แต่ละปีที่ผ่านไป Apple Watch ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้ก็เช่นกัน Apple Watch Series 7 ไม่เพียงแต่ได้รับชิปรุ่นใหม่ แต่ยังมุ่งเน้นไปที่การออกแบบให้มีความทนทานมากขึ้น จอใหญ่กว่าเดิม ขณะที่ตัวเรือนมีขนาดเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เพื่อให้สวมใส่ได้อย่างสบายเหมือนอย่างเคย
สเปก Apple Watch Series 7
- จอภาพใหญ่ขึ้นกว่า 50% (เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 3)
- จอภาพ LTPO OLED Retina แบบ Always-On ความสว่าง 1,000 นิต
- จอภาพกระจก Ion-X บนตัวเรือนอะลูมิเนียม
- SiP รุ่น S7 พร้อมโปรเซสเซอร์แบบ Dual‑core 64 บิต, ชิประบบไร้สาย W3, ชิป U1 (Ultra Wideband)
- ความจุ 32GB
- เซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด, เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้า และเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคัลรุ่นที่ 3
- การแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจเร็วและช้า
- Digital Crown พร้อมการตอบสนองแบบสั่น
- การโทรฉุกเฉินทั่วโลก, SOS ฉุกเฉิน และการตรวจจับการล้ม
- ทนน้ำที่ระดับ 50 เมตร ตามมาตรฐาน ISO 22810:2010
- ทนฝุ่น (IP6X)
- ลำโพงดังขึ้น 50% (เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 3), ไมโครโฟนในตัว
- มีให้เลือก 2 รุ่น GPS และ GPS + Cellular
- LTE และ UMTS, Wi‑Fi และ Bluetooth 5.0
- GPS/GNSS, เข็มทิศ และมาตรวัดความสูงแบบทำงานตลอด
- แบตเตอรี่ Lithium-Ion ให้อายุการใช้งานนานสูงสุด 18 ชั่วโมง ชาร์จได้เร็วขึ้น 33%
- ขนาดตัวเรือน 45 มม. (45 x 38 x 10.7 มม.)
- น้ำหนัก 38.8 กรัม (อะลูมิเนียม)
แกะกล่อง Apple Watch Series 7
Apple Watch Series 7 ถูกบรรจุไว้ในกล่องสีขาวที่เป็นแท่งยาวๆ โดยชั้นนอกถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแผ่นกระดาษที่มีโลโก้ Apple Watch บนหน้ากล่อง และด้านหลังระบุชื่อรุ่น ขนาดตัวเรือน และอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง
เมื่อแกะออกมา จะพบว่าภายในของกระดาษห่อพิมพ์ลาย Apple Watch ไว้อย่างสวยงาม และพบว่าภายในแบ่งออกเป็น 2 กล่อง โดยกล่องบนพิมพ์รูปภาพด้านหน้าของ Apple Watch อีกกล่องพิมพ์รูปภาพสาย Apple Watch บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเปิดกล่องออกมาจะพบกับอะไร
กล่องเก็บตัวเรือน Apple Watch Series 7 มีแถบกระดาษกาวติดที่ขอบกล่อง คล้ายกับที่พบในกล่องของ iPhone 13 ภายในวางตัวเรือน Apple Watch แยกช่องกับซองเอกสารต่างๆ
ใต้ช่องเก็บเอกสาร แถมสายชาร์จแบบใหม่มาให้ด้วย เป็นสายชาร์จแบบแม่เหล็กที่อีกปลายเป็น USB-C ช่วยให้ชาร์จได้เร็วขึ้น 33% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
กล่องสาย Apple Watch ก็มีการซีลด้วยแถบกระดาษกาวเช่นกัน ภายในมีสายให้เลือกใช้ตามขนาดข้อมือ ได้แก่ M/L และ S/M พร้อมด้วยแผ่นพับแนะนำวิธีการติดตั้งสายกับตัวเรือน
ดีไซน์ใหม่
Apple Watch Series 7 ได้รับการออกแบบใหม่โดยทำขอบจอรอบด้านให้บางเฉียบเหลือเพียง 1.7 มิลลิเมตร เพื่อทำให้พื้นที่จอแสดงผลมีขนาดใหญ่ขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับ Series 6 และใหญ่กว่า 50% เมื่อเทียบกับ Series 3 ขณะที่ขนาดตัวเรือนแทบไม่ได้แตกต่างไปจากรุ่นก่อนๆ โดยมีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ 41 มม. และ 45 มม.
