ถือว่ารอไม่นานเลยกับ iPhone SE 3 หลังจากที่ Apple ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาและได้เปิดในแฟนๆในประเทศไทยได้สั่งซื้อล่วงหน้าไปพร้อมกับ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 สีเขียวอัลไพน์ใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว ล่าสุด Apple ก็พร้อมวางจำหน่าย iPhone SE รุ่นที่ 3 ทางการประเทศไทยวันที่ 25 มีนาคมนี้แล้ว ซึ่งตอนนี้ทางทีมงาน @flashfly ก็ได้มาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้วโดยจะมาแกะกล่องพร้อมรีวิวให้ชมกันก่อนใครเช่นเคย โดยพบว่า iPhone SE ในปี 2022 มีจุดเด่นที่ชิปประมวลผล เป็นชิปตัวเดียวกับที่ฝังอยู่ใน iPhone 13 ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ทรงพลัง และยังปรับปรุงคุณภาพกล้องให้ดีขึ้นอย่างมาก ที่สำคัญยังรองรับ 5G และจัดการพลังงานของแบตเตอรี่ได้ดียิ่งขึ้น
สเปก iPhone SE 3
- จอแสดงผล Retina HD (1334 x 750 พิกเซล) ขนาด 4.7 นิ้ว
- กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 7 ล้านพิกเซล
- ชิปประมวลผล A15 Bionic
- ความจุ 64GB, 128GB และ 256GB
- การเชื่อมต่อ 5G, LTE Advanced, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0, NFC, Lightning
- ระบบปฏิบัติการ iOS 15.4 ตั้งแต่แกะกล่อง
- เซ็นเซอร์ลายนิ้วมือติดตั้งอยู่ในปุ่มโฮม (Touch ID)
- เซ็นเซอร์ Barometer, Gyro แบบ 3 แกน, Accelerometer, Proximity sensor, Ambient light sensor
- ป้องกันน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP67 (ความลึกไม่เกิน 1 เมตร ภายในเวลาสูงสุด 30 นาที)
- ขนาดตัวเครื่อง 138.4 x 67.3 x 7.3 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 144 กรัม
- มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Starlight, Midnight และ (PRODUCT)RED
แกะกล่อง iPhone SE 3
iPhone SE รุ่นใหม่ในปี 2022 ถูกบรรจุไว้ในกล่องสีขาว หน้ากล่องพิมพ์รูปภาพด้านหน้าของ iPhone ไว้อย่างชัดเจน ข้างกล่องพิมพ์ชื่อ iPhone และอีกข้างเป็นโลโก้ Apple
ใต้กล่องจะพบแถบกระดาษกาวที่ไว้ที่ขอบกล่อง แทนการซีลด้วยพลาสติกใส หากแถบกาวนี้ยังไม่ได้ถูกลอก มั่นใจได้ว่าเป็นเครื่องใหม่เอี่ยม ถัดลงมาเป็นฉลากระบุชื่อ iPhone SE พร้อมบอกรายละเอียดว่าภายในกล่องมีอะไรมาให้บ้าง รวมถึงความสามารถในการเชื่อมต่อไร้สาย
เมื่อยกฝากล่องขึ้นมาจะพบกับ iPhone SE รุ่นที่ 3 นอนคว่ำหน้าอยู่ โดยมีซองพลาสติกห่อหุ้มอย่างดี และมีลิ้นที่ด้านล่างช่วยดึง iPhone ขึ้นมาจากกล่อง
ซองพลาสติกที่ห้อหุ้ม iPhone มีการทำสัญลักษณ์บอกหน้าที่ของปุ่มกดด้านข้าง และระบุตำแหน่งของ Touch ID มาให้ด้วย
ถัดลงมาจะพบกับซองเอกสาร ภายในมีคู่มือการใช้งานเบื้องต้น เอกสารการรับประกันตัวเครื่องในรูปแบบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมถึงเอกสารจาก กสทช. สำหรับเครื่องศูนย์ฯ ไทย
ภายในซองเอกสารยังแนบเข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ดมากับแผ่นกระดาษ และแถมสติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้ 1 ชิ้น
สุดท้ายเป็นสายเคเบิล USB-C to Lightning ส่วนที่ชาร์จ หรือ Power Adapter ต้องใช้ของเดิม ถ้าไม่มีต้องซื้อแยกต่างหากควรใช้ Power Adapter ขนาด 20W เป็นอย่างน้อย หรือ ใช้อุปกรณ์ชาร์จไร้สายที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Qi
