วันนี้ Apple ประกาศเปิดตัวสีใหม่ 2 สีคือ สีเขียวอัลไพน์และสีเขียวสำหรับ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 มาพร้อมกับดีไซน์ขนาดกะทัดรัดที่ได้รับการเสริมให้ทนทานยิ่งขึ้นด้วยด้านหน้าแบบ Ceramic Shield อีกทั้งยังมีชิป A15 Bionic สุดล้ำ ประสบการณ์การใช้งาน 5G ขั้นสูง ระบบกล้องอันล้ำสมัยเพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอที่สวยสะดุดตา และระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นแบบก้าวกระโดด iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังมีจอภาพ Super Retina XDR ที่ให้สีสันสดใสขณะที่ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR พร้อม ProMotion ที่ให้สีสันสดใส โดยมีอัตราการดึงข้อมูลใหม่แบบปรับได้ตั้งแต่ 10Hz จนถึงสูงสุด 120Hz iPhone 13 Pro สีเขียวอัลไพน์และ iPhone 13 สีเขียวใหม่จะเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าในวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม และจะเริ่มวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม
“ผู้คนชื่นชอบดีไซน์ของ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 เป็นอย่างมากและเราก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เผยโฉมสีเขียวอัลไพน์และสีเขียวสวยสะดุดตาใหม่ ซึ่งจะมาเป็นหนึ่งในเฉดสีที่สวยงามของกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13” Bob Borchers รองประธานฝ่าย Worldwide Product Marketing ของ Apple กล่าว “สีสันใหม่ๆ นี้มอบตัวเลือกให้ลูกค้ามากกว่าเดิมเมื่อเลือกซื้อ iPhone และเรารอแทบไม่ไหว ที่จะให้พวกเขาได้ใช้ประโยชน์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 ไม่ว่าจะเป็น ประสิทธิภาพที่ไม่มีใครเทียบได้ของชิป A15 Bionic, ระบบกล้องที่ดีที่สุดของเรา, ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นสำหรับการใช้งานต่างๆ ในชีวิตประจำวัน, 5G ที่รวดเร็ว, สุดยอดของความทนทาน และอีกมากมาย”
ดีไซน์ที่ทั้งหรูหราและทนทาน
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 มาพร้อมกับดีไซน์ที่กะทัดรัดและทนทาน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max สีเขียวอัลไพน์แบบใหม่ที่รังสรรค์โดยการนำเซรามิกโลหะหลายชั้นที่บางระดับนาโนเมตรมาเคลือบลงบนพื้นผิว เข้ากับขอบสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรมและด้านหลังแบบกระจกผิวด้านได้เป็นอย่างดี ทั้งสองรุ่นมาพร้อมจอภาพล้ำหน้าที่สุดบน iPhone นั่นก็คือ Super Retina XDR ที่มี ProMotion และยังมีให้เลือกในขนาด 6.1 และ 6.7 นิ้ว iPhone 13 และ iPhone 13 mini สีเขียวมาพร้อมกับกรอบอะลูมิเนียมหรูหราที่สีเข้ากันและกระจกด้านหลังที่ได้รับการตัดแต่งอย่างแม่นยำ จอภาพ Super Retina XDR ที่ให้สีสดใส และมีให้เลือกในขนาด 6.1 และ 5.4 นิ้ว1 ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ยังได้รับการปกป้องด้วยด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone เท่านั้น อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่ากระจกสมาร์ทโฟนไหนๆ และยังสามารถรักษาคุณสมบัติการทนฝุ่นและน้ำชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรมที่ระดับ IP68 เอาไว้ได้2
A15 Bionic: สุดยอดชิปสมาร์ทโฟน
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 ได้รับการขับเคลื่อนด้วยพลังประมวลผลของชิป A15 Bionic ซึ่งมอบสุดยอดประสบการณ์อย่างโหมดภาพยนตร์ กราฟิกอันน่าทึ่ง และทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกับ iOS 15 A15 Bionic สามารถรับมือกับงานที่ต้องใช้พลังการประมวลผลอย่างหนักหน่วงที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถประมวลผลการเรียนรู้ของระบบได้เร็วยิ่งกว่าเดิม และเมื่อมีโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ (ISP) ที่สร้างมาแบบเฉพาะและฮาร์ดแวร์กล้องอันทรงพลัง จึงสามารถใช้คุณสมบัติกล้องอย่าง HDR อัจฉริยะ 4 สไตล์ภาพถ่าย และอีกมากมายได้ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro มอบระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีกว่าเดิมได้ด้วย A15 Bionic, ส่วนประกอบที่ประหยัดพลังงาน และการปรับปรุงพลังการประมวลผลที่เกิดจากการทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมถึงยังมอบระยะเวลาการทำงานของแบตเตอรี่ที่ยาวนานที่สุดบน iPhone ใน iPhone 13 Pro Max3หยุดฉายวีดีโอ: A15 Bionic บน iPhone 13 ProiPhone 13 Pro และ iPhone 13 ขับเคลื่อนด้วย A15 Bionic ซึ่งมอบประสบการณ์อันน่าทึ่งอย่างการเล่นเกมที่กินพลังการประมวลผลสูง กราฟิกอันน่าทึ่ง และทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกับ iOS 15
