Apple เริ่มวางจำหน่าย AirPods รุ่นที่ 3 อย่างทางการแล้ว หลังจากเปิดตัวในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีดีไซน์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน แต่ยังมีส่วนคล้ายกับ AirPods Pro ขณะเดียวกัน AirPods รุ่นที่ 3 ยังถูกปรับปรุงคุณสมบัติต่างๆ ให้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากรุ่นที่ 2 แต่จะดีพอที่จะทำให้ลืม AirPods Pro ได้หรือไม่? เว็บไซต์ Phonearena ได้นำทั้งคู่มาเปรียบเทียบกันแล้ว
ดีไซน์
เคสชาร์จของ AirPods 3 และ AirPods Pro มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ AirPods Pro มีความกว้างกว่า และหนักกว่าเล็กน้อย ทำให้ AirPods รุ่นใหม่มีขนาดกะทัดรัดกว่า ขณะที่ดีไซน์ของทั้งคู่ก็มีความใกล้เคียงกันมาก ด้วยสีขาวที่มีพื้นผิวมันเงา บานพับฝาด้านบนเป็นโลหะ มีไฟ LED ที่ด้านหน้า ปุ่มจับคู่ Bluetooth ที่ด้านหลัง และพอร์ต Lightning ที่ข้างใต้สำหรับชาร์จแบตเตอรี่
ตัวหูฟังก็ดูคล้ายกัน แต่ก็สามารถมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน โดยหูฟังของ AirPods 3 ไม่มีจุกยางแบบ AirPods Pro ส่วนก้านของทั้งคู่ก็มีขนาดใกล้เคียงกัน และยังได้รับเซ็นเซอร์แรงกดเหมือนกัน สำหรับบีบเพื่อควบคุมการใช้งาน
ในแง่ของความทนทาน AirPods 3 และ AirPods Pro สามารถทนเหงื่อและน้ำได้ในระดับเดียวกัน (IPX4) ทั้งคู่จึงสามารถสวมใส่ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเดินฝ่าสายฝนปรอยๆ หรือเหงื่อจากการออกกำลังกาย
ความสบายในการสวมใส่
AirPods 3 ให้ความรู้สึกสบายกว่าเมื่อสวมใส่ เนื่องจากไม่มีจุกหูฟัง อีกทั้งยังสวมใส่ได้พอดีกับช่องหู มีความมั่นคงไม่รู้สึกว่าจะหลุดหล่นได้ง่าย อย่างไรก็ตาม AirPods Pro จะให้ความกระชับและแน่นหนากว่า หากมีการหกล้มระหว่างออกกำลังกาย โอกาสที่ AirPods 3 จะหลุดออกจากหูจึงมีสูงกว่า
สรุปแล้ว AirPods 3 ให้ความสบายในการสวมใส่มากกว่า เพราะไม่มีจุกยางแบบ AirPods Pro มากดดันหู แต่จุกยางนั้นมีประโยชน์ในด้านปิดกั้นเสียงรบกวน จึงช่วยให้คุณภาพเสียงดีขึ้น
การควบคุม
ส่วนก้านของ AirPods 3 และ AirPods Pro มาพร้อมเซ็นเซอร์แรงกดที่มีความแม่นยำสูง ไม่ต้องกังวลว่านิ้วมือจะไปสัมผัสและควบคุมโดยไม่ได้ตั้งใจเหมือนหูฟังแบบ TWS รุ่นอื่น โดยเซ็นเซอร์แรงกดมีไว้รองรับการควบคุมด้วยการบีบ เช่น บีบหนึ่งครั้งเพื่อเล่นหรือหยุดชั่วคราว, บีบสองครั้งเพื่อข้ามไปข้างหน้า, บีบสามครั้งเพื่อข้ามไปข้างหลัง เป็นต้น
เทคโนโลยี ANC และ Spatial Audio
มาถึงข้อได้เปรียบของ AirPods Pro ที่สร้างความแตกต่างได้มากที่สุด เนื่องจากรองรับการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ หรือ ANC (Active Noise Cancellation) สามารถตัดเสียงรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โลกรอบตัวเงียบลงแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังมาก ซึ่ง AirPods 3 ไม่มี ANC
AirPods Pro ยังมีโหมดฟังเสียงภายนอก (Transparency mode) ซึ่งทำงานตรงกันข้ามกับโหมด ANC ช่วยให้เจ้าของ AirPods Pro ได้ยินเสียงภายนอกโดยไม่ต้องถอดหูฟังออกจากหู
