นับตั้งแต่เปิดตัว iPad รุ่นที่ 8 ในปีที่แล้ว Apple ก็เว้นระยะห่าง 1 ปีพอดี ก่อนจะเปิดตัว iPad รุ่นที่ 9 โดยเน้นปรับปรุงประสิทธิภาพมากกว่าการออกแบบ เพื่อทำให้ iPad รุ่นใหม่ยังคงมีราคาที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มเด็กนักเรียนนักศึกษา เริ่มต้นเพียง 11,400 บาทเท่านั้น ชูจุดเด่นที่ชิปประมวลผล A13 Bionic ความจุในตัวมากกว่ารุ่นก่อน 2 เท่า จอแสดงผลขนาดเท่าเดิมแต่เพิ่มเติมการแสดงผลแบบ True Tone และยังเพิ่มความละเอียดให้กับกล้องหน้าแบบ Ultra Wide เพื่อรองรับฟีเจอร์ Center Stage หรือ จัดให้อยู่ตรงกลาง
สเปก iPad 9
- จอภาพ Retina ขนาด 10.2 นิ้ว
- ชิปประมวลผล A13 Bionic
- ความจุ 64GB และ 256GB
- กล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล
- ลำโพงสเตอริโอ และ ไมโครโฟนคู่
- การเชื่อมต่อ Wi‑Fi 5 (2.4/5GHz), Bluetooth 4.2
- เฉพาะรุ่น Wi‑Fi + Cellular รองรับ 4G LTE และมี GPS/GNSS ในตัว
- Touch ID หรือ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- แบตเตอรี่ Lithium‑Polymer 32.4 Wh
- ดูวิดีโอออนไลน์ได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง ผ่าน Wi‑Fi
- ขนาดบอดี้ 250.6 x 174.1 x 7.5 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 487 กรัม (หรือ 498 กรัม สำหรับรุ่น Wi‑Fi + Cellular)
- มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีเงิน และ สีเทาสเปซเกรย์
แกะกล่อง iPad 9
กล่องบรรจุภัณฑ์ของ iPad รุ่นที่ 9 ดูเหมือนกับกล่องของรุ่นก่อนหน้า มาในกล่องสีขาว หน้ากล่องอวดดีไซน์ด้านข้างที่เพรียวบางของ iPad และตัวกล่องยังคงถูกซีลด้วยแผ่นพลาสติกใส ขณะที่กล่องของ iPhone 13 เปลี่ยนรูปแบบการซีลกล่องใหม่ แทนที่แผ่นพลาสติกด้วยแถบกระดาษกาว
เพื่อป้องกันความสับสน ด้านหลังกล่องจะระบุไว้ว่าเป็นกล่องของ iPad รุ่นที่ 9 พร้อมความจุ และเวอร์ชั่น ซึ่งมีให้เลือกระหว่าง Wi‑Fi กับ Wi‑Fi + Cellular
เมื่อยกฝากล่องขึ้นมา จะพบกับ iPad อยู่ในซองอย่างดี โดยที่ซองจะมีลิ้นช่วยดึง iPad ให้ออกมาจากกล่องได้ง่ายขึ้น
ใต้ iPad เป็นชั้นวางซองเอกสารมีคู่มือ และแถมสติกเกอร์โลโก้ Apple มาให้ด้วย
ชั้นล่างสุดเป็นช่องเก็บอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ USB-C Power Adapter ขนาด 20 วัตต์ และสายชาร์จ USB-C to Lightning
ดีไซน์
iPad รุ่นที่ 9 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านดีไซน์ภายนอก ยังคงดูเหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ โดยตัวเครื่องยังคงมีงานประกอบที่สวยงามพรีเมียม ถึงแม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้นของกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPad ก็ตาม ตัวเครื่องทำมาจากอะลูมิเนียมที่ผ่านการรีไซเคิล 100% ซึ่งเป็นไปตามนโยบายลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของ Apple ที่ตั้งเป้าให้การดำเนินกิจการต่างๆ ของบริษัทฯ ให้มีความเป็นกลางทางคาร์บอน
Apple หวังว่าจะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็นศูนย์ในอีก 9 ปีข้างหน้า และเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น ตัวเครื่องของ iPad รุ่นที่ 9 จึงทำมาจากอะลูมิเนียมที่ผ่านการรีไซเคิล 100% ส่วนภายในใช้ดีบุกรีไซเคิล 100% ในการบัดกรีแผงวงจรหลัก และใช้แร่โลหะหายากที่มาจากการรีไซเคิล 100% ในแม่เหล็กของตัวเครื่อง
iPad รุ่นล่าสุด มีให้เลือกเพียง 2 สี ได้แก่ สีเงิน กับ สีเทาสเปซเกรย์ ไม่มีสีทองที่พบในรุ่นก่อน นอกจากนี้ สีเงินของ iPad รุ่นที่ 9 ยังใช้ด้านหน้าสีดำเหมือนกับสีเทาสเปซเกรย์ แตกต่างจากสีเงินของรุ่นก่อนที่ด้านหน้าเป็นสีขาว