ระบบกล้องที่ล้ำสมัยที่สุดบน iPhone
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 มาพร้อมฮาร์ดแวร์กล้องระดับท็อปของกลุ่มผลิตภัณฑ์ซึ่งได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ทำงานร่วมกับ iOS 15 ได้อย่างลื่นไหล อีกทั้งยังขับเคลื่อนด้วย ISP ใหม่ใน A15 Bionic จึงสามารถมอบระบบกล้องระดับโปรและระบบกล้องคู่ที่ล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ส่วน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มาพร้อมกับกล้องไวด์, อัลตร้าไวด์ และเทเลโฟโต้ใหม่ที่สามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้สวยสะดุดตา รวมถึงมอบความสามารถของกล้องระดับโปรใหม่อันน่าทึ่งอย่างการถ่ายภาพและวิดีโอมาโคร ระบบกล้องคู่บน iPhone 13 และ iPhone 13 mini มอบดีไซน์กล้องแบบก้าวกระโดด โดยกล้องไวด์มีเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระบบกล้องคู่ของ iPhone, กล้องอัลตร้าไวด์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล iPhone 13 Pro และ iPhone 13 ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Neural Engine ที่ว่องไวกว่าเดิมใน A15 Bionic มอบความสามารถในการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์อย่าง HDR อัจฉริยะ 4, Deep Fusion, โหมดกลางคืนบนกล้องทุกตัวในกลุ่มผลิตภัณฑ์, โหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล และสไตล์ภาพถ่าย iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังมี Apple ProRAW
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 ที่มอบวิดีโอคุณภาพสูงที่สุดในสมาร์ทโฟนมาพร้อมกับโหมดภาพยนตร์ที่สามารถสร้างเอฟเฟ็กต์โบเก้ในวิดีโอพร้อมความสามารถในการปรับโฟกัสทั้งในระหว่างและหลังการถ่าย4 iPhone ยังเป็นสมาร์ทโฟนแรกในโลกที่มีเวิร์กโฟลว์ Dolby Vision HDR เต็มรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการถ่าย ตัดต่อ และแชร์ นอกจากนี้ผู้ใช้ที่มี iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังสามารถใช้ประโยชน์จาก ProRes ได้อีกด้วย
มาพร้อม iOS 15
iPhone 13 Pro ในสีเขียวอัลไพน์และ iPhone 13 สีเขียวจะจัดส่งพร้อม iOS 15.4 ซึ่งมอบความสามารถในการใช้ Face ID ขณะสวมหน้ากากอนามัย, ตัวเลือกเสียง Siri ใหม่, การขยายความช่วยเหลือด้านภาษาสำหรับค้นดูจากภาพ, อิโมจิใหม่ และอีกมากมายซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุดสร้างขึ้นบนระบบปฏิบัติการ iOS 15 ซึ่งยกระดับประสบการณ์การใช้งาน iPhone ด้วยวิธีการต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถติดต่อกับผู้อื่นได้อยู่เสมอ พร้อมด้วยการอัปเดตอันทรงพลังที่จะช่วยผู้ใช้มีสมาธิและเรียนรู้สิ่งต่างๆ รวมถึงคุณสมบัติอันชาญฉลาดที่จะช่วยให้ทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย iPhone ตอนนี้การโทร FaceTime ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นด้วยระบบเสียงตามตำแหน่งและโหมดภาพถ่ายบุคคลใหม่ SharePlay มอบวิธีการสำหรับผู้ใช้ในการแชร์ประสบการณ์ร่วมกันให้ผู้ใช้ขณะพูดคุยกับเพื่อนๆ ด้วย FaceTime และมีโหมดโฟกัสใหม่ที่ช่วยลดสิ่งรบกวนสมาธิ รวมถึงการแจ้งเตือนโฉมใหม่ และคุณสมบัติ “ข้อความในรูปภาพ” ที่ใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อตรวจหาข้อความในรูปภาพและให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้ Apple Maps มาพร้อมวิธีการต่างๆ ในการนำทางและสำรวจโลกด้วยประสบการณ์การขับขี่ในเมืองแบบ 3 มิติ และเส้นทางการเดินในแบบความจริงเสริม ส่วนแอปสภาพอากาศก็ได้รับการออกแบบใหม่โดยมีทั้งแผนที่เต็มหน้าจอและการแสดงข้อมูลสภาพอากาศในแบบกราฟิกมากยิ่งขึ้น ส่วนแอปกระเป๋าสตางค์รองรับกุญแจบ้าน ใบขับขี่ และบัตรประจำตัวของรัฐแล้ว และยังมีการควบคุมด้านความเป็นส่วนตัวใน Siri, เมล และอีกหลายที่ทั่วทั้งระบบเพื่อช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น5