Apple Watch Series 7 ผลิตด้วยวัสดุสุดพรีเมียม อะลูมิเนียม, สแตนเลสสตีล และ ไทเทเนียม โดยมีสีสันและใช้กระจกด้านหน้าแตกต่าง ตัวเรือนอะลูมิเนียม ใช้กระจกหน้า Ion‑X มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีมิดไนท์, สีสตาร์ไลท์, สีเขียว, สีน้ำเงิน และ สีแดง (PRODUCT)RED
ด้านหลังของ Apple Watch Series 7 เป็นคริสตัล มาพร้อมกลุ่มไฟ LED จำนวน 4 ดวง ทั้งสีเขียว สีแดง และอินฟราเรด รวมถึงโฟโต้ไดโอด 4 ตัว ซึ่งใช้สำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) มีเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคัลสำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ขอบด้านข้างตัวเรือนมีปุ่ม Digital Crown ตอบสนองแบบสั่นเมื่อถูกหมุน ถัดลงมาเป็นรูไมโครโฟน และปุ่มกดด้านข้าง
อีกข้างเป็นช่องลำโพง ส่วนความบางนั้นอยู่ที่ 10.7 มิลลิเมตร เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นขนาด 41 มม. หรือ 45 มม.
วัสดุส่วนใหญ่ของ Apple Watch Series 7 ผ่านกระบวนการรีไซเคิลมากกว่า Apple Watch รุ่นอื่นๆ โดยมีการใช้แร่โลหะหายากที่ผ่านการรีไซเคิล 100% ในแม่เหล็กทุกชิ้น รวมถึงใน Taptic Engine และมีการใช้ทังสเตนรีไซเคิลเกือบ 100% ในตัวผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ขณะที่ตัวเรือนอะลูมิเนียมก็ผ่านการรีไซเคิล 100% และยังผลิตขึ้นโดยไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย
ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของ Apple ที่ตั้งเป้าลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030 ด้วยการดำเนินงานให้มีความเป็นกลางทางคาร์บอน 100% ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วน การประกอบ การขนส่ง การใช้งานของเจ้าของอุปกรณ์ และการชาร์จ ไปจนถึงการรีไซเคิล และการคัดแยกวัสดุเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
ทนทานมากขึ้น
Apple Watch Series 7 ได้รับการออกแบบมาให้ต้านทานน้ำที่ระดับ WR50 (50 เมตร) จึงสามารถสวมใส่ลงไปว่ายน้ำในสระได้อย่างไรกังวล แต่ไม่ควรสวมใส่ลงไปดำน้ำลึก หรือเล่นกีฬาทางน้ำที่ผาดโผนรุนแรง และยังผ่านการรับรองป้องกันฝุ่นที่ระดับ IP6X จึงเป็น Apple Watch ที่มีความทนทานที่สุดเท่าที่เคยมีมา สามารถสวมใส่ขณะทำกิจกรรมหรือพักผ่อนตามริมชายหาดได้อย่างสบาย
ไม่เพียงแค่นั้นด้านหน้าของ Apple Watch Series 7 ยังเป็นแบบคริสตัลที่ออกแบบใหม่ให้มีรูปทรงที่แข็งแกร่งและทนทานกว่าเดิม ด้วยความหนาที่เพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 6 จึงทนต่อการแตกร้าวได้ดีขึ้น โดยที่จอแสดงผลยังคงให้ความชัดเจนเหมือนเดิม
จอใหญ่ขึ้น
Apple Watch Series 7 มาพร้อมจอแสดงผล LTPO OLED Retina แบบ Always-On ให้ความสว่าง 1,000 นิต เมื่อใช้งานในที่ร่มจะมีสว่างมากกว่า70% เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 6 ช่วยให้มองเห็นหน้าปัดนาฬิกาได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องยกข้อมือหรือปลุกจอภาพ