อย่างไรก็ตาม AirPods 3 ได้รับเทคโนโลยี Spatial Audio หรือระบบเสียงตามตำแหน่งแบบเดียวกับ AirPods Pro ทำให้หูฟังทั้ง 2 รุ่น ให้ประสบการณ์การฟังแบบ 3D เหมือนในโรงภาพยนตร์ ทำให้ผู้สวมใส่ได้ยินเสียงเหมือนดังมาจากรอบตัว และยังมาพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos ให้เสียงที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น เมื่อฟังเพลงจาก Apple Music รวมถึงชมภาพยนตร์และรายการทีวี
อีกทั้ง เทคโนโลยี Spatial Audio ของ AirPods 3 และ AirPods Pro ยังมาพร้อมการติดตามศีรษะแบบไดนามิก ช่วยให้เสียงดังมาจากทิศทางต่างๆ เหมือนมีเสียงล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ดูวิดีโอ หรือสนทนาแบบกลุ่มผ่าน FaceTime (เสียงจะดังมาจากทิศทางหรือตำแหน่งที่ผู้พูดอยู่บนหน้าจอ) โดยอาศัยอัลกอริทึมระบบเสียงตามตำแหน่งขั้นสูง และการใส่ฟิลเตอร์กำหนดทิศทางเสียง เพื่อปรับความถี่ที่หูแต่ละข้างอย่างแนบเนียน
คุณภาพเสียง
AirPods 3 และ AirPods Pro ให้คุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยมเหมาะสมกับราคา โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้เทคโนโลยี Spatial Audio หรือระบบเสียงตามตำแหน่ง จะให้มิติเสียงที่ชัดเจนทั้งเสียงกลาง เสียงสูง และเสียงเบสที่หนักแน่น แต่เนื่องจาก AirPods Pro มาพร้อมจุกหูฟังซิลิโคน ซึ่งมีส่วนช่วยในการปิดกั้นเสียงภายนอก ทำให้ผู้สวมใส่ได้ฟังเสียงที่เต็มอิ่มมากกว่า
อายุการใช้งานแบตเตอรี่
AirPods 3 และ AirPods Pro มาพร้อมเคสชาร์จ MagSafe จึงให้ประสบการณ์ในการชาร์จเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จแบตเตอรี่แบบแม่เหล็กกับอุปกรณ์ชาร์จ MagSafe หรือชาร์จไร้สายกับอุปกรณ์ชาร์จไร้สายที่ได้รับมาตรฐาน Qi และยังสามารถชาร์จผ่านช่องต่อ Lightning ได้ตามปกติ
ตัวหูฟัง AirPods 3 สามารถใช้งานได้นานสูงสุด 6 ชั่วโมง หรือ 5 ชั่วโมง เมื่อเปิดระบบเสียง Spatial Audio และถ้าจัดเก็บไว้ในเคสระหว่างพกพา ก็สามารถฟังเพลงได้นานถึง 30 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
ตัวหูฟัง AirPods Pro สามารถใช้งานได้นานสูงสุด 4.5 ชั่วโมง หรือ 5 ชั่วโมง เมื่อเปิดโหมด ANC และ Transparency และถ้าจัดเก็บไว้ในเคสระหว่างพกพา ก็สามารถฟังเพลงได้นานถึง 24 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
นอกจากนี้ หูฟังทั้ง 2 รุ่น ยังสามารถชาร์จในเคสเพียง 5 นาที ก็ใช้ฟังหรือสนทนาได้นานประมาณ 1 ชั่วโมง โดยที่ AirPods 3 ให้อายุการใช้งานยาวนานมากกว่า เนื่องจากไม่มีโหมดตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ
ราคา
ในสหรัฐฯ AirPods รุ่นที่ 3 วางจำหน่ายในราคา 179 ดอลล่าร์สหรัฐฯ และ AirPods Pro มีราคา 249 ดอลล่าร์สหรัฐฯ สำหรับในประเทศไทยทั้งคู่มีราคา 6,790 บาท และ 8,992 บาท ตามลำดับ หมายความว่า ถ้าเลือกซื้อ AirPods รุ่นที่ 3 จะช่วยประหยัดเงินไปได้ 2,202 บาท
สรุป
AirPods Pro เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่เน้นฟังเพลงในระหว่างออกกำลังกายตามสถานที่ฟิตเนสต่างๆ หรือทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เนื่องจากมีโหมดตัดเสียงรบกวน ANC ที่ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้าเลือก AirPods รุ่นที่ 3 จะช่วยให้ประหยัดเงินในกระเป๋า ขณะที่ยังได้รับความเพลิดเพลินจากระบบเสียงตามตำแหน่ง (Spatial Audio)
ที่มา – Phonearena