กดเปิดเครื่องจะพบกับข้อความต้อนรับทุกภาษาทั่วโลกรวมทั้งภาษาไทย โดย iPhone SE 3 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 15.4 ใหม่ล่าสุดตั้งแต่แกะกล่อง
ดีไซน์คุ้นเคย พกพาสะดวก
ดีไซน์โดยรวมของ iPhone SE รุ่นที่ 3 ดูไม่ออกเลยว่ามีความแตกต่างไปจากรุ่นปี 2020 อย่างไรบ้าง โดยยังคงถอดแบบมาจาก iPhone 8 และมีให้เลือก 3 สี เหมือนได้ ได้แก่ สีดำ, สีขาว และ สีแดง (PRODUCT)RED อย่างไรก็ตาม หากนำ iPhone SE รุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 2 มาเทียบเคียงกันจริงๆ จะเห็นว่ามีโทนสีที่แตกต่างกันเล็กน้อย นั่นทำให้สีดำของ iPhone SE รุ่นใหม่ เรียกว่า Midnight และสีขาวใหม่เรียกว่า Starlight ซึ่งเป็นสีที่ทีมงาน @Flashfly ได้รับมารีวิว
iPhone SE รุ่นที่ 3 ได้รับการผลิตและประกอบอย่างประณีต ตามแบบฉบับของ Apple อีกทั้งยังใช้วัสดุคุณภาพสูง ถึงแม้จะเป็น iPhone ระดับเริ่มต้นก็ตาม โดยโครงสร้างหลักใช้อะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ด้านหน้าและด้านหลังมาพร้อม กระจกที่แข็งแกร่งที่สุดในสมาร์ทโฟน และสามารถทนน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP67 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 1 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
มุมมองด้านหน้าของ iPhone SE รุ่นที่ 3 ดูเหมือนมาจากปี 2020 โดยเฉพาะจอแสดงผล Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว ที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อน
ขอบบนจอมีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับติดตั้งกล้องหน้า FaceTime HD และลำโพงสเตอริโอ (ขับเสียงร่วมกับลำโพงด้านล่าง) พร้อมไมโครโฟนในตัว
ใต้จอแสดงผลจะพบกับปุ่มโฮมพร้อม Touch ID ที่คุณคุ้นเคย
ด้านหลังวางกล้องหลักไว้ที่มุมบนซ้ายมือ รูใกล้กันเป็นไมโครโฟน ตามด้วยแฟลช True Tone
ส่วนขอบด้านข้างมีความบางเพียง 7.3 มิลลิเมตร มาพร้อมปุ่มด้านข้าง หรือ ปุ่มเพาเวอร์ ถัดลงมาเป็นถาดใส่ซิมการ์ด รองรับ Nano-SIM และยังสนับสนุน eSIM นั่นหมายถึง iPhone SE รุ่นใหม่ ยังรองรับการใช้งานพร้อมกันได้ 2 เลขหมาย
อีกข้างมีปุ่มสำหรับเปิด/ปิดเสียงเรียกเข้า ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่มและลดระดับเสียง
ขอบด้านบนถูกปล่อยให้เรียบ ไม่มีรูไมโครโฟนตัวที่ 2 เพราะติดตั้งไว้ข้างกล้องหลัง
ด้านล่างมีลำโพงสเตอริโอ (ขับเสียงร่วมกับลำโพงด้านบน) ตรงกลางเป็นพอร์ตเชื่อมต่อ Lightning และยังซ่อนไมโครโฟนตัวหลักเอาไว้ด้วย
จอแสดงผล Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว
iPhone SE รุ่นที่ 3 มาพร้อมจอแสดงผล Retina HD (LCD พร้อมเทคโนโลยี IPS) ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล ขนาด 4.7 นิ้ว ความหนาแน่นพิกเซล 326 ppi รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ช่วยปรับไวท์บาลานซ์บนจอแสดงผลให้ตรงกับแสงโดยรอบ เพื่อให้สีสันมีความเป็นธรรมชาติเหมือนกำลังจ้องมองแผ่นกระดาษของจริง ถึงแม้จะเป็นจอแสดงผล LCD แต่ก็ให้ทั้งความสว่าง คมชัด สีสันสดใส ด้วยการรองรับขอบเขตสีกว้าง P3 อัตราส่วนคอนทราสต์ 1,400:1 และให้ความสว่างสูงสุด 625 นิต