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเลือก สีเงิน หรือ สีเทาสเปซเกรย์ ด้านหน้าของ iPad รุ่นที่ 9 ก็จะเป็นสีดำทั้งหมด โดยยังคงใช้จอแสดงผล Retina ขนาด 10.2 นิ้ว เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสนับสนุนการแสดงผลแบบ True Tone ส่วนการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil ยังคงรองรับเฉพาะ Apple Pencil รุ่นที่ 1
เหนือจอแสดงผลขึ้นไป จะพบกับกล้องหน้าในตำแหน่งเดิม โดยใช้กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรองรับฟีเจอร์ Center Stage หรือ จัดให้อยู่ตรงกลาง ขณะที่รุ่นก่อนมีกล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล เท่านั้น ทำให้กล้องหน้าของ iPad รุ่นที่ 9 มีความละเอียดสูงขึ้นอย่างชัดเจน และให้มุมมองกว้างกว่า
ใต้จอแสดงผลยังคงมีปุ่มโฮมพร้อม Touch ID หรือ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ซึ่งถือเป็น iPad รุ่นเดียวในปัจจุบันที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ตรงนี้ไว้อย่างเหนียวแน่น ขณะที่ iPad mini รุ่นล่าสุดที่เปิดตัวพร้อมกัน ไม่มีปุ่มโฮมใต้หน้าจออีกต่อไปแล้ว โดยย้าย Touch ID ไปรวมกับปุ่มเพาเวอร์ด้านบน
เช่นเดียวกับด้านหน้า ดีไซน์ด้านหลังก็ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า มีการวางกล้องหลัก 8 ล้านพิกเซล ไว้ที่มุมบน และติดโลโก้ Apple ไว้ตรงกึ่งกลาง ส่วนรูเล็กๆ ที่อยู่เกือบชิดขอบบน เป็นตำแหน่งของไมโครโฟน
ขอบด้านข้างมีความบาง 7.5 มิลลิเมตร เท่ากับรุ่นก่อน มาพร้อม Smart Connector สำหรับเชื่อมต่อกับ Smart Keyboard
อีกข้างหนึ่งจะพบปุ่มเพิ่มกับปุ่มลดระดับเสียง ติดตั้งไว้ที่ส่วนบน และถ้าเป็นรุ่น Wi‑Fi + Cellular จะพบถาดใส่ซิมการ์ด (Nano-SIM) ติดตั้งอยู่ที่ส่วนล่าง
ด้านบนจะพบกับรูไมโครโฟนอีกตัว วางไว้ตรงกึ่งกลาง โดยมีปุ่มเพาเวอร์ กับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ติดตั้งอยู่คนละมุม
ด้านล่างติดตั้งลำโพง 2 ตัว ให้เสียงสเตอริโอ ตรงกลางเป็นพอร์ตเชื่อมต่อ Lightning
จอแสดงผล 10.2 นิ้วรองรับ True Tone
iPad รุ่นที่ 9 ยังใช้จอแสดงผล Retina ที่มีแบ็คไลท์แบบ LED พร้อมเทคโนโลยี IPS สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้จ้องหน้าจอจากมุมมองด้านข้าง โดยมีความละเอียด 2160 x 1620 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซล 264 พิกเซลต่อนิ้ว ขนาด 10.2 นิ้ว ให้ความสว่าง 500 นิต และได้รับการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ
จอแสดงผลของ iPad รุ่นที่ 9 ยังรองรับการแสดงผลแบบ True Tone ที่ช่วยปรับคอนเทนต์บนหน้าจอให้เข้ากับอุณหภูมิสีของห้องหรือตามสภาพแสงรอบข้าง เพื่อมอบประสบการณ์การรับชมที่สบายตายิ่งขึ้นในทุกสภาพแสง และช่วยให้การแสดงสีสันของคอนเทนต์ต่างๆ บนหน้าจอมีความถูกต้องแม่นยำและสมจริงมากที่สุด
หน้าจอของ iPad รุ่นล่าสุด ยังรองรับการทำงานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 1 ซึ่งตอบสนองการวาดเขียนได้อย่างราบรื่นด้วยค่าความหน่วงแฝง หรือ Latency อยู่ในระดับต่ำ ไม่ว่าจะเป็นการจดโน้ต เซ็นชื่อลงในเอกสาร PDF รวมถึงใช้ทำเครื่องหมายในเอกสารหรือรูปภาพ
Apple Pencil รุ่นที่ 1 มีความแม่นยำสูง ไวต่อแรงกดและการเอียง จึงตอบสนองการใช้งานได้คล้ายกับดินสอของจริง ทั้งการลงน้ำหนักลายเส้นตามแรงกด รวมถึงการแรเงา ช่วยให้วาดรูปได้อย่างสวยงาม เหมาะสำหรับเด็กๆ ที่ชอบสร้างผลงานศิลปะไม่ว่าจะเป็นแอป Adobe Fresco หรือ Procreate ก็วาดเขียนได้อย่างลื่นไหล