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ ขอบจอแสดงผลของ Apple Watch Series 7 มีความบางเพียง 1.7 มิลลิเมตร แคบกว่า Apple Watch Series 6 ถึง 40% ส่งผลให้มีพื้นที่จอภาพใหญ่ขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน โดยรุ่น 41 มม. ให้พื้นที่แสดงผล 904.3 ตร.มม. บนความละเอียด 352 x 430 พิกเซล และรุ่น 45 มม. ให้พื้นที่แสดงผล 1143.1 ตร.มม. บนความละเอียด 396 x 484 พิกเซล
อินเทอร์เฟซใหม่
Apple ใช้ประโยชน์จากจอแสดงผลของ Apple Watch Series 7 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ออกแบบ User Interface ใหม่ เพื่อให้ผู้สวมใส่ใช้งานได้ง่ายขึ้น มองเห็นคอนเทนต์และข้อมูลต่างๆ ได้อย่างสบายตา และมีพื้นที่สัมผัสเพื่อโต้ตอบกับหน้าจอได้แม่นยำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอป้อนรหัสผ่าน, ปุ่มกดในศูนย์ควบคุมที่ใหญ่กว่าเดิม 13%, ปุ่มกดในเครื่องคิดเลขใหญ่กว่าเดิม 12%, ปุ่มกดในนาฬิกาจับเวลาใหญ่ขึ้น 27% รวมไปถึงหน้าจอต่างๆ ของระบบทั้งหมด
Apple Watch Series 7 ยังแสดงข้อความบนหน้าจอได้มากกว่า 50% เมื่อเทียบกับ Series 6 ช่วยให้การอ่านข้อความหรืออีเมลสบายตามากขึ้น โดยไม่ต้องเลื่อนหน้าจอบ่อยครั้ง อีกทั้งยังสามารถปรับขนาดตัวอักษรได้ 2 ขนาด เพื่อการอ่านที่ง่ายขึ้น
ไม่เพียงแต่การอ่านหน้าจอที่ง่ายขึ้น การพิมพ์ข้อความตอบกลับก็สะดวกมากขึ้น ด้วยขนาดจอภาพที่ใหญ่กว่าเดิม ทำให้ Apple Watch Series 7 รองรับคีย์บอร์ดแบบ QWERTY สามารถพิมพ์ข้อความได้เต็มรูปแบบเหมือนคีย์บอร์ดบนหน้าจอ iPhone รวมถึงการพิมพ์แบบปัดด้วย QuickPath ทำให้การป้อนข้อความง่ายและเร็วขึ้น
หน้าปัดใหม่
Apple Watch Series 7 เป็น Apple Watch เพียงรุ่นเดียวที่ได้รับหน้าปัดใหม่ 2 แบบ ได้แก่ Contour และ Modular Duo เนื่องจาก Apple Watch Series 7 เป็น Apple Watch เพียงรุ่นเดียวที่มีขนาดจอแสดงผลใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยหน้าปัด Contour มีการนำตัวเลขบอกเวลาไปไว้ชิดขอบของจอภาพ และเน้นเวลาในชั่วโมงปัจจุบันให้โดดเด่น
หน้าปัด Modular Duo ใช้ประโยชน์จากพื้นที่หน้าจอที่เพิ่มขึ้น ด้วยการแสดงกลไกหน้าปัดขนาดใหญ่ ที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลคู่กันสองแถวตรงกลาง
นอกจากนี้ Apple Watch Series 7 ยังได้รับหน้าปัด World Time แบบคลาสสิก ซึ่งอิงตามนาฬิกาแบบดั้งเดิม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทาง ช่วยให้ผู้สวมใส่ติดตามเวลาของทั้ง 24 เขตเวลา จากหน้าปัดสองวงที่ซ้อนกัน
ชาร์จเร็วกว่าเดิม
Apple Watch Series 7 มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ที่ให้อายุการใช้งานนานสูงสุด 18 ชั่วโมง และยังชาร์จได้เร็วขึ้นกว่า 33% เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 6 สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากระดับ 0 ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 45 นาที หรือใช้เวลาชาร์จเพียง 8 นาที ก็เพียงพอสำหรับติดตามการนอนหลับได้นาน 8 ชั่วโมง
ส่วนหนึ่งของการชาร์จที่เร็วขึ้น มาจากสถาปัตยกรรมการชาร์จแบบใหม่ และรองรับอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ USB-C Power Adapter ของ Apple หรือของ iPhone ที่มีขนาด 18W ขึ้นไป หริือใช้ USB-C Power Adapter จากแบรนด์อื่นที่รองรับ USB Power Delivery (USB-PD) ขนาด 5W ขึ้นไป