iPhone กับสิ่งแวดล้อม
iPhone 13 รุ่นต่างๆ นั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้แร่โลหะหายากที่ผ่านการรีไซเคิลทั้งหมด 100% ในแม่เหล็กอย่างที่ใช้ใน MagSafe รวมถึงการใช้ทองคำรีไซเคิล 100% ในการชุบผิวแผงวงจรหลักและสายในกล้องหน้าและกล้องหลัง การใช้ดีบุกรีไซเคิล 100% ในบัดกรีของแผงวงจรหลัก อีกทั้งยังใช้ในบัดกรีของหน่วยจัดการแบตเตอรี่เป็นครั้งแรก iPhone 13 และ iPhone 13 mini มีสายอากาศที่ใช้ขวดน้ำพลาสติกที่ผ่านการอัปไซเคิลโดยอาศัยกระบวนการทางเคมีเพื่อเปลี่ยนเป็นวัสดุประสิทธิภาพสูงที่แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงการ ส่วนบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบใหม่สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 นั้นก็เลิกใช้พลาสติกหุ้มชั้นนอกโดยสิ้นเชิง จึงสามารถหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกได้ถึง 600 เมตริกตัน และทำให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายของบริษัทในการเลิกใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2025 iPhone 13 Pro และ iPhone 13 นั้นตรงตามมาตรฐานระดับสูงของ Apple ในด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังปลอดสารอันตรายหลายประเภทวันนี้การดำเนินงานของบริษัท Apple ทั่วโลกมีความเป็นกลางทางคาร์บอน และภายในปี 2030 เราวางแผนที่จะลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศให้เป็นศูนย์ในทุกภาคส่วนของธุรกิจ ซึ่งรวมถึงซัพพลายเชนการผลิตและวงจรชีวิตของสินค้าทั้งหมด นั่นหมายความว่าอุปกรณ์ Apple ทุกเครื่องที่จำหน่ายจะมีความเป็นกลางทางคาร์บอน 100% ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วน การประกอบ การขนส่ง การใช้งานของลูกค้า การชาร์จ จนถึงการรีไซเคิลและการคัดแยกวัสดุราคาและความพร้อมในการวางจำหน่าย
- iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มีวางจำหน่ายในสีเซียร์ร่าบลู, สีกราไฟต์, สีทอง และสีเงิน และจะมีจำหน่ายในสีเขียวอัลไพน์ใหม่ โดยมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB ในราคาเริ่มต้นที่ 38,900 บาท และ 42,900 บาท ตามลำดับ iPhone 13 และ iPhone 13 mini มีวางจำหน่ายในรุ่น (PRODUCT)RED,6 สีสตาร์ไลท์, สีมิดไนท์, สีน้ำเงิน และสีชมพู และจะมีวางจำหน่ายในสีเขียวใหม่ โดยมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ 128GB, 256GB และ 512GB ในราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท และ 25,900 บาท ตามลำดับ
- ลูกค้าจะสามารถสั่งซื้อ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ล่วงหน้าในสีเขียวอัลไพน์ และ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ในสีเขียวได้ตั้งแต่เวลา 9:00 น. ตามเวลาในประเทศไทยของวันศุกร์ที่ 18 มีนาคมและจะมีวางจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม
- ลูกค้าสามารถซื้อ iPhone 13 Pro ในราคา 3,890 บาท ต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือนก่อนการแลกซื้อ, iPhone 13 Pro Max ในราคา 4,290 บาท ต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือนก่อนการแลกซื้อ, iPhone 13 ในราคา 2,990 บาท ต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือนก่อนการแลกซื้อ และ iPhone 13 mini ในราคา 2,590 บาท ต่อเดือนเป็นระยะเวลา 10 เดือนก่อนการแลกซื้อได้จาก apple.com/th/storeในแอป Apple Store และที่ร้าน Apple Store7
- iPhone 13 Pro, iPhone 13 Pro Max, iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังมีวางจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตของ Apple และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์อีกหลายรายด้วย
- iOS 15.4 จะเปิดให้ใช้งานในรูปแบบของการอัปเดตซอฟต์แวร์ฟรีตั้งแต่สัปดาห์หน้า
- Apple มีบริการหลายประเภทให้แก่ลูกค้าทั้งในร้านและทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือและคำแนะนำเฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละรายจาก Apple Specialists จนถึงบริการจัดส่งและรับสินค้าที่ร้านที่สะดวกสบาย ทั้งหมดนี้ก็เพราะ Apple ตั้งใจให้ Apple Store apple.com/th/store เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการซื้อผลิตภัณฑ์ Apple นั่นเอง