ชิปประมวลผล A13 Bionic
iPad รุ่นที่ 9 ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพให้แรงขึ้นด้วยชิปประมวลผล A13 Bionic ที่มีความเร็วเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับชิป A12 Bionic ใน iPad รุ่นก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของ CPU, GPU และ Neural Engine
Apple อ้างว่า iPad รุ่นที่ 9 มีความเร็วกว่า Chromebook รุ่นที่ขายดีที่สุดถึง 3 เท่า จากการทดสอบกับ Chromebook ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel Celeron N4000 ที่ทำงานบน Chrome OS 92 และเร็วกว่าแท็บเล็ต Android รุ่นที่ขายดีที่สุดถึง 6 เท่า จากการทดสอบกับแท็บเล็ต Android ที่ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 429 ที่ทำงานบน Android 11
Neural Engine ในชิปประมวลผล A13 Bionic มาพร้อมดีไซน์แบบ 8-core สามารถประมวลผลการดำเนินการได้ถึง 5 พันล้านรายการต่อวินาที ซึ่งเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนความสามารถด้าน Machine Learning ของ iPad รุ่นที่ 9 อย่างเช่นฟีเจอร์ Live Text ใน iPadOS 15 ที่ใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อตรวจหาข้อความในรูปภาพและให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้ ชิปประมวลผล A13 Bionic ยังตอบสนองการเล่นเกมได้ขเป็นอย่างดี ด้วย CPU และ GPU ที่เร็วขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ส่งผลให้ iPad รุ่นที่ 9 เล่นเกมใน Apple Arcade ได้อย่างสนุกทุกเกม
ความจุมากขึ้น 2 เท่า
iPad รุ่นที่ 9 มาพร้อมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายในขนาด 64GB และ 256GB จากรุ่นก่อนที่มีให้เลือกระหว่าง 32GB และ 128GB จึงมีความจุที่มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดและจัดเก็บเกม แอปพลิเคชั่น รูปภาพ วิดีโอ และข้อมูลอื่นๆ ได้มากขึ้นอีกเท่าตัว
กล้องหน้าแบบเดียวกับ iPad Pro M1
เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน กล้องหน้าของ iPad รุ่นที่ 9 ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุงที่สำคัญ โดยมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/2.4 (จากเดิม 1.2 ล้านพิกเซล) และยังเป็นกล้อง Ultra Wide ที่ให้มุมมองภาพ 122 องศา เมื่อทำงานร่วมกับ Neural Engine ในชิป A13 Bionic ทำให้ iPad รุ่นใหม่ล่าสุดรองรับฟีเจอร์จัดให้อยู่ตรงกลาง หรือ Center Stage
Center Stage อาศัย Neural Engine ในการระบุตัวบุคคล เพื่อจัดให้ตัวบุคคลอยู่กลางเฟรมตลอดเวลาแม้จะเคลื่อนที่ไปมา โดยกล้องหน้า Ultra Wide จะช่วยซูมและแพนกล้องให้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยทำหน้าที่เป็นตากล้อง และถ้ามีอีกคนเข้ามาในเฟรม กล้องหน้าของ iPad ก็จะขยายมุมมองให้ทั้ง 2 คน อยู่ในเฟรมเดียวกันได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ฟีเจอร์ Center Stage รองรับการทำงานร่วมกับการโทรแบบวิดีโอผ่าน FaceTime รวมถึงแอปอื่นๆ อย่าง TikTok, Zoom และ Webex
กล้องหน้าของ iPad รุ่นที่ 9 ยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ รองรับโหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง การถ่ายภาพแบบ HDR สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด Full HD 1080p ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที รองรับโหมด Time‑lapse พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว ให้ช่วงไดนามิกกว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที และมีระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (1080p และ 720p)
กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล
iPad รุ่นที่ 9 ได้รับกล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง f/2.4 ประกอบด้วยชุดเลนส์ 5 ชิ้น สามารถซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่า รองรับการถ่ายภาพแบบ HDR โหมด Panorama (สูงสุด 43MP) โหมดภาพถ่ายต่อเนื่อง และมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ
ดูเหมือนกล้องหลังของ iPad รุ่นที่ 9 ยังคงใช้สเปกเดียวกับรุ่นก่อน แต่ด้วยชิปประมวลผล A13 Bionic ที่มาพร้อมการปรับปรุงโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ และปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบออโต้โฟกัสในสภาวะแสงน้อย จึงส่งผลให้ภาพถ่ายและวิดีโอที่บันทึกได้จากกล้องหลังของ iPad รุ่นใหม่มีความสวยงามและให้คุณภาพดีขึ้น
กล้องหลังของ iPad รุ่นที่ 9 สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด Full HD 1080p ที่อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที ซูมวิดีโอ 3 เท่า ออโต้โฟกัสแบบต่อเนื่อง รองรับโหมด Slo‑mo ความละเอียด 720p ที่ 120 เฟรมต่อวินาที, Time-lapse พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว และมีระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (1080p และ 720p)
ใช้งานยาวนาน 10 ชั่วโมง
iPad รุ่นที่ 9 รองรับการเชื่อมต่อ Wi‑Fi (802.11a/b/g/n/ac) สองย่านความถี่ 2.4GHz และ 5GHz แต่ถ้าเลือกรุ่น Wi‑Fi + Cellular จะช่วยให้การเชื่อมต่อราบรื่นมากยิ่งขึ้น เพราะรองรับ 4G LTE ระดับ Gigabit รวม 27 คลื่นความถี่ทั่วโลก โดยรองรับซิมการ์ดทั่วไปแบบ Nano‑SIM หรือใช้ eSIM ก็ได้เช่นกัน แต่รองรับเฉพาะการรับ-ส่งข้อมูลเท่านั้น หากต้องการโทรสามารถทำได้ผ่าน FaceTime หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่รองรับการโทรผ่านอินเทอร์เน็ต
iPad รุ่นที่ 9 ใช้แบตเตอรี่ Lithium Polymer 32.4 Wh สามารถท่องเว็บผ่าน Wi-Fi หรือดูวิดีโอได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง ขณะที่เวอร์ชั่น Wi-Fi + Cellular จะอยู่ได้นานสูงสุด 9 ชั่วโมง โดยภายในกล่องแถมสายชาร์จ และอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่มาให้ด้วย (USB-C Power Adapter ขนาด 20 วัตต์) หรือจะชาร์จจากเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านสาย USB‑C ก็ได้เช่นกัน
ระบบปฏิบัติการ iPadOS 15
iPad รุ่นที่ 9 ให้ประสบการณ์การใช้งานแบบเดียวกับ iPad Pro, iPad Air, iPad mini ที่มีราคาแพงกว่า เพราะทำงานบนระบบปฏิบัติการ iPadOS 15 เช่นเดียวกัน โดยถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถเฉพาะตัวของ iPad ช่วยให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพบนอุปกรณ์จมสัมผัสขนาดใหญ่ และมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
โหมดโฟกัสช่วยผู้ใช้คัดกรองการแจ้งเตือนตามสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เช่น ทำงาน อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย เล่นเกม หรือนอนหลับ
ส่วนเลย์เอาท์วิดเจ็ตใหม่สำหรับหน้าจอ Home Screen และ App Library ช่วยให้สามารถปรับแต่ง iPad mini ให้เหมาะกับผู้ใช้งายรวมถึงจัดระเบียบแอปได้อย่างดี
