5G สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular ส่วนรุ่นที่ทีมงาน @Flashfly ได้รีบมารีวิวเป็นรุ่น Wi-Fi สีฟ้า ส่วนจะสวยงามขนาดไหน เลื่อนลงมาชมกันเลย!!
สเปก iPad Air 5
- จอภาพ Liquid Retina พร้อมเทคโนโลยี IPS ขนาด 10.9 นิ้ว
- ชิปประมวลผล Apple M1
- ความจำ RAM 8GB
- ความจุ 64GB และ 256GB
- การเชื่อมต่อ 5G (รุ่น Wi‑Fi + Cellular), Wi‑Fi 6, Bluetooth 5.0, USB-C
- กล้องหน้า 12MP Ultra Wide Camera
- กล้องหลัง 12MP Wide Camera
- เซ็นเซอร์ Touch ID, 3‐axis gyro, Accelerometer, Barometer, Ambient light sensor
- ไมโครโฟนคู่ ลำโพงสเตอริโอ
- ระบบปฏิบัติการ iPadOS 15
- ขนาดตัวเครื่อง 247.6 x 178.5 x 6.1 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 461 กรัม (รุ่น Wi‑Fi) หรือ 462 กรัม (รุ่น Wi‑Fi + Cellular)
- มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์, สีสตาร์ไลท์, สีชมพู, สีม่วง และ สีฟ้า
แกะกล่อง iPad Air 5
กล่องบรรจุภัณฑ์ของ iPad Air รุ่นที่ 5 ถูกซีลด้วยพลาสติก โดยมีลิ้นช่วยเพิ่มความสะดวกในการดึงพลาสติกที่ห่อหุ้มตัวกล่องออกอย่างง่ายดาย ขณะที่ดีไซน์ภายนอกกล่องยังดูเหมือนกับกล่องของ iPad Air รุ่นที่ 4
หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพด้านหน้าของ iPad Air พร้อมวอลเปเปอร์ตามสีของตัวเครื่อง ซึ่งทีมงาน @Flashfly ได้รีบสี Blue มารีวิว และมีเฉดสีที่ต่างไปจาก Sky Blue ของ iPad Air รุ่นที่ 4 ส่วนข้างกล่องจะพบโลโก้ Apple และชื่อ iPad Air ถูกพิมพ์ด้วยสีฟ้าเช่นกัน
พลิกมาดูที่หลังกล่อง จะพบข้อมูลความจุ ถัดลงมาระบุชื่อ (5th Generation) Wi-Fi พร้อมให้รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่อยู่ภายในกล่องด้วย
เมื่อยกฝากล่องขึ้นมา จะพบกับตัวเครื่อง iPad Air รุ่นที่ 5 อยู่ในซองกระดาษ และมีลิ้นช่วยดึง iPad ออกจากกล่องได้อย่างสะดวก
พอยก iPad Air 5 ออกมา จะพบกับซองเอกสารสีขาว ภายในมีคู่มือแนะนำการใช้งานเบื้องต้น เอกสารการรับประกันในรูปแบบภาษาไทย เอกสารจาก กสทช. และยังแถมสติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้ 2 ชิ้น บนแผ่นเดียวกัน
ชั้นล่างเป็นช่องเก็บอะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 20W และสายชาร์จ USB-C ยาว 1 เมตร
ดีไซน์คุ้นเคย
ดีไซน์โดยรวมของ iPad Air รุ่นที่ 5 ยังดูเหมือนกับรุ่นที่ 4 ที่เปิดตัวในเดือนกันยายน 2563 เนื่องจากในรุ่นก่อนถูกปรับโฉมครั้งใหญ่ไปแล้ว ทำให้มิติตัวเครื่องทั้งความสูง กว้าง หนา ของ iPad Air ในปีนี้ เท่ากับรุ่นก่อนหน้า แต่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเพียง 2 – 3 กรัม
ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง iPad Air รุ่นที่ 5 กับรุ่นที่ 4 อยู่ที่สีสันที่ Apple ผลิตออกมา โดยยังมีสีเทาสเปซเกรย์มาให้เลือกเหมือนเดิม ขณะที่สีเงินถูกแทนที่ด้วยสีสตาร์ไลท์, สีโรสโกลด์ถูกแทนที่ด้วยสีชมพู, สีเขียวถูกแทนที่ด้วยสีม่วง และ สีสกายบลูถูกแทนที่ด้วยสีฟ้า
ด้านหน้าของ iPad Air รุ่นที่ 5 มาพร้อมจอแสดงผล Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว พื้นที่ขอบจอรอบด้านมีความบางเท่ากันทั้ง 4 ด้าน