Touch ID ที่คุ้นเคย
น่าเสียดายที่ iPhone SE ในปี 2022 ยังไม่รองรับ Face ID โดยยังคงใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ หรือ Touch ID ฝังรวมไว้กับปุ่มโฮมใต้หน้าจอ แต่หลายคนที่ตัดสินใจเลือก iPhone SE ส่วนใหญ่เป็นเพราะชื่นชอบ Touch ID เพราะเป็นวิธีการยืนยันตัวตนที่ใช้งานง่ายและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดย Touch ID ทำหน้าที่ในการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานที่มีความปลอดภัยสูง ใช้ปลดล็อกเข้าใช้งาน iPhone รวมถึงใช้ล็อกอินเข้าสู่แอปพลิเคชั่นต่างๆ และใช้ยืนยันตัวตนเพื่ออนุมัติการซื้อจาก App Store
กล้องหลัง 12MP Wide Camera
iPhone SE รุ่นที่ 3 ยกโมดูลกล้องมาจากรุ่นก่อน โดยใช้กล้อง Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/1.8 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล (OIS) ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่า อย่างไรก็ตาม ชิปประมวลผล A15 Bionic ที่ฝังอยู่ใน iPhone SE รุ่นใหม่ ช่วยให้กล้องหลังถ่ายภาพออกมาคมชัดมากขึ้น พร้อมรองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง Deep Fusion, Smart HDR 4 และ Photographic Styles
Photographic Styles ช่วยให้ผู้ใช้งานนำสไตล์การปรับแต่งภาพในแบบของตัวเองมาใช้กับทุกภาพได้ และยังมีการปรับค่าต่างๆ ในแต่ละส่วนของภาพในระดับที่เหมาะสมอย่างชาญฉลาด เพื่อให้มั่นใจว่าองค์ประกอบสำคัญในภาพยังคงดูดีเช่นเดิม
กล้องหลังของ iPhone SE รุ่นที่ 3 ยังรองรับโหมด Portrait ที่ให้เอฟเฟกต์โบเก้ สมจริง และควบคุมระยะชัดลึกได้ และยังมี Portrait Lighting พร้อมเอฟเฟ็กต์ 6 แบบ (Natural, Studio, Contour, Stage, Stage Mono, High‑Key Mono)
Deep Fusion สำหรับการถ่ายภาพเซลฟี่ที่มีความคมชัดสูง ซึ่งอาศัย Machine Learning ขั้นสูงในการปรับแต่งรายละเอียด องค์ประกอบ และลดนอยซ์ในทุกส่วนของรูปภาพ และยังมี Smart HDR 4 ที่ช่วยปรับแต่งสี คอนทราสต์ และนอยซ์โดยแยกจากกัน ทำให้ภาพมีความสมจริงยิ่งขึ้น
การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหลัง ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุดในระดับ 4K ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที ให้ภาพเคลื่อนไหวออกมาราบรื่นและนุ่มนวลด้วยระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล (OIS) รองรับการซูมดิจิทัลสูงสุด 3 เท่า และฟีเจอร์ QuickTake ยังมีมาให้เหมือนเดิม นอกจากนี้ โหมดวิดีโอของกล้องหลัง ยังรองรับฟีเจอร์ Slo-mo ความละเอียด 1080p ที่ 240 เฟรมต่อวินาที, Time‑lapse พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว และที่เพิ่มเข้ามาใหม่ คือฟีเจอร์ Night mode Time‑lapse
กล้องหน้า 7MP FaceTime HD
กล้องหน้าของ iPhone SE รุ่นที่ 3 ไม่ได้รับการปรับปรุงในส่วนของฮาร์ดแวร์ เมื่อเทียบกับรุ่นที่ 2 ยังคงใช้กล้อง FaceTime HD ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.2 แต่ด้วยชิปประมวลผล A15 Bionic มีส่วนอย่างมากที่ทำให้กล้องหน้าของ iPhone SE รุ่นใหม่ มีคุณภาพสูงขึ้น อีกทั้งยังรองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ไม่พบในรุ่นก่อน