นอกจากนี้ Apple Watch Series 7 ยังสนับสนุนการชาร์จที่ความเร็วมาตรฐานโดยใช้สายชาร์จ แท่นวาง และ อุปกรณ์เสริมของ Apple Watch รุ่นก่อนด้วย
วัดระดับออกซิเจนในเลือด
Apple Watch Series 7 เพียบพร้อมไปด้วยฟีเจอร์ติดตามสุขภาพที่ครบครัน โดยอาศัยกลุ่มไฟ LED จำนวน 4 ดวง ที่อยู่บนฝาหลังคริสตัล ทั้งสีเขียว สีแดง และอินฟราเรด รวมถึงโฟโต้ไดโอด 4 ตัว ซึ่งใช้สำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) และมีเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคัลสำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ผู้ใช้งานสามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) ได้จากแอป Blood Oxygen (ออกซิเจนในเลือด) ซึ่งเริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ Apple Watch Series 6 อาศัยกลุ่มไฟ LED ด้านหลังส่องผ่านผิวหนังไปยังหลอดเลือดที่ข้อมือ จากนั้นโฟโต้ไดโอดจะวัดปริมาณแสงที่สะท้อนกลับมาเพื่อคํานวณสีเลือด และสุดท้ายอัลกอริทึมจะใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อประเมินระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนโดยประมาณ
Apple Watch Series 7 จะคอยวัดระดับออกซิเจนในเลือดเป็นระยะๆ ตลอดทั้งวัน ในช่วงที่ผู้สวมใส่ไม่ได้เคลื่อนไหว รวมถึงช่วงกลางคืนเมื่อเปิดใช้งานโหมดนอนหลับ หากต้องการวัดระดับออกซิเจนในเลือดด้วยตัวเอง ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงเปิดแอปออกซิเจนในเลือดบน Apple Watch แล้วทำตามขั้นตอนบนหน้าจอ
หากผู้ใช้งานต้องสวมใส่ Apple Watch Series 7 เข้าไปในโรงภาพยนตร์ สามารถเข้าไปปิดการวัดเบื้องหลังในโหมดนอนหลับและโหมดโรงภาพยนตร์ ได้จากแอปการตั้งค่า บน Apple Watch จากนั้นแตะ ออกซิเจนในเลือด แล้วปิดใช้ ในโหมดนอนหลับ และ ในโหมดโรงภาพยนตร์ เพื่อไม่ให้แสงไฟ LED ส่องสว่างรบกวนสายตาในระหว่างนอนหลับหรือกำลังชมภาพยนตร์
แจ้งเตือนสุขภาพหัวใจ
Apple Watch Series 7 ใช้เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคัล คอยตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจในเบื้องหลังเป็นระยะๆ และจะแจ้งเตือนหากพบว่าผู้สวมใส่มีอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงหรือต่าผิดปกติ รวมถึงมีจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะร้ายแรงได้ เช่น ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (AFib)
ติดตามการออกกำลังกาย
Apple Watch Series 7 ทำหน้าที่เป็นเหมือนเทรนเนอร์ส่วนตัว ช่วยติดตามการออกกำลังกายของผู้สวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน, วิ่ง, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ,บริหารกล้ามเนื้อ, โยคะ, ปีนเขา, เต้นรำ และใน watchOS 8 ยังได้เพิ่มการติดตามไทชิและพิลาทิสมาให้ด้วย
