นายซิคเว่ เบรคเก้ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทเลนอร์ พร้อมด้วยนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) สู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยี (Technology Company) ด้วยความร่วมมืออย่างเท่าเทียมกัน (Equal Partnership) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ทั้ง 2 บริษัท โดยมีการประเมินว่าบริษัทใหม่จะสามารถสร้างรายได้ถึง 2.17 แสนล้านบาท และมีส่วนแบ่งทางการตลาด 40%
ความร่วมมืออย่างเท่าเทียมกัน (Equal Partnership) ทำให้เครือซีพีและกลุ่มเทเลนอร์ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกันในบริษัทใหม่ที่จะร่วมกันสร้างขึ้น โดยตั้งเป้าให้เป็นบริษัทเทคโนโลยี ภายใต้ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีฮับ พร้อมเสริมธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ การสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็ม และกองทุนสตาร์ทอัพ เพื่อสอดรับยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีระดับภูมิภาค และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้บริการของทั้ง TRUE และ DTAC
การสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มของทั้ง 2 บริษัท ประกอบไปด้วยการส่งเสริมสตาร์ทอัพด้วยการจัดตั้งกองทุน (มูลค่าประมาณ 100 – 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ), ผลักดันให้เกิดศูนย์การเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี, ส่งเสริมวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ของไทย, ร่วมทำงานกัยสตาร์ทอัพและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก, ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีโดยให้ไทยเป็นศูนย์กลาง รวมถึงการปฏิรูประบบการศึกษาของไทยให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
ความร่วมมือของทั้ง 2 บริษัท ยังช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีระดับภูมิภาค ด้วยการมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ทั้งปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI, ระบบคลาวด์เทคโนโลยี, อุปกรณ์อัจฉริยะ IoT (Internet of Things), เมืองอัจฉริยะ ดิจิทัลมีเดียโซลูชั่น และปรับโครงสร้างเพื่อให้สนับสนุนการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี (Tech Startup) โดยการจัดตั้ง Venture Capital ที่มุ่งเน้นลงทุนในสตาร์ทอัพไทย และสตาร์ทอัพต่างประเทศ ที่ตั้งในประเทศไทย นอกจากนี้ เรายังมีแผนที่จะศึกษาด้านเทคโนโลยีอวกาศ (Space Technology) เพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจ ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดกว้างกรอบความคิดในการทำนวัตกรรมใหม่เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ธุรกิจของ TRUE และ DTAC ในปัจจุบัน ยังคงดำเนินไปตามปกติ เนื่องจากปัจจุบันทั้ง 2 บริษัท ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาและพิจารณาการปรับโครงสร้าง ซึ่งจะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขต่าง ๆ ทั้งการตรวจสอบกิจการของอีกฝ่ายให้แล้วเสร็จเป็นที่พอใจ (Due Diligence) การขออนุมัติที่เกี่ยวข้องจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทและผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 บริษัท ตลอดจนการดำเนินขั้นตอนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้แล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าทั้ง 2 บริษัทจะสามารถลงนามข้อตกลงต่างๆ ได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2565