ชิปประมวลผล A15 Bionic ทำให้กล้องหน้าของ iPhone SE รุ่นที่ 3 รองรับ Deep Fusion, Smart HDR 4 และ Photographic Styles เช่นเดียวกับกล้องหลัง ขณะที่โหมด Portrait และ Portrait Lighting ที่พบในรุ่นก่อน ก็ไม่ได้หายไปไหน สำหรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้า สามารถบันทึกวิดีโอระดับสูงสุด Full HD 1080p ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที รองรับ Time‑lapse พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว, Night mode Time‑lapse และระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (1080p และ 720p)
A15 Bionic ประสิทธิภาพเทียบเท่า iPhone 13
การปรับปรุงที่สำคัญของ iPhone SE รุ่นที่ 3 คือการได้รับชิปประมวลผล A15 Bionic ที่ทรงพลัง เพราะเป็นชิปตัวเดียวกับที่ฝังอยู่ใน iPhone 13 ผลิตด้วยเทคโนโลยี 5 นาโนเมตร ประกอบด้วย CPU แบบ 6-core (มีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2-core + คอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4-core) พร้อมด้วย GPU แบบ 4-core ให้ประสิทธิภาพกราฟิกเร็วขึ้นสูงสุด 1.2 เท่า เมื่อเทียบกับ iPhone SE รุ่นที่ 2 และ Neural Engine แบบ 16-core สามารถประมวลผลได้ถึง 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที มั่นใจได้ว่าเป็นชิปที่ตอบสนองการเล่นเกมคุณภาพสูงได้อย่างลื่นไหล
รองรับ 5G
ครั้งแรกของ iPhone ราคาประหยัด ที่มาพร้อมเทคโนโลยี 5G โดย iPhone SE รุ่นที่ 3 รองรับ 5G แบบ sub-6 GHz พร้อม MIMO แบบ 2×2 ช่วยให้การใช้งานออนไลน์มีความรวดเร็วและเสถียรยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอัพโหลดหรือดาวน์โหลดข้อมูลขนาดใหญ่, การโทร FaceTime คุณภาพระดับ HD, แชร์ประสบการณ์ร่วมกันผ่านฟีเจอร์ SharePlay รวมถึงการสตรีมมิ่งภาพยนตร์หรือรายการทีวีแบบ HDR ที่มีความคมชัดสูง
iPhone SE รุ่นใหม่ ยังมีโหมด Smart Data ช่วยประหยัดแบตเตอรี่อย่างชาญฉลาด โดยจะปรับความเร็วของ iPhone มาเป็น 4G เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วระดับ 5G หรือกรณีที่ผู้ใช้งานไม่ได้สมัครใช้บริการ 5G ก็ยังรองรับ 4G LTE Advanced พร้อม MIMO แบบ 2×2 และ LAA รวมถึง Wi-Fi 6 (มาตรฐาน 802.11ax) พร้อม MIMO แบบ 2×2
แบตเตอรี่ให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น
Apple ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขความจุแบตเตอรี่ของ iPhone แต่มั่นใจได้ว่า iPhone SE รุ่นใหม่ ให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ยาวนานกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างแน่นอน เนื่องจากชิป A15 Bionic ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับเคมีของแบตเตอรี่รุ่นใหม่ และด้วยประสิทธิภาพของ iOS 15 ก็ยิ่งทำให้ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ดีขึ้น จนสามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุด 15 ชั่วโมง (มากกว่า 2 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone SE รุ่นที่ 2) และฟังเพลงได้ยาวนาน 50 ชั่วโมง (มากกว่า 10 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone SE รุ่นที่ 2)