watchOS 8 ยังมาพร้อมการปรับปรุงฟีเจอร์ติดตามการปั่นจักรยานให้แม่นยำมากขึ้น โดยใช้อัลกอริทึมขั้นสูงในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก GPS, อัตราการเต้นของหัวใจ, อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว และไจโรสโคป เพื่อตรวจจับเมื่อผู้สวมใส่เริ่มปั่นจักรยาน และแจ้งให้เริ่มต้นการออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานกลางแจ้ง หากยังไม่ได้กดเริ่ม และยังวัดแคลอรี่ที่เคลื่อนไหวได้แม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยอัลกอริทึมการออกกำลังกายที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ สามารถระบุได้ว่าผู้สวมใส่กำลังปั่นจักรยานโดยใช้ตัวช่วยปั่นหรือใช้กำลังขาเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ การออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยาน ยังมีฟีเจอร์หยุดพักและทำต่อโดยอัตโนมัติ ช่วยสะท้อนเวลาจริงที่ใช้ในการเคลื่อนไหวเมื่อเทียบกับการหยุดนิ่งได้อย่างแม่นยำมากขึ้น เช่น การหยุดปั่นระหว่างรอสัญญาณไฟจราจร เป็นต้น
การทำกิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวัน Apple Watch Series 7 ก็สามารถติดตามและบันทึกข้อมูลได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว การออกกําลังกาย และการยืน โดยจะแสดงค่าที่วัดได้เป็นวงแหวนกิจกรรม เพื่อให้ผู้สวมใส่มองเห็นข้อมูลหรือควมคืบหน้าได้อย่างชัดเจน และเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้สวมใส่ปิดวงแหวนในแต่ละวัน
ตรวจจับการล้ม
Apple Watch รองรับฟีเจอร์ตรวจจับการล้มมาตั้งแต่ปี 2018 และยังคงมีอยู่ใน Apple Watch Series 7 เนื่องจากเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยอาศัยเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและไจโรสโคป ทำงานร่วมกับอัลกอริทึมที่ชาญฉลาด หาก Apple Watch พบว่าผู้สวมใส่มีการล้มอย่างรุนแรง และไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลา 1 นาที Apple Watch จะโทรออกฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ พร้อมส่งข้อความและพิกัดไปยังบุคคลในรายชื่อติดต่อฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้สวมใส่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ผู้ใช้งาน Apple Watch Series 7 สามารถเปิดฟีเจอร์ตรวจจับการล้มได้ในแอป Apple Watch ใน iPhone แต่สำหรับผู้สวมใส่ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป Apple Watch จะเปิดฟีเจอร์ตรวจจับการล้มโดยอัตโนมัติ
วัดความสูงแบบเรียลไทม์
Apple Watch Series 7 มาพร้อมมาตรวัดความสูงแบบทํางานตลอด สามารถติดตามและประเมินระดับความสูงของผู้สวมใส่อย่างต่อเนื่องแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะใช้งานภายในอาคารหรือกลางแจ้ง เนื่องจากใช้เซ็นเซอร์ขั้นสูงและอัลกอริทึมหลายตัว ทำงานร่วมกับ GPS หรือแม้แต่เครือข่าย Wi-Fi ใกล้เคียง เพื่อระบุตําแหน่งของ Apple Watch เพื่อบอกความสูงเหนือระดับน้ำทะเลบนหน้าปัดได้ทันที ไม่ว่าผู้สวมใส่จะเดินทางไกลขึ้นเขาในป่า หรือขึ้นลงบันไดในอาคารต่างๆ
watchOS 8
Apple Watch Series 7 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ watchOS 8 ที่ Apple ปล่อยออกมาให้อัพเดทตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมาพร้อมหน้าปัดใหม่ ปรับปรุงอัลกอริทึมติดตามการปั่นจักรยานให้แม่นยำมากขึ้น ออกแบบ UI ใหม่สำหรับ Apple Watch Series 7 โดยเฉพาะ และยังมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง
รูปภาพ – ดูจัดการ และแชร์คลังรูปภาพในรูปแบบใหม่ๆ ด้วยแอปรูปภาพที่ออกแบบมาใหม่ และเพลิดเพลินไปกับไฮไลท์จาก “ความทรงจํา” และรูปภาพแนะนําได้จากบน Apple Watch