การจดโน้ตก็สามารถทำได้แล้วทั้งระบบ ด้วย Quick Note ที่มอบวิธีใหม่ๆ ในการทำงานร่วมกันและจัดระเบียบสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือพิมพ์ด้วย Apple Pencil แอป Translate มาอยู่บน iPad พร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ ที่ทำให้การสนทนาง่ายและเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม ซึ่งรวมไปถึงการแปลภาษาอัตโนมัติ และมุมมองแบบเห็นหน้าด้วย
การทำงานแบบ Multitasking ที่ง่ายดายขึ้นกว่าเดิมด้วยการทำให้คุณสมบัติอย่าง Split View และ Slide Over สามารถค้นพบได้ง่ายขึ้น ใช้งานได้ง่ายขึ้น รวมทั้งทรงพลังกว่าเดิม ฟีเจอร์ Live Text ซึ่งใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อตรวจหาข้อความในรูปภาพแล้วให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ กับข้อความนั้นได้ ตัวอย่างเช่น ภาพถ่ายหน้าร้านอาจแสดงหมายเลขโทรศัพท์และตัวเลือกให้โทรไป การโทร FaceTime เพลิดเพลินกับประสบการณ์ที่ใช้ร่วมกันเมื่อโทร FaceTime ด้วย SharePlay ฟังเพลงด้วยกัน รับชมภาพยนตร์ หรือรายการทีวีไปพร้อมกับเพื่อนๆ หรือจะแชร์หน้าจอแบบเรียลไทม์ในระหว่าง FaceTime
แถบปุ่มลัดคีย์บอร์ดที่ได้รับการออกแบบใหม่และมุมมองปุ่มลัดคีย์บอร์ดใหม่จะทำให้การใช้คีย์บอร์ดภายนอกทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
สรุปราคาและการวางจำหน่าย
iPad รุ่นที่ 9 มีอายุห่างจากรุ่นก่อนเพียง 1 ปีเท่านั้น ซึ่งต้องบอกว่า iPad รุ่นที่ 8 นั้น ยังถือเป็น iPad ที่มีประสิทธิภาพคุ้มค่ากับราคา แต่ว่า iPad รุ่นที่ 9 ถูกอัพเกรดให้แรงขึ้นไปอีก ด้วยชิปรุ่นใหม่ที่แรงขึ้น กล้องหน้ารุ่นใหม่ที่สนับสนุนฟีเจอร์ Center Stage และมีความจุในตัวมากขึ้น 2 เท่า ขณะที่ดีไซน์ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สรุปแล้ว iPad รุ่นที่ 9 เหมาะสำหรับผู้ใช้งาน iPad รุ่นที่ 7 หรือ iPad รุ่นเก่ากว่านั้น ที่ต้องการอัพเกรดประสิทธิภาพให้แรงขึ้น หรือแม้แต่เจ้าของ iPad รุ่นที่ 8 ที่มีความจุ 32GB ก็สามารถอัพเกรดเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดได้เช่นเดียวกัน ถ้าหากต้องการความจุที่เพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปข้อมูลต่างๆ ที่จัดเก็บไว้ใน iPad ก็มากขึ้นตามไปด้วย อาจถึงเวลาที่ต้องอัพเกรดเป็น iPad รุ่นที่ 9
นอกจากนี้ iPad รุ่นที่ 9 ยังเหมาะสำหรับทุกคนโดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่กำลังมองหาอุปกรณ์ไว้ใช้เรียนออนไลน์ หรือ ใช้งานแทนคอมพิวเตอร์ ด้วยประสิทธิภาพของชิปประมวลผล A13 Bionic ช่วยให้การใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆ ราบรื่น และเล่นเกมได้ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น อีกทั้งระบบปฏิบัติการ iPadOS 15 ยังออกแบบมาให้ตอบสนองการทำงานได้มากขึ้น เมื่อใช้งานร่วมกับ Apple Pencil และ Smart Keyboard ยิ่งทำให้ iPad กลายเป็นคอมพิวเตอร์พกพาที่น่าสนใจรุ่นหนึ่ง
iPad รุ่นที่ 9 เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว แต่ช่วงแรกยังมีให้เลือกเฉพาะ Wi-Fi เท่านั้น มาใน สีเงิน และ สีเทาสเปซเกรย์ มีตัวเลือกและราคาแตกต่างกันดังนี้
- ความจุ 64GB ราคา 11,400 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ ราคา 16,400 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular
- ความจุ 256GB ราคา 16,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ ราคา 21,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular
ทั้งนี้ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) วางจำหน่ายแยกต่างหากในราคา 3,400 บาท สำหรับ Smart Keyboard มีราคา 5,290 บาท และ Smart Cover สำหรับ iPad วางจำหน่ายในราคา 2,290 บาท มาในสีดำ สีขาว และ สีอิงลิชลาเวนเดอร์