กล้องหน้าเหนือจอแสดงผลได้รับการปรับปรุงจากรุ่นก่อนที่เป็นกล้อง FaceTime HD ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ในรุ่นใหม่ได้รับการอัพเกรดเป็นกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เพื่อรองรับฟีเจอร์ Center Stage หรือจัดให้อยู่ตรงกลาง
ดีไซน์ด้านหลังยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ยกเว้นสีสัน ซึ่งสีที่เห็นอยู่นี้เป็นสีฟ้า และมีโทนสีที่ต่างไปจากสีสกายบลูในรุ่นก่อน ถ้าหากมองด้วยสายตามีความรู้สึกว่าเป็นโทนสีที่ใกล้เคียงกับสีแปซิฟิกบลูของ iPhone 12 Pro
โดยชื่อ iPad นั้น Apple ได้เปลี่ยนจาก iPad เฉยๆเป็น iPad Air แบบเต็มๆแล้ว ด้านล่างจะมี Smart Connecter พอร์ตเชื่อมต่อกับ Magic Keyboard แบบแม่เหล็ก
ส่วนขอบด้านข้างมีความบางเพียง 6.1 มิลลิเมตร ดีไซน์ขอบแบนราบสไตล์ iPad Pro มาพร้อมปุ่มปรับระดับเสียง และถ้าเป็นเวอร์ชั่น Wi‑Fi + Cellular จะพบถาดใส่ซิมการ์ดอยู่ที่ส่วนล่าง รองรับขนาด Nano-SIM ตรงกึ่งกลางของส่วนขอบด้านข้าง เป็นตำแหน่งของช่องต่อแบบแม่เหล็ก สำหรับแนบติดกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2
ด้านบนจะพบกับตะแกรงลำโพง ไมโครโฟน และ ปุ่มเพาเวอร์ ที่มาพร้อม Touch ID หรือเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
ด้านล่างมีพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C (USB 3.1 Gen 2) ประกบด้วยตะแกรงลำโพง ซึ่งยังเป็นลำโพงสเตอริโอเหมือนรุ่นก่อน ถึงแม้จะถูกออกแบบมาให้ดูเหมือนมีลำโพง 4 ตัวก็ตาม
สรุปการออกแบบโดยรวมของ iPad Air รุ่นที่ 5 ยังไม่มีความแตกต่างไปจาก iPad Air รุ่นที่ 4 โดยยังคงใช้วัสดุอะลูมิเนียมเป็นโครงสร้างหลัก มีความหรูหราพรีเมียมอย่างเคย ขนาดตัวเครื่องหรือมิติรอบด้านเท่ากัน น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 2 – 3 กรัม ไม่ได้ส่งผลอะไร ส่วนแผงด้านหลังมีความรู้สึกว่าบอบบางลงไปเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าภายในอาจมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทำให้มีช่องว่างมากขึ้น แต่เชื่อว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะสวมเคสป้องกันไว้อยู่แล้ว และแน่นอนว่าสำหรับใครที่ยังไม่เคยใช้ iPad Air รุ่นที่ 4 มาก่อน ก็จะไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง
จอสวยเหมือนเดิม
iPad Air รุ่นที่ 5 ยังใช้จอแสดงผลแบบเดียวกับรุ่นก่อน เรียกว่าจอภาพ Liquid Retina ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล ขนาด 10.9 นิ้ว มาพร้อมเทคโนโลยี iPS แบ็คไลท์แบบ LED ความสว่าง 500 นิต รองรับขอบเขตสีกว้าง P3 การแสดงผลแบบ True Tone ได้รับการเคลือบหน้าจอแบบป้องกันแสงสะท้อน และเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ
จอแสดงผลของ iPad Air รุ่นใหม่ ยังรองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 โดยมีช่องต่อแบบแม่เหล็กสำหรับแนบติดกับ Apple Pencil ที่ด้านข้าง เหมือนกับ iPad Pro และมาพร้อมลำโพงสเตอริโอเมื่อใช้งานในโหมดแนวนอน ให้เสียงสเตอริโอที่มีมิติกว้างขึ้น ทำให้การรับชมภาพยนตร์มีความสมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียง
ประสิทธิภาพเทียบเท่า iPad Pro ด้วยชิป M1
ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง iPad Air รุ่นที่ 5 กับ รุ่นที่ 4 คือประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากได้รับการอัพเกรดชิปประมวลผลมาเป็น M1 แบบเดียวกับ iPad Pro และดูเหมือนว่าไม่ได้ถูกดาวน์คล็อกความเร็วให้ลดลงไป โดยชิป M1 ใน iPad Air 5 ประกอบด้วย CPU แบบ 8-core ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่เร็วขึ้นถึง 60% และ GPU แบบ 8-core ให้ประสิทธิภาพด้านกราฟิกเร็วขึ้นถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับ iPad Air รุ่นที่ 4 และยังมี Neural Engine แบบ 16-core สามารถดําเนินการได้ถึง 11 ล้านล้านรายการต่อวินาที รองรับการทำงานด้าน Machine Learning ขั้นสูง
iPad Air รุ่นที่ 5 ยังได้รับความจำ RAM 8GB เท่ากับ iPad Pro รุ่นเริ่มต้น และเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับ iPad Air รุ่นที่ 4 ที่มี RAM 4GB ส่วนความจุในตัวยังมีให้เลือก 2 รุ่น เหมือนเดิม ได้แก่ 64GB และ 256GB
โดยผลทดสอบจาก Antutu จะเห็นว่า iPad Air 5 นั้นทำคะแนนได้ทะลุล้านคะแนนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แรงแบบไม่แพ้ iPad Pro รุ่นล่าสุดในตลาดเลยทีเดียว
กล้องหน้าใหม่พร้อมรองรับ Center Stage
กล้องหน้าของ iPad Air รุ่นที่ 5 เป็นอีกจุดที่ได้รับการอัพเกรดจากเดิมที่ใช้กล้อง FaceTime HD ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ถูกยกระดับให้เป็นกล้อง Ultra Wide ให้มุมมองภาพ 122 องศา ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/2.4 รองรับฟีเจอร์จัดให้อยู่ตรงกลาง หรือ Center Stage ที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับการโทรแบบวิดีโอผ่าน FaceTime (และแอปวิดีโอแชทอื่นๆ) ช่วยให้กล้องหน้าสามารถซูมและแพนกล้องให้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยทำหน้าที่เป็นตากล้อง และถ้ามีอีกคนเข้ามาในเฟรม กล้องหน้าของ iPad ก็จะขยายมุมมองให้ทั้ง 2 คน อยู่ในเฟรมเดียวกันได้อย่างเหมาะสม โดยอาศัย Neural Engine ในการระบุตัวบุคคล เพื่อจัดให้ตัวบุคคลอยู่กลางเฟรมตลอดเวลาแม้จะเคลื่อนที่ไปมา
กล้องหน้าของ iPad Air รุ่นใหม่ ยังสามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูง Full HD 1080p ด้วยอัตรา 60 เฟรมต่อวินาที มีระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ และให้ช่วงไดนามิกกว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที
กล้องหลัง 12MP ถ่ายวิดีโอ 4K
iPad Air รุ่นที่ 5 ยกกล้องหลังมาจากรุ่นก่อน โดยใช้กล้อง Wide 12 ล้านพิกเซล ชุดเลนส์ 5 ชิ้น ขนาดรูรับแสง f/1.8 ซูมดิจิทัลสูงสุด 5 เท่า รองรับการถ่ายภาพนิ่งและ Live Photos ด้วยขอบเขตสีกว้าง มีโหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง และ พาโนราม่า (สูงสุด 63 ล้านพิกเซล) การถ่ายภาพนิ่งยังสนับสนุน Smart HDR 3 ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้า พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ
กล้องหลังของ iPad Air รุ่นที่ 5 สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที ให้ช่วงไดนามิกกว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (4K, 1080p และ 720p) รองรับโหมด Slow Motion ความละเอียด 1080p สูงสุด 240 เฟรมต่อวินาที และโหมด Time-lapse พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว
รองรับ 5G พอร์ต USB 3.1 Gen 2
iPad Air รุ่นที่ 5 ในตัวเลือก Wi-Fi + Cellular สนับสนุนเครือข่าย 5G (sub-6 GHz) ทำความเร็วสูงสุดถึง 3.5Gbps (ในห้องทดสอบ) ซึ่งรุ่นก่อนถูกจำกัดไว้ที่ 4G LTE ส่วนการเชื่อมต่อ Wi‑Fi ได้รับมาตรฐาน Wi‑Fi 6 (802.11a/b/g/n/ac/ax) ความเร็วสูงสุด 1.2 Gbps ในย่านความถี่ 2.4GHz และ 5GHz ช่วยให้ iPad Air มีความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อไร้สายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ การสำรองข้อมูล การสื่อสารแบบวิดีโอแชท ไปจนถึงการสตรีมภาพยนตร์ พร้อมใช้ฟีเจอร์ SharePlay เพื่อรับชมพร้อมกับครอบครัวและเพื่อนๆ
iPad Air รุ่นที่ 5 ยังเปลี่ยนมาใช้พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C ซึ่งที่จริงก็เปลี่ยนมาตั้งแต่รุ่นก่อนแล้ว สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สูงสุด 10Gbps จึงรองรับการถ่ายโอนรูปภาพและวิดีโอขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมสนับสนุนการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมที่ใช้พอร์ต USB-C ได้หลากหลายมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นกล้อง อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอก รวมถึงใช้เป็น DisplayPort เชื่อมต่อกับจอภาพความละเอียดสูงสุดถึง 6K
แบตอยู่นานตลอดทั้งวัน
iPad Air รุ่นที่ 5 ใช้แบตเตอรี่ Lithium Polymer ขนาด 28.6Wh ใกล้เคียงกับ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 3) สามารถสแตนด์บายได้ยาวนานเกิน 2 วัน แต่ถ้าเล่นวิดีโอหรือท่องเว็บผ่าน Wi-Fi จะอยู่ได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง (รุ่น Wi‑Fi + Cellular นานสูงสุด 9 ชั่วโมง) ซึ่งอยู่ได้นานพอๆ กับ iPad Air รุ่นก่อนหน้า หรือ iPad Pro ในปัจจุบัน
สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ รองรับการชาร์จจากอะแดปเตอร์แปลงไฟ USB‑C Power Adapter ขนาด 20W หรือจากเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านสาย USB‑C
อุปกรณ์เสริม
iPad Air รุ่นใหม่ สนับสนุนการทำงานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่เน้นการวาดเขียน จดบันทึก โดยมีความแม่นยำที่ลึกไปถึงระดับพิกเซล ความหน่วงต่ำ ทำให้เขียนได้ง่ายและเป็นธรรมชาติเหมือนใช้ปากกากับกระดาษจริง อีกทั้งยังสามารถจับคู่และชาร์จแบบไร้สายผ่านแม่เหล็ก เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
ส่วนใครที่ต้องการทำงานในรูปแบบแล็ปท็อป หรือ เปลี่ยน iPad Air ให้เป็น MacBook สามารถใช้งานร่วมกับ Magic Keyboard ที่มีแทร็คแพดในตัว พร้อมดีไซน์แบบยกลอย ทำให้มองหน้าจอได้ถนัดขึ้น และยังช่วยปกป้อง iPad Air ได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ในระหว่างพกพา