ข้อความ – พิมพ์ข้อความได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยวิธีการป้อนตามคําบอก การขีดเขียนข้อความ และอิโมจิ ทั้งหมดนี้จากที่เดียว ปรับข้อความที่เขียนตามคําบอกโดยใช้ Digital Crown เพื่อเลื่อนไปยังจุดที่ต้องการแก้ไข และส่งภาพ GIF ในแอปข้อความได้ด้วย #images
ทําสมาธิ – เซสชั่นการหายใจมีเคล็ดลับที่ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ของร่ายกายเข้ากับการฝึกหายใจแบบลึกๆ เช่น การประสานมือไว้ที่หน้าท้อง และในเซสชั่นสะท้อนความคิด ผู้สวมใส่จะได้แนวคิดง่ายๆ ในการทําสมาธิ และการแสดงภาพที่สวยงาม เพื่อแสดงถึงเวลาที่ผ่านไป 1 นาที
ออกกําลังกาย – รับรายการเตือนความจําเพื่อเริ่มต้นการออกกําลังกายแบบปั่นจักรยาน เมื่อ Apple Watch ตรวจพบว่าผู้สวมใส่ได้เริ่มต้นขี่ และใส่การเคลื่อนไหวในการทําสมาธิให้กับกิจวัตรประจําวัน ด้วยการออกกําลังรูปแบบใหม่อย่างพิลาทิสและไทชิ การตอบสนองด้วยเสียงจะแจ้งให้ทราบเมื่อพิชิตเป้าหมายสําคัญในการออกกําลังกาย
การนอนหลับ – แอปการนอนหลับ สามารถติดตามอัตราการหายใจได้ รวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจ ออกซิเจนในเลือด และระยะเวลาที่นอนหลับ
กระเป๋าสตางค์– สามารถเข้าใช้งานกุญแจดิจิตัลของโรงแรม สํานักงาน หอพัก และอีกมากมาย นอกเหนือไปจากกุญแจรถและกุญแจบ้านที่มีอยู่แล้ว
สรุปราคาและการวางจำหน่าย
Apple Watch Series 7 ยังคงเป็นสมาร์ทวอทช์ระดับพรีเมียม ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามหรูหรา โดยใช้วัสดุคุณภาพสูง โดยมีจุดเด่นที่ดีไซน์ใหม่ ทำให้จอแสดงผลมีขนาดใหญ่ขึ้น บนตัวเรือนที่แทบไม่แตกต่างไปจากรุ่นก่อน ถึงแม้ด้านประสิทธิภาพจะไม่ได้รับการปรับปรุงมากนักเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แต่ Apple ก็เลือกที่จะถอด Apple Watch Series 6 ออกไป แล้วแทนที่ด้วย Series 7 ที่ดีขึ้นกว่าเดิม นั่นทำให้ Apple Watch Series 7 เหมาะสำหรับเจ้าของ Apple Watch รุ่นเก่ากว่าตั้งแต่ Series 5 ลงไป รวมไปถึงผู้ใช้งาน iPhone ที่กำลังมองหาสมาร์ทวอทช์คุณภาพสูง ติดตามสุขภาพและการออกกำลังกายได้อย่างแม่นยำ เรียกได้ว่าเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวที่ดีที่สุด
Apple Watch Series 7 มีหลายตัวเลือก ทั้งขนาดตัวเรือนที่แตกต่างกันระหว่าง 41 มม. และ 45 มม. วัสดุตัวเรือนอะลูมิเนียม, สแตนเลสสตีล และ ไทเทเนียม รวมไปถึงการเชื่อมต่อระหว่าง GPS กับ GPS + Cellular
- ตัวเรือนอะลูมิเนียม มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีมิดไนท์, สีสตาร์ไลท์, สีเขียว, สีน้ำเงิน และ สีแดง (PRODUCT)RED มาพร้อมสายแบบ Sport Band
- ตัวเรือนสแตนเลสสตีล สีกราไฟต์ มาพร้อมสายแบบ Milanese Loop, สีเงิน มาพร้อมสายแบบ Solo Loop และ สีทอง มาพร้อมสายแบบ Sport Loop
- ตัวเรือนไทเทเนียม (Apple Watch Edition) สีไทเทเนียม มาพร้อมสายแบบ Braided Solo Loop และ สีดำสเปซแบล็ค มาพร้อมสายแบบ Leather Link
- Apple Watch Series 7 เริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ราคาเริ่มต้นที่ 13,900 บาท สำหรับรุ่น GPS และเริ่มต้น 17,500 บาท สำหรับรุ่น GPS + Cellular