iPhone SE รุ่นที่ 3 ยังรองรับชาร์จเร็ว จากระดับแบตเตอรี่ 0 – 50% ภายในระยะเวลา 30 นาที ด้วยอุปกรณ์ชาร์จ Power Adapter ขนาด 20W หรือสูงกว่า (จำหน่ายแยกต่างหาก) และสนับสนุนการชาร์จไร้สาย โดยใช้อุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Qi
ระบบปฏิบัติการ iOS 15.2 เวอร์ชั่นล่าสุด
iPhone SE รุ่นที่ 3 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 15.2 เวอร์ชั่นล่าสุด และสามารถอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ๆ ที่จะออกมาในอนาคตไปอีกหลายปี เช่นเดียวกับที่ iPhone 13 รองรับ โดย iOS 15 ช่วยให้ iPhone SE รุ่นใหม่ รองรับการโทร FaceTime ที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นด้วยระบบเสียงตามตำแหน่ง Spatial Audio และโหมด Portrait อีกทังยังรองรับ SharePlay ฟีเจอร์ใหม่สำหรับแชร์ประสบการณ์ร่วมกันในขณะสนทนากับเพื่อนๆ ด้วย FaceTime
iOS 15 ช่วยให้ iPhone SE รุ่นที่ 3 รองรับฟีเจอร์ Live Text หรือ “ข้อความในรูปภาพ” ที่ใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อตรวจหาข้อความในรูปภาพและให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้ และยังมีโหมด Focus ที่ช่วยลดสิ่งรบกวนสมาธิ รวมถึงปรับโฉมการแจ้งเตือนให้สบายตามากขึ้น
Apple Maps ใน iOS 15 มาพร้อมวิธีการใหม่ๆ ในการนำทาง ด้วยประสบการณ์การขับขี่ในเมืองแบบ 3D และเส้นทางการเดินในแบบ AR นอกจากนี้ แอป Weather ก็ได้รับการออกแบบใหม่ โดยมีทั้งแผนที่เต็มหน้าจอและการแสดงข้อมูลสภาพอากาศในแบบกราฟิกมากยิ่งขึ้น และยังมีการปรับปรุงระบบรักษาความเป็นส่วนตัวทั่วทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน Siri, Mail และแอปต่างๆ เพื่อช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น
สรุปราคาและการวางจำหน่าย
iPhone SE รุ่นที่ 3 มีจุดเด่นที่ชิปประมวลผล A15 Bionic แบบเดียวกับที่พบใน iPhone 13 มั่นใจได้ว่ามีประสิทธิภาพที่ทรงพลัง ตอบสนองการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล พร้อมรองรับการอัพเดทซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ไปอีกหลายปี เช่นเดียวกับ iPhone ระดับพรีเมียม อีกทั้งชิปรุ่นใหม่ ยังมีส่วนช่วยให้สนับสนุนเทคโนโลยี 5G ปรับปรุงคุณภาพกล้องให้คมชัดและรองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง Deep Fusion, Smart HDR 4 และ Photographic Styles สรุปแล้ว iPhone SE รุ่นใหม่ในปี 2022 เหมาะสำหรับผู้ใช้งาน iPhone รุ่นเก่าที่ต้องการอัพเกรดมาใช้ iPhone ที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ แบบ iPhone 13 แต่มีราคาถูกกว่า รวมถึงผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Android ที่ต้องการสัมผัสระบบนิเวศของ Apple ซึ่งจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่าง
ทั้งนี้ iPhone SE รุ่นที่ 3 จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2022 เป็นต้นไป ราคา 15,900 บาท สำหรับรุ่น 64GB, ราคา 17,900 บาท สำหรับรุ่น 128GB และ ราคา 21,900 บาท สำหรับรุ่น 256GB มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว Starlight, สีดำ Midnight และ สีแดง (PRODUCT)RED ถือว่าเป็น iPhone ที่คุ้มค่าที่สุดในเวลานี้
สั่งซื้อได้ที่นี่ – https://www.apple.com/th/shop/buy-iphone/iphone-se