นอกจาก Magic Keyboard ยังมี Smart Keyboard Folio ที่ให้ประสบการณ์การพิมพ์ที่สะดวกสบายในดีไซน์เพรียวบาง แต่ถ้าไม่เน้นพิมพ์ข้อความ ก็ยังมีเคส Smart Folio ที่มาในสีสีดำ, สีขาว, สีส้มอิเล็คทริค, สีเชอรี่เข้ม, สีอิงลิชลาเวนเดอร์ และ สีมารีนบลู ที่ลงตัวกับ iPad Air รุ่นใหม่
iPadOS 15
iPad Air รุ่นที่ 5 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iPadOS 15 ที่ช่วยยกระดับการทำงานให้ iPad Air ไปอีกขั้น พร้อมประสบการณ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถเฉพาะตัวของ iPad โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมาย
การทำงานแบบ Multitasking จะง่ายดายกว่าเดิมด้วยการทำให้คุณสมบัติอย่าง Split View และ Slide Over สามารถค้นพบได้ง่ายขึ้น ใช้งานได้ง่ายขึ้น ทั้งยังทรงพลังกว่าเดิมด้วย
การจดโน้ตสามารถทำได้แล้วทั้งระบบด้วยฟีเจอร์ Quick Note ที่มอบวิธีใหม่ๆ ในการทำงานร่วมกันและจัดระเบียบสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือพิมพ์ด้วย Apple Pencil รวมถึง SharePlay ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ประสบการณ์กับเพื่อนๆ และครอบครัวขณะโทร FaceTime ได้ ผู้ใช้สามารถดูอะไรไปพร้อมกัน ฟังอัลบั้มด้วยกัน หรือแข่งประชันความฟิตกับเพื่อนๆ และ SharePlay ก็จะซิงค์ทุกอย่างและทุกคนให้ตรงกัน
ด้วย Machine Learning ขั้นสูง และ iPadOS 15 ทำให้ iPad Air ใหม่ รองรับฟีเจอร์ Live Text สามารถสแกนข้อความในรูปภาพแล้วให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้ ตัวอย่างเช่น ภาพถ่ายหน้าร้านอาจแสดงหมายเลขโทรศัพท์และตัวเลือกให้โทรไป
Universal Control ช่วยให้ iPad Air ทำงานร่วมกับ Mac อย่างราบรื่นเสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยการใช้เมาส์และคีย์บอร์ดชุดเดียว รวมถึงความสามารถในการถ่ายโอนไฟล์ข้ามระหว่าง Mac และ iPad ได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องตั้งค่าใดๆ ผู้ใช้สามารถลากแล้ววางคอนเทนต์สลับไปมาระหว่างอุปกรณ์ได้เลย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสเก็ตช์ภาพด้วย Apple Pencil บน iPad แล้วลากไปวางในสไลด์ Keynote บน Mac
สรุปราคาและการวางจำหน่าย
ถึงแม้การออกแบบภายนอกของ iPad Air รุ่นใหม่ในปีนี้ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนหน้า แต่ก็ถือว่ามีความสวยงามพรีเมียมและทันสมัยกว่า iPad ระดับเริ่มต้น ด้วยดีไซน์ขอบจอบาง รองรับพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C โดยมีจุดเด่นที่ได้รับชิปประมวลผล M1 ตัวเดียวกับ iPad Pro รองรับ 5G (สำหรับรุ่น Wi‑Fi + Cellular) และมาพร้อมกล้องหน้าใหม่แบบ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เพื่อใช้งานฟีเจอร์ Center Stage สรุปแล้ว iPad Air รุ่นที่ 5 เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการทำงานด้วย iPad แต่ไม่ต้องการจ่ายหนักเพื่อซื้อ iPad Pro
iPad Air รุ่นที่ 5 พร้อมให้จับจองแล้ววันนี้ มาในสีเทาสเปซเกรย์, สีสตาร์ไลท์, สีชมพู, สีม่วง, และ สีฟ้า
ราคารุ่น Wi-Fi
- ความจุ 64GB ราคา 20,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคา 25,900 บาท
ราคารุ่น Wi-Fi + Cellular
- ความจุ 64GB ราคา 25,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคา 30